ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 51: ภาค 2 ตอนที่ 27 ปิดการประชุม

 ‘ไหน อยู่ทางไหน!!’

 

‘เอ๊ะ ล่าสุดที่เห็นอยู่ตรงนี้นะ…หรือว่า!’

 

หลังจากวิ่งมาหยุดตรงจุดที่แฟลชบินวนไปมา ฉันก็เริ่มหันซ้ายหันขวาไปมาเพื่อมองหาตัวของแฟร์ ในตอนนี้ฟ้ามืดสนิทก็จริง แต่ก็ยังพอมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน แฟลชเองก็ทำสีหน้าแตกตื่นแล้วบินโฉบลงไปทางหน้าผาด้านล่าง แล้วก็ร้องออกมาเสียงดัง

 

‘แฟร์!!’

 

‘ข้างล่างเรอะ?!’

 

เมื่อตัดสินได้ดังนั้น ก็ไม่รอช้าที่จะกระโจนตัวเองให้ไหลลงตามเหวไป ถึงแม้จะสูงชันแต่ว่าด้วยความสามารถที่ฝึกมาการจะลงแบบไม่มีแผลนั้นง่ายมากถ้ามีสมาธิ ซึ่งในตอนนี้นั้นร้อนรนพอควรพอไถลร่างลงไปจึงเกิดแผลถลอกตามมา

และในที่สุดก็ลงมาถึงที่พื้นก่อนจะพบกับซากของของอย่างกระแทกกันพื้น ทั้งยังมีหินก้อนใหญ่ซึ่งน่าจะแตกหล่นลงมาทับอีกรอบ ถึงแม้ว่าสภาพจะดูเละไปหมดแต่ก็พอมองออก…ว่านั่นคือรถม้าที่แฟร์นั่งไปตอนแยกกันกับฉัน

 

‘อะ- อิกนิส ทำไงดี…แฟร์…แฟร์อยู่ข้างใต้นั้น’

 

แฟลชที่เกาะอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลมากนักร้องออกมาด้วยเสียงสะอื้น รู้ได้ในทันทีเลยว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ ฉันเองก็ไปไม่ถูกเช่นกัน เพราะสภาพแบบนี้ต่อให้โง่แค่ไหนก็คงรู้…ว่ามนุษย์ไม่มีทางรอดแน่ ฉันมาช้าไป เป็นความผิดของฉัน ไม่น่าปล่อยให้เธอเดินทางตัวคนเดียวเลย ฉันนี่มัน…

ในตอนที่กำลังจมดิ่งไปกับความเสียใจแล้วหลับตากัดฟันแน่อยู่นั้น ก็สัมผัสได้ถึงพลังเวทที่อบอุ่น…ลอยมาจากข้างใต้นั้น

 

‘นั่นมัน?!’

 

หลังรู้สึกได้ถึงพลังเวทนั้นที่อยู่ข้างใต้หินฉันก็รู้ได้ทันที เพราะพลังเวทแบบนี้ไม่ผิดแน่ ถึงจะเคยเห็นแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน แต่ความตื่นเต้นในวันนั้นยังคงติดอยู่ในใจเสมอ นี่คือเวทของเคียร่า ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ หรือว่า…

 

‘กรร!!’

 

‘แกร๊ก’

 

ฉันส่งเสียงคำรามออกมาดังสนั่น พร้อมทั้งตั้งท่าเอาหัวชนกับก้อนหินนั่นอย่างแรง ทำเอาแฟลชที่อยู่ไม่ไกลมากสะดุ้งโหยงเพราะแรงกระแทกที่ทำให้เกิดเสียงดัง แน่นอนว่าฉันยังคงไม่หยุดและออกแรงชนเข้าอีกเรื่อย ๆ

 

‘ทำอะไรน่ะ ป่านนี้แฟร์คง…’

 

‘ไม่! ฉันเชื่อว่าเธอยังไม่ได้ ฉันรู้สึกได้…ว่าเธอต้องมีชีวิตอยู่แน่!!’

 

‘แกร๊ก’

 

เมื่อโดนแฟลชขัดก็ไม่รอช้าที่จะตะคอกสวนกลับไป แล้วออกแรงดันหินนั่นไม่หยุด เวทมนตร์ของเคียร่าในวันนั้นเกินความเข้าใจไปมาก แฟร์มักจะบอกอยู่เสมอว่าพลังของเคียร่ามันเกินไปจนน่าเหลือเชื่อ ถ้าเวทของเธอจะทำให้แฟร์ไม่ตายในสภาพนี้ล่ะก็ ก็คงไม่น่าแปลกใจ!!

 

‘แกร๊ก แกร๊ก’

 

‘อ๊ากก!!’

 

หลังจากเสียงบางอย่างร้าวที่ดังอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้ดังถี่ขึ้น ในที่สุดหน้ากากที่เป็นรูปกะโหลกบนหัวก็แตกลง นั่นทำให้มีเศษเล็กเศษน้อยทิ่มแทงเข้าที่ผิวของฉัน แล้วความกลัวตามสัญชาตญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดบังใบหน้าก็ถาโถมเข้ามา จนเผลอก้าวถอยหลังไป

หน้ากากที่แสนสำคัญ…ของสำคัญที่ได้มาจากท่านแม่…ลมเย็นที่พัดเข้ามาพัดใส่ใบหน้าที่ไม่เคยโผล่ออกมาแทบจะตลอดชั่วชีวิตนั้น ทำให้ดวงตาสั่นเครือด้วยความกลัว ฉันต้อง…รีบหาอะไรมาปิดหน้า

‘นี่ ถ้าไม่มีที่ไปล่ะก็ มาด้วยกันกับฉันไหม’

 

เสียงของเด็กมนุษย์ที่ทั้งแหลมเล็กดังขึ้นก้องกังวานในหัว ทำให้รู้สึกตัวได้และสะดุ้งขึ้นอีกครั้ง จริงด้วย…ของสำคัญของฉัน นอกจากหน้ากากนี่อีกอย่างก็คือแฟร์ ดังนั้นถึงจะเสียหน้ากากนี่ไปแต่ว่าฉัน…จะไม่ยอมเสียแฟร์ไป

 

‘กรร!!’

 

ฉันส่งเสียงขู่คำรามมาอีกครั้งแล้วพุ่งเอาหัวเข้าชนอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้ไม่มีหน้ากากกะโหลกของท่านแม่ ที่ราวกับเป็นเกราะกำบังอีกแล้ว ทั้งความเจ็บปวดและแรงสั่นสะเทือนเองก็มีเยอะขึ้นมากโข แต่ว่าถึงอย่างนั้น ฉันก็จะไม่หยุดเด็ดขาด!

ในคราวนี้ฉันนี่แหละ จะเป็นคนช่วยเธอเอง!

 

———————– ———————

 

“ฮึ่ม อย่างนี้นี่เอง…”

 

องค์สมเด็จพระสันตะปาปาพูดออกมาแบบนั้น แล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เสียงรอบข้างเองก็ดังก้องกังวานไปทั่วด้วยความไม่ไว้วางใจ เพราะคิดกันว่าถึงจะฟังดูดีแค่ไหน พวกเราก็มีต้นกำเนิดเป็นเพียงแค่ ‘ทหารรับจ้าง’

เสียงพวกนั้นสะท้อนไปมามากพอที่จะทำให้รู้สึกเวียนหัว ยิ่งกับฉันที่ทั้งไม่ชินแล้วก็ไม่ชอบนั้นยิ่งแล้วใหญ่ จนรู้สึกว่าอยากให้การประชุมนี้รีบจบลง…นี่มันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว

 

“สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย หรือว่า…ไม่พอใจกับเส้นทางนี้งั้นรึ”

 

“ปะ- เปล่า…ไม่ใช่แบบนั้น…”

 

ทำไมกันนะ พอเสียงรอบข้างยิ่งก้องสะท้อนอยู่ในหัว ความมั่นใจเมื่อกี้ก็หดหายลงไป แทนที่ด้วยความประหม่า…จริงด้วย อยู่ต่อหน้าคนใหญ่โตแบบนี้ต้องพยายามพูดให้สุภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่พลาดมาตลอดเลยเหรอเนี่ย มิน่า ทุกครั้งที่พูดอะไรเสียงรอบข้างจะยิ่งไม่พอใจขึ้นกว่าเดิม

ใบหน้าของคู่สนทนาในตอนนี้นั้นแม้จะดูอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ก็รู้สึกได้เลยว่าเขาไม่ได้ยิ้มอยู่ ถึงจะมีวิตอยู่มานานและเจอความกดดันหลายรูปแบบ แต่หนนี้นั้นทำให้เสียวหลังวาบไปหมด ได้แต่เฝ้าระวังว่าคำพูดต่อไปของเขาจะเป็นอะไร

 

“ทหารรับจ้างเอ๋ย ท่านดูไม่เหมาะและไม่ชอบใจที่นี่เลย…เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่”

 

“นั่น…เพราะเป็นคำสั่งของหัวหน้า ถ้าหากได้รับจดหมายคำสั่งแสดงว่าเกิดเรื่องกับเธอ แล้วให้ฉันมาแทน”

 

ฉันตอบออกไปตามตรงเช่นเดิม พร้อมทั้งคิดในใจว่าเรื่องนั้นเคยบอกไปแล้วไม่ใช่รึไง แต่ว่าวาโรไม่พูดอะไร ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างหนักแน่น

 

“ไม่ไหวหรอกมั้ง”

 

คำพูดนั้นทำให้รู้สึกสะท้านไปทั้งตัว เสียงรอบข้างก็ฮือฮากันไปทั่ว หลายคนคงหวังให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่า นั่นไม่ตลกเลยสำหรับฉัน ไม่ไหวเหรอ? นั่นหมายความว่าฉันทำพลาดไปสินะ และเพราะแบบนั้น…สิ่งที่แฟร์พยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่า

 

“ผู้นำของพวกท่านนี่ช่างไม่ไหวเอาเสียเลย”

 

“…ห๋า หมายความว่าไง”

 

“จากข้อมูลที่ได้มาในนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้า ทุกคนทำงานตามคำสั่งที่ถูกป้อนให้ แม้แต่ท่านในตอนนี้ก็ยังฝืนกลั้นเพียงเพราะคำสั่ง หากข้าทำอะไรที่เหนือการคาดเดาของหัวหน้าท่าน คงจะตอบโต้กลับมาไม่ได้สินะ เพราะว่าไม่มีคนคอยสั่งการ…ช่างโชคร้าย ที่ต้องเป็นลูกน้องของเธอ–”

 

‘ปัง!!’

 

สิ้นประโยคสุดท้ายจบ ก็ราวกับว่าความสับสนและกดดันเมื่อกี้ทั้งหมดหายไป ฉันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วทุบโต๊ะอย่างแรงจนมือเกิดบาดแผลกระแทก พร้อมทั้งกัดฟันและจ้องมองไปที่ดวงตาของเขา ด้วยความเดือดดาล

 

“ถอนคำพูดนั่นของแกซะ!!”

 

ความโมโหร้ายและท่าทีที่แข็งกร้าวของทหารรับจ้างที่สั่งสมมาเกือบชั่วชีวิต เสียงบ่นและด่าทอรอบข้างที่เข้ามากวนในหัวนั่นก็ช่างปะไร ทั้งชีวิตนี้ตั้งแต่เลือกเส้นทางของทหารรับจ้างก็อยู่มาด้วยการถูกนินทาว่าร้ายมาเสมอ กะอีแค่นี้ เมินมันไปซะก็พอเพราะว่าเรื่องที่ได้ยินจากปากไอ้แก่นั่น เป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด

 

“แกมันจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับไอ้เด็กนั่น! ทั้งมอบที่อยู่ให้หลับนอน มอบความรู้ให้ใช้ในชีวิต ไม่ว่าจะทำอะไร คำสั่งแบบไหน ทุกอย่างก็เพื่อทุกคนที่ลำบาก ไม่ว่าจะยากแค่ไหนสิ่งแรกที่จะนึกถึงก็เป็นลูกน้องอย่างพวกเราเสมอ แบบนั้นไม่ใช่หัวหน้าที่ดีตรงไหนกัน! หรือที่ดีนั่นจะหมายถึงพวกราชวงศ์ที่นั่งพุงกางอยู่บนบัลลังก์ ไม่เคยเห็นหัวประชาชนที่ยากลำบากซ้ำร้ายยังไล่ออกไปอีก ถ้าเทียบกันแล้วพวกฉันโชคร้ายล่ะก็ พวกคนบนโลกนี้ที่เหลือมันก็ตกนรกกันทั้งเป็นล่ะวะ!!”

 

เสียงรอบด้านเริ่มเป็นการตำหนิติเตียน รวมไปถึงความกังวลในหลายอย่างพร้อมทั้งบอกให้พระสันตะปาปารีบจบการประชุม แต่ เขาทำเพียงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า และจ้องมองที่ดวงตาของฉันเท่านั้น

 

“พวกแกที่ฟังเรื่องของเธอคงจะคิดว่าไอ้เด็กเวรนี่มันเพ้อเจ้อ หลงอยู่ในความฝัน มันบ้า เออ ไม่เถียงหรอกเว้ย แต่ว่า เพราะเด็กเวรนั่นมุ่งหน้าไปยังความฝันได้จนถึงขนาดนี้ไม่ใช่รึไง ถึงได้น่านับถือ ดังนั้นไม่ว่าใครจะว่ายังไง ทั้งฉัน แล้วก็เพื่อนของฉัน ทุกคนยังคงเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าเสมอ เพราะเธอเป็นคนที่ไร้เดียงสาและเพ้อฝันมากที่สุด ถึงได้เป็นคนที่มีโอกาสทำตามอุดมคติได้มากที่สุดไงล่ะ นี่คือความเชื่อของพวกฉัน!!”

 

“ถ้างั้นก็แสดงออกมาให้เห็นเสียสิ”

 

คำพูดที่หนักแน่นและดังก้องกังวานขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูปวกเปียกของเขา พุ่งตรงเข้ามาที่ฉันพร้อมทั้งความรู้สึกกดดัน แน่นอนว่าเพราะความโกรธในตอนนี้เลยไม่สะทกสะท้านกับมันแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไร เขาก็ขัดขึ้นมาก่อน

 

“วิธีจะดูว่าหัวหน้าของกลุ่มนั้นดีหรือไม่ให้ดูที่ลูกน้อง หากอยากให้เราถอนคำพูดนักล่ะก็ แสดงให้เห็นสิ ว่าหัวหน้าของท่านนั้นเป็นผู้นำที่ดี”

 

“ห๊ะ ข้อดีของยัยนั่นฉันก็พูดไปแล้วไง แล้วอีกอย่าง นั่นมันหมายความว่าอะไรวะ-”

 

“งั้นมีคำถาม หากหลังจากนี้เราทำสิ่งที่หัวหน้าท่านไม่ได้คาดเดาเอาไว้ และไม่มีคำสั่งบอกล่ะก็ ท่านจะทำอย่างไร”

 

“เรื่องนั้น…”

 

หลังจากจู่ ๆ ก็ถูกฉุดกลับเข้าเรื่องการประชุมก็ทำให้ไปไม่เป็นในทันที ถ้าหากไม่มีคำสั่งจากแฟร์เอาไว้น่ะเหรอ ถ้าแบบนั้น…คงต้องรอปรึกษากับแฟร์อีกที—

 

“ทหารรับจ้างเอ๋ย”

 

ในตอนที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยคำตอบไปนั่นเอง วาโรก็เรียงด้วยน้ำเสียงเข้มและมีแรงกดดันมหาศาลส่งมา ดวงตาที่ดูอ่อนโยนตลอด ในตอนนี้นั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดมองมาที่ทางนี้ ราวกับกำลังขู่อยู่เลย…

 

“ลองทบทวนให้ดี ถึงสิ่งที่เราพูดไปเมื่อครู่ และลองไตร่ตรองอีกหน ถึงจุดประสงค์ที่หัวหน้าพวกท่านมอบการศึกษาให้ทุกคน ถ้ามาขนาดนี้แล้ว ท่านยังบอกว่าต้องรอคำสั่งอีกละก็…จะกลายเป็นหัวหน้าของท่านเสียเองนะ ที่โชคร้าย…”

 

ฉันสะอึกและเผลอกลั้นหายใจในทันทีที่ได้ยิน พร้อมดวงตาเวทนาของเขา แบบนั้น แฟร์โชคร้าย…ที่มีลูกน้องแบบฉันงั้นเหรอ? ทำไมล่ะ เธอมักจะบอกเสมอว่าตัวเองโชคดีที่มีทุกคนอยู่ แต่ที่บอกว่าโชคร้ายนั่นหมายถึงอะไร…สิ่งที่แฟร์ต้องการจากให้ความรู้พวกเราเหรอ

นั่น…เธอเคยบอกว่าเพื่อให้มีประโยชน์ในการเอาตัวรอด เห็นกว่าตัวขึ้นมาหน่อยคืออยากลดงานให้ตัวเอง และอย่างสุดท้าย…

 

“ทุกคนจะยังคงยืนหยัดต่อไปได้…แม้จะไม่มีเธอ”

 

“หึ ท่านก็รู้มิใช่รึ ถ้างั้นต่อไป เหตุใดจึงให้ท่านมาเป็นตัวแทนล่ะ”

 

ในที่สุดความกดดันจากชายชราก็หายไป แทนที่ด้วยดวงตาอ่อนโยนเช่นเดิมพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปาก พร้อมทั้งเสียงหัวเราะออกมาจากลำคออย่างพึงพอใจ และรอฟังต่อ

เหตุผลที่แฟร์มอบหมายให้ฉันเป็นตัวแทนเหรอ…ไม่ใช่ให้พูดในสิ่งที่เตรียมเอาไว้อย่างเดียว แต่หมายถึง ให้ทำหน้าที่แทนเธอที่ไม่อยู่ นั่นก็คือ เป็นผู้นำของประเทศที่จะตักตวงผลประโยชน์ให้ทุกคน แบบนั้นสินะ?

 

“เหอะ ทำให้เสียอารมณ์ซะได้ มาประชุมกันต่อดีกว่า…แต่ยังไม่จบหรอกนะไอ้แก่ ยังไงฉันก็จะทำให้แกถอนคำพูดให้ได้”

 

“ฮ่า ๆ ๆ เราจะรอก็แล้วกัน”

 

หลังจากนั้นเราก็คุยกันต่อถึงเรื่องประเด็นการก่อตั้งประเทศ ในตอนนี้หัวรู้สึกโล่งและสงบอย่างน่าประหลาด พอจดจ่อไปแค่ว่า แบบไหนจะดีสำหรับพวกเรา ก็รู้สึกว่าหัวยุ่งเกินกว่าจะคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเสียงนินทา แถมยังไม่กังวลอีกด้วยว่าจะตรงกับคำสั่งแฟร์รึเปล่า เพราะถ้าเป็นแฟร์เอง…ก็คงเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา

ไม่นานนักก็ได้บทสรุปออกมาว่า ทางศาสนจักรจะยินดีช่วยสนับสนุน หากพวกเราเซ็นสัญญาอนุรักษ์มังกรใกล้สูญพันธุ์ โดยนอกจากจะสร้างพื้นที่เหมาะสมกับการเพาะพันธุ์พวกเฟโลกัสอย่างแฟลชแล้ว ก็จะสร้างพื้นที่สำหรับมังกรดินชนิดอื่นที่ในอนาคตทางศาสนจักรจะรวบรวมมาให้พวกเราดูแล

ซึ่งจะกินพื้นที่ของเกาะไปเยอะมาก แต่ก็แลกด้วยการสนับสนุนจากทางโบสถ์ จึงได้ตกลงทำสัญญานั้นไป จากนั้นเรื่องการแยกทหารของประเทศกับทหารรับจ้างที่สังกัดของพวกเราออกจากกัน ทางวาโรแนะนำว่าเพื่อไม่ให้มีปัญหากับประเทศอื่น ให้แยกชื่อของสองกลุ่มนี้ออกจากกัน แถมยังต้องแยกคนดูแลออกจากระบบทางการของประเทศอีกด้วย พยายามให้ภายนอกดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันมากที่สุดจะดีกว่า

ซึ่งชื่อ ฟิว อันเดิมนั้นจะให้เป็นของกลุ่มทหารรับจ้าง แต่ชื่อของประเทศจะใช้ชื่อใหม่ที่ว่า ‘เซทเฟร่า’

 

“แปลว่า ‘ความมั่นคง’ ชอบไหมล่ะ”

 

“อา ฟังดูดีเลย”

 

พอพูดสรุปแบบนั้น วาโรก็ใช้มือดันตัวเองกับโต๊ะให้ลุกขึ้น พร้อมทั้งพูดออกมาว่า ‘งั้นก็ไปกันเถอะ’ ซึ่งฉันก็ได้แต่เอียงคอมองว่าไปไหน เขาก็ยิ้มอ่อนให้พร้อมทั้งพูดออกมาว่า

 

“คงต้องเตรียมตัวอีกเยอะเลย เราเองก็เบื่อประเทศที่มีราชวงศ์เอาแต่นอนพุงกางบนบัลลังก์แล้วเช่นกัน คงต้องย้ายที่เสียหน่อย…ไปยังประเทศแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยอุดมคติ หึหึหึ”

 

เขาพูดออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งส่งเสียงออกมาจากลำคออย่างหมดเรี่ยวแรง และก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้ฉันที่ยังตามไม่ทันได้แต่อ้าปากค้าง นั่น หมายถึง…จะย้ายไปอยู่ที่ประเทศพวกเราเรอะ!!

 

————————- ———————-

(มุมนักเขียน)

 

อีกตอนเดียวก็จะจบแล้ว ไม่มีอยู่จริง…ที่จริงคิดไว้ว่าจะให้จบภาค 2 ในตอนนี้เลยค่ะ แต่ดูเหมือนจะเขียนยาวเกินไปอีกแล้ว //เอานิ้วเขี่ยพื้น

แต่ตอนต่อไปนี่แหละค่ะ!! จะพยายามให้เขียนไม่เกิน (ฮา)

 

รูปมังกรฟารีสกันตอนไม่มีหน้ากาก

(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )

 

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset