ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 36: ภาค 2 ตอนที่ 13 คนที่เพิ่มขึ้นมา

“เฮ้อ!! เหนื่อยเป็นบ้าเลย!!”

 

“เบาหน่อย หัวหน้าก็อยู่ด้วยนะ”

 

“ช่างเถอะ มันก็สมควรบ่นล่ะนะ”

 

หลังจากฟังคำของโบลและฟาริสจบตัวฉันเองก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน หลังทหารทางการมาสมทบในวันที่สองตอนเย็น ตอนนี้ก็ผ่านมาเช้าวันต่อมาเลยมาถึงตอนพระอาทิตย์ลอยเหนือหัวเป๊ะ ในที่สุดการกู้ภัยก็จบลงซะที…

 

“พวกนายไปพักผ่อนกันในเรือเถอะ เรื่องเจรจาค่าตอบแทนฉันจัดการเอง”

 

“ไม่ให้ได้ด้วยจะดีเหรอ…”

 

“…ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะเรียกพวกนายให้สุดเสียงเลย ฮ่า ๆ”

 

ฉันตอบกลับความเป็นห่วงของโบลไปด้วยเสียงหัวเราะที่ไม่หวั่นวิตกแม้แต่น้อย เหมือนว่าราชาของริมิร่าจะเดินทางมาด้วยตัวเองเพื่อกล่าวขอบคุณ แต่ก็เหมือนเดิมเมื่อไปถึงตรงหน้าฉันก็ถามหาค่าตอบแทนทันที พวกเราเป็นทหารรับจ้าง ไม่ต้องการคำขอบคุณหรอก

การเจรจาไปได้อย่างราบรื่นเพราะราชาเป็นคนใจกว้างอย่างที่ฉันสังเกตได้ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนที่แทบจะอ้าปากค้าง แต่ก็อดกลั้นไม่แสดงสีหน้าน่าอายแบบนั้นออกไป แล้วยิ้มร่าเริงเช่นเดิมตลอดก่อนจะตกลงทันที

และหลังจากนั้นข้อเสนอที่ไม่คาดฝันก็ออกมาจากปากของเขา

 

“ถึงกระนั้นก็รู้สึกขอบคุณพวกท่านมากจริง ๆ ยังไงก็ให้พวกเราได้ตอบแทนอีกเถอะ”

 

“ถึงจะพูดงั้นก็เถอะนะ…เงินก็ได้มาเยอะแล้วสิ งั้นขอของตอบแทนที่ช่วยการตั้งถิ่นฐานของพวกเราที่เกาะฟิวแล้วกัน”

 

เมื่อฉันยื่นข้อเสนอไปเช่นนั้น เขาก็ทำท่าทางคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำทวนโจทย์ซ้ำ ก็นะ…ขนาดฉันเองยังไม่รู้จะขออะไรดีเลย ไม่เคยตั้งรกรากแบบนี้มาก่อน แถมยังเป็นเริ่มจากหนึ่งไม่ได้มีเมืองหรืออยู่ในประเทศอื่น ค่อนข้างเป็นปัญหาพอควรเลยล่ะที่ทำอะไรไม่ถูก

จากนั้นราชาจึงเสนอว่าจะส่งไม่ฟรีไปให้อีกพักใหญ่ รวมทั้งผลไม้จำนวนหนึ่งควบคู่ไปด้วย แต่เนื่องจากเขาให้ในทีละปริมาณมากไม่ได้จึงเป็นการตกลงให้เรื่อย ๆ ระยะยาวกัน และพวกเราก็เซ็นสัญญาส่งออกไม้กับผลไม้จำนวนหนึ่งทุกเดือนเป็นระยะเวลา 2 ปี

แค่นี้ก็ว่าเยอะแล้วแต่สำหรับริมิร่าที่มีของพวกนี้ล้นตลาดก็คงไม่คิดว่าเยอะอะไรมาก และข้อเสนอหลังจากนั้นของเขาทำให้ฉันเอียงคอเล็กน้อย

 

“จริงสิ ถ้าพวกท่านจะสร้างเมืองของตัวเอง ต้องขาดแรงงานเป็นแน่ สนใจด้วยไหมครับ”

 

“แรงงาน? ก็…”

 

ไม่เท่าไหร่…ฉันกำลังจะพูดแบบนั้น แหงล่ะ แค่นี้ก็ว่าเยอะแล้ว ถ้ามีเพิ่มมาอีกเรื่องให้จัดการและการเอาใจใส่ก็ต้องมีเพิ่ม ฉันไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบชีวิตพวกเขาไหวไหม งานที่นึกได้ก็มีแค่ทหารรับจ้าง ถ้ามีงานให้คนอื่นนอกจากการต่อสู้ก็คงไม่ต้องลำบาก…

แต่ยังไม่ทันพูดสิ่งที่คิดในใจ ราชาก็พูดขัดขึ้นมา

 

“พอดีพวกเขาเป็นนักโทษขั้นร้ายแรงของประเทศ ฐานทำลายป่า”

 

“นักโทษขั้นร้ายแรง? การทำลายป่าหนักหนาขนาดนั้นเลยรึ…”

 

“อา”

 

อืม หรือว่าการลงโทษของป่ามันจะส่งผลร้ายแรงจนกระทบทั่วทั้งป่ารึเปล่านะ พวกคนเร่ร่อนก็อยู่ไม่ได้เพราะตัดป่านี่นะ แต่ว่านักโทษ…เป็นคำที่ฟังดูไม่ดีเอาซะเลย

 

“ป่าเป็นสิ่งสำคัญ ป่าผืนนี้มีชีวิตและมันคอยปกป้องประเทศเราจากการรุกรานมาเสมอ ดังนั้นการทำลายป่าจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้! หากเป็นคนนอกป่าแสนหยาบช้าก็ว่าไปอย่าง แต่คนของประเทศที่เติบโตมาได้เพราะผืนป่ากลับทำลายป่าเสียเองนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าอภัย!!”

 

เป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าของเจ้าปกครองที่ทรงอำนาจ ซึ่งกำลังหน้ามืดตามัวเต็มที่และแทบสติแตกเมื่อพูดถึงป่า แต่ว่า มันก็ชวนให้มีข้อสงสัยอย่างหนึ่งมาจากคำบอกเล่าของเขา…

 

“แล้ว…บทลงโทษของป่า คืออะไรเหรอ”

 

บทลงโทษของป่า พวกเราที่เป็นคนนอกซึ่งมองเข้ามาในดินแดนลี้ลับที่ป่าแออัดแบบนี้ได้ยินผ่านหูมาบ้าง และเลี่ยงในการรุกรานแบบสุ่มเสี่ยง หรือฝ่าฝืนกฎที่พวกเขาตั้ง แต่ราชาที่ได้ยินก็เบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนที่จะหัวเราะร่าออกมา

 

“ขอบแบบนั้นน่ะไม่มีหรอก บทลงโทษนั่นก็พวกเรานี่แหละ”

 

“…”

 

นั่นก็หมายความว่า บางทีการตัดไม้ก็อาจจะไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรด้วยซ้ำ แต่มันเป็นเพียงกฎที่ตั้งขึ้นจากผู้ปกครอง ดังนั้นนักโทษพวกนั้นไม่แน่ก็อาจจะเรียกว่าไม่มีความผิดอะไรด้วยซ้ำ…มันทำให้ฉันมองราชาใจกว้างด้วยสายตาว่างเปล่า

ในฐานะผู้นำแล้วฉันยอมรับไม่ได้ แม้คนในการปกครองของฉันจะเทียบกับของเขาไม่ได้ แต่ฉันเองก็ไม่อาจจะให้อภัยความคิดของเขาเช่นกัน

เขาเห็นการปกป้องป่าสำคัญกว่าปกป้องชาวเมืองของตัวเอง ฉันที่เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างฟิวนั้นรับไม่ได้อย่างถึงที่สุด จนรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็กดสีหน้าของตัวเองไว้แทนด้วยการกำมือแน่น

 

“ยังไงก็ ขอไปดูตัวแรงงานก่อนได้ไหม”

 

“โอ้! ท่านจะรับพวกน่ารังเกียจนั่นไปให้เหรอ! ขอบใจมาก”

 

ดูท่าคงอยากกำจัดของเสียมากกว่าให้ของตอบแทนมากกว่าล่ะมั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนที่ได้เรือกับเกาะมาจากฟัวกราเลย ไม่แน่พวกเราอาจจะเป็นพวกเก็บซากของเหลือก็ได้…แต่คอยดูเถอะ ตัวกินซากอย่างพวกเราสักวันจะทำให้พวกนั้นหงายหลังจากบัลลังก์ซะเลย…

ฉันคิดแบบนั้นอย่างหนักแน่นอยู่ในอก พร้อมทั้งเดินทางไปดูนักโทษเหล่านั้นที่ว่า โดยให้พวกโบลรออยู่ที่นี่

 

“พวกนั้นมีจำนวนประมาณเกือบร้อยคน แล้วก็เลี้ยงมังกรประหลาดเอาไว้ มันอ่อนแอเกินกว่าจะใช้ต่อสู้ แต่ขนก็แข็งแรงทนทานและสวย บางทีพวกเราเลยจะเอาพวกมันมาทำเครื่องประดับบ้างบางครั้ง”

 

พูดแล้วราชาก็จับที่สร้อยคอซึ่งร้อยด้วยขนคล้ายของนกสีแดงส้มซึ่งดูสดใหม่ราวกับมีชีวิต ในตอนนั้นฉันฟังผ่าน ๆ โดยไม่ใส่ใจอะไรมากนักก่อนที่จะเจอเรื่องชวนให้ประหลาดใจอีกแล้วเมื่อไปเห็นด้วยตาตัวเอง

นักโทษจำนวนหนึ่งที่ดูผอมแห้งแรงน้อยจนอดคิดไม่ได้ว่าจะให้คนพวกนี้เป็นแรงงานจริงเหรอ ดูท่าที่ผอมจนเห็นกระดูกกันหมดแค่ไปสะกิดก็คงล้มเป็นแน่แท้ แถมยัง…มีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคนแก่

พวกนี้คือนักโทษหมดเลยเหรอ บ้ารึเปล่า เด็กบางคนยังดูไม่น่าจะทำอะไรด้วยตัวเองได้เลยแท้ ๆ

 

“ครอบครัวลูกหลานของนักโทษก็คือนักโทษ และคนที่ยอมให้พวกมันอยู่ด้วยก็คือนักโทษทั้งหมด ดังนั้นอย่าได้ตกใจเลย”

 

“…เหรอ”

 

“อา ส่วนนี่คือมังกรที่พวกมันเลี้ยงเอาไว้ในหมู่บ้าน”

 

เมื่อราชาพาไปดูกรงขังมังกรจำนวนหนึ่งเอาไว้ฉันก็เกือบจะหลุดตะโกนออกมา เพราะว่าในกรงนั่น…คือมังกร เฟโลกัส เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของแฟลชนั่นเอง พวกมันดูไม่มีแรงและผอมแห้งไม่ต่างจากนักโทษ สีหน้าเศร้าสร้อยและไม่มีความสุข

ถึงจะบอกว่าเลี้ยงเอาไว้แต่ก็…จำนวนน้อยมาก คงมีแค่ราว ๆ 10 ตัวเท่านั้น และฉันรู้เหตุผลนั่นดี มังกรโบราณใกล้สูญพันธุ์…พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้รึไงกันนะ

 

“ให้เท่าไหร่”

 

“อืม…พวกเราก็ต้องใช้แรงงานเช่นกัน งั้นครึ่งหนึ่งได้รึเปล่า?”

 

“ได้ ขอเน้นเป็น คนแก่ เด็ก แล้วก็พ่อหรือแม่ของเด็กนะ”

 

“…เอาพวกนั้นไปจะใช้แรงงานได้เหรอ”

 

“เถอะน่า”

 

ถึงแม้จะมีสายตาเคลือบแคลงอยู่แต่เพราะราชาเองก็เห็นว่าเป็นประโยชน์กับตัวเองด้วยแหละมั้งที่กำจัดคนที่ใช้งานไม่ได้ออก จึงเต็มใจมอบมาให้แต่โดยดี พร้อมทั้งมังกรอีกห้าตัว..ใจจริงอยากได้ทั้งหมดนั่นเหลือเกิน เพราะพวกนี้ก็…อยู่รอวันโดนฆ่าไปทำเครื่องประดับ

แย่ล่ะ แบบนี้จะไปสู้หน้าแฟลชได้ไง

 

หลังจากได้คนมาเพิ่มอีกราว ๆ 50 กว่าคนกับมังกรอีกห้าตัวฉันก็รีบเดินทางกลับทันทีราวกับพยายามหนี และสองวันต่อมาในที่สุดก็ได้กลับมาที่เกาะฟิวสักที…

 

“เฮ้อ!! เหนื่อยเป็นบ้าเลย!!”

 

ฉันทิ้งตัวลงบนพื้นหินของเกาะทันทีหลังจากเดินลงจากเรือ อิกนิสที่เห็นก็ตั้งคอตรงครู่หนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหงายท้องตามอย่างรวดเร็ว และส่งเสียงครวญครางออกมาจากลำคอเบา ๆ ราวกับบ่นเลียนแบบฉัน

โบลที่ตามหลังพวกฉันมาติด ๆ ก็ทำหน้าเหนื่อยใช้แล้วใช้ฝ่ามือกุมหัว ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา

 

“หัวหน้า…ลูกน้องทุกคนมองอยู่นะ”

 

“เอาน่า แค่นิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก โอ๊ะ ไม่อยู่พักนึงดูดีขึ้นเยอะเลยนี่นานพวกนายมาถึงก็ไปพักกันสักหน่อยแล้วกัน แล้วเดี๋ยวค่อยมาตกลงเรื่องส่วนแบ่งกัน”

 

“รับทราบ…แล้วคนพวกนี้ล่ะ”

 

โบลที่ขานรับคำสั่งของฉันพร้อมกับคนอื่นเหลือบมองไปที่นักโทษด้วยสายตาลำบากใจ เขาคงเข้าใจดีว่าการดูแลคนจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่งานถนัดฉัน ซึ่งก็ถูกต้องตามที่เขาคิด สิ่งที่เคยเรียนรู้มามีแค่การนำทัพนำคนจำนวนหนึ่งต่อสู้เท่านั้น แต่พอต้องเป็นผู้นำกลุ่มที่ไม่ใช่การต่อสู้แล้ว…คิดไม่ออกจริง ๆ นั่นแหละ

แต่ว่าคนพวกนี้ฉันมีเรื่องที่อยากให้ทำเป็นการส่วนตัวแน่ ๆ ล่ะ

 

“ก่อนอื่นก็ไปอาบน้ำหาเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ก่อน…พวกเรามีผ้าสำรองอยู่ใช่ไหม?”

 

“ก็พอมีอยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้ทุกคนคงต้องออกไปซื้อ”

 

“ฝากด้วยล่ะ เอาเงินฉันไปแล้วกัน”

 

ว่าแล้วฉันก็กลิ้งตัวเข้าไปหาอิกนิสที่ยังนอนหงายท้องอยู่ ก่อนจะพยายามเปิดกระเป๋าเขาจึงกลับมานอนท่าปกติให้หยิบของได้ง่าย แล้วยื่นเงินให้กับโบล

 

“เดี๋ยวตอนติดส่วนแบ่งค่อยมาถมอีกที ตอนนี้ใช้เงินฉันไปก่อนแหละ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“อืม แล้วก็พวกนาย”

 

ฉันลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่ข้างอิกนิส ก่อนจะเอามือวางบนอานของเขาและใช้มือเกยคงมองไปทางนักโทษด้วยท่าทีสบาย ๆ ผิดกันกับฝั่งตรงข้ามที่ตัวแข็งเกร็งเต็มไปด้วยความกลัว เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังตัวสั่นอยู่

พวกเขาทั้งหมดสภาพดูไม่จัดจนถึงขั้นไม่จำเป็นต้องล่ามหรือระวังเป็นพิเศษก็ไม่มีทางทำอันตรายพวกเราได้ คงต้องใช้เวลาพอควรเลยเพื่อฟื้นให้ร่างกายกลับมาสมบูรณ์ แต่เรื่องนั้นก็เอาไว้ก่อน

 

“พวกนายเลี้ยงมังกรนั่นเป็นใช่ไหม”

 

ฉันพูดขึ้นแล้วชี้ไปที่มังกรห้าตัวซึ่งโดนล่ามเอาไว้ พวกมันก็ไม่ค่อยมีแรงเช่นกันแต่ทางริมิร่าก็ล่ามเอาไว้ตลอด เพราะถึงจะอ่อนแอแต่ถ้าหลุดก็คงบินหนีไปไกลแน่ และนั่นคงยากที่จะตามกลับมา หรือไม่แน่มันอาจจะไปตายอยู่ที่ไหนสักที่…ซึ่งฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด

พวกนักโทษพยักหน้าให้อย่างหวาดหวั่น ดีล่ะ

 

“ดีล่ะ งานของพวกนายมีแค่ ดูแลพวกมันให้ดี ทำทุกอย่างเพื่ออำนวยกับการเพิ่มจำนวนประชากรของพวกมัน ถ้าอยากได้อะไรให้รวมมาบอกฉัน จะไปหามาให้”

 

เมื่อได้รับคำสั่งแบบนั้นทุกคนก็ทำหน้าไม่สบายใจและมองหน้ากันไปมา ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ? พวกนี้เพิ่มประชากรไว้ไม่ดีกว่าเหรอ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครแย้งอะไรขึ้นมา แต่สีหน้าก็ดูเหมือนจะไม่อยากทำอยู่ดี ฉันจึงหน้ากระตุกเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิด

 

“คิดว่าฉันเป็นผู้นำยังไงกัน มีอะไรไม่พอใจก็พูดมาสิ ถ้าไม่บอกว่าไม่อยากทำอะไรแล้วจะเลี่ยงได้ยังไง เอ้า มีอะไรก็พูดมา”

 

ฉันรู้ดีว่าการพูดแบบนี้มันเป็นการเร่งและกดดันพวกเขาหนักยิ่งกว่าเดิม ในสายตาทุกคนคงเห็นว่าฉันเป็นผู้นำที่น่ากลัวไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็หงุดหงิดจริง ๆ เพราะสายตาแบบนั้น…พวกเขามองว่าฉันเป็นเหมือนราชาของริมิร่านั่น ถึงจะรู้ว่าโทษไปก็ไม่ได้อะไร แต่มันก็ไม่น่าพอใจจริง ๆ

และใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะมีคนใจกล้าพูดขึ้นมา ทำเอานึกถึงตอนรับคนเร่ร่อนเลย เนื่องด้วยในนี้ส่ วนใหญ่เป็นคนแก่ เด็ก และผู้หญิงที่เป็นแม่ คนที่ออกมาพูดจึงเป็นผู้หญิงเช่นกัน

 

“ท่าน…จะฆ่าพวกมันรึเปล่าคะ”

 

“…จะบ้าเหรอ มังกรสำคัญขนาดนั้นจะไปฆ่าทำไม อีกอย่าง…ฉันคงสู้หน้าหมอนั่นไม่ได้แน่ แฟลช!!”

 

“กรร!”

 

ฉันส่งเสียงเรียกแฟลชทันทีหลังพูดจบ ในตอนนั้นก็มีเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาแต่ไกล แล้วเจ้าของร่างก็บินมาเกาะบนอานของอิกนิส สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่านักโทษ

 

“ก็อย่างที่เห็น พวกนั้นเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของคู่หูฉัน จะไปทำอะไรแบบนั้นได้ไงกัน”

 

“กรร?”

 

เมื่อฉันพูดแบบนั้นแฟลชก็เอียงคอด้วยความสงสัย ฉันจึงยิ้มให้และลูกหัวเขาก่อนจะหันไปคุยต่อโดนปล่อยให้ยังสงสัยต่อไป

 

“ถ้าปล่อยพวกนั้นจะหนีไหม”

 

“…ถ้าพวกเรายังอยู่ พวกมันก็ไม่ไปไหนค่ะ”

 

“งั้นก็ดี”

 

ว่าแล้วฉันก็โยนกุญแจที่เอาไว้ปลดล็อกโซ่ล่ามมังกรอีกห้าตัวเอาไว้ เมื่อได้ไปพวกเธอก็ดูตื่นเต้นพอควรก่อนจะหันมามองฉันเป็นทำนองว่าได้เหรอ ดังนั้นจึงพยักหน้ากลับไป

โดยที่ไม่รอช้า พวกเธอปล่อยให้มังกรห้าตัวเป็นอิสระและเดินออกมาด้านนอกทันที นั่นทำให้ขนหัวของแฟลชตั้งพร้อมทั้งแผ่นที่อยู่ตรงจมูก ก่อนที่จะเริ่มสั่นพร้อมส่ายหาง และโผบินเข้าหามังกรที่ดูอ่อนแรงทันที

 

“กรร!”

 

“กรร!!”

 

เมื่อแฟลชส่งเสียงร้องทักทายเพื่อนด้วยเสียงใสและเต็มไปด้วยความยินดี เหมือนว่าอีกห้าตัวก็จะเริ่มมีความหวังขึ้นมาและร้องกลับพร้อมกันแม้ว่าเสียงจะแผ่วเบาก็ตาม แฟลชนั้นดูดีใจมากจนกระโดดขึ้นวนรอบเพื่อนอีกห้าตัวจนรู้สึกเวียนหัวแทน

และก็ทำการดมกลิ่นกันและกันกับทุกตัวเป็นการทักทาย นั่นทำให้ฉันยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นดีจริง ๆ แฟลชนั้นร่าเริงก็จริงแต่จะมีบางครั้งที่ดูเหงา

หวังว่าการได้เจอเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์จะทำให้เขามีครอบครัวของตัวเองขึ้นมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นฉันจะต้องปกป้องเอาไว้ ไม่สิ พวกเราจะต้องปกป้องพวกแฟลชเอาไว้ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นสิ่งหลงเหลือจากยุคโบราณ แต่เป็นเพราะทุกคนคือเพื่อนต่างหาก

 

“เพราะงั้นฝากด้วยล่ะ งานของพวกนายคือดูแลพวกนี้ให้อยู่รอดและดีที่สุด เรื่องความปลอดภัยให้เป็นหน้าที่พวกฉัน ระหว่างนั้นถ้ามือว่างก็ไปทำพวกงานที่ไม่ต้องใช้แรงมากแล้วกัน ตอนนี้ฉันคงต้องไปจัดการเรื่องอื่นแล้วล่ะ…”

 

จากนั้นฉันก็หาวหวอดออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย รีบไปจัดการส่วนแบ่งแล้วนอนพักดีกว่า ถ้าขอหยุดยาว ๆ โบลจะให้ไหมนะ คงได้แหละตอนนี้อยากนอนชะมัดเลย…

 

 

 

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset