ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 58: ภาค 3 ตอนที่ 3 การถกเถียงถึงแผนการ

 เนื่องจากยังคงเป็นเพียงการวางแผนในขั้นต้น ห้องประชุมหนนี้จึงเป็นขนาดเล็กมีคนเข้าร่วมไม่เยอะ ได้แก่ ราชา เจ้าชาย นายกเทศมนตรีอันคอยทำงานอยู่ข้างราชา ขุนนางฝ่ายการคลัง แม่ทัพใหญ่ซึ่งดูแลทหารทั้งหมด โอเรลที่เชิญมาเพราะเจ้าตัวเสนอให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับระบบภายในของฟัวกรา

และสุดท้าย ฉันกับหัวหน้า ที่อยู่หน่วยข่าวกรอง ปกติหัวหน้าจะไม่พาลูกน้องมาด้วยนัก แต่เพราะบทบาทของฉันคือการกระจายข่าวให้รวดเร็วที่สุด จึงได้ขออนุญาตราชาให้พาเข้ามาฟังโดยตรงเลย ทางนั้นเองก็เหมือนจะไว้ใจฉันมาจากการเป็นเพื่อนของเจ้าชายเลยไม่ได้ว่าอะไร ถ้าจะมีปัญหาคือขุนนางที่ไม่เคยเจอฉันมาก่อนมากกว่า

 

“ชิ ให้นังนี่เข้ามาอีกแล้วเรอะ”

 

เริ่มที่แม่ทัพใหญ่ เขาเดาะลิ้นและบ่นออกมาอย่างชัดเจน เพราะด้วยความที่เจ้าตัวอารมณ์ร้อนและขวานผ่าซาก จึงเป็นคนเดียวในนี้ที่มีความสำรวมน้อยที่สุด แน่นอนว่าฉันไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ และยืนนิ่งอยู่หลังที่นั่งของหัวหน้า เพราะถึงจะได้เข้ามาร่วมแต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์ให้นั่งร่วมกับคนอื่น

 

“ค่ะ เนื่องจากระยะเวลาในการจัดการประชุมกระชั้นชิดมาก ข้อมูลที่ดิฉันรวบรวมมาจากขุนนางท่านอื่นจึงยังไม่ถูกส่งต่อให้หัวหน้า จึงมาเป็นผู้อธิบายต่อด้วยตนเองค่ะ”

 

เมื่อบอกเหตุผลไปอย่างเรียบง่าย เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อแล้วชักสีหน้าใส่ ก่อนที่ราชาจะรีบเริ่มการประชุมเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา และเนื้อหาแรกที่เราจะฟังนั่นก็คือข้อมูลจากฟัวกรา ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนอื่นในหน่วยข่าวกรอง หัวหน้าจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้

 

“ในขณะนี้อย่างที่ทราบกันว่าใน 2 ปีที่ผ่านมาฟัวกรารวบรวมกองทัพเพื่อเตรียมพิชิตทั้งทวีป และรอให้เราเป็นผู้จุดชนวน…ทางด้านนั้นจึงสามารถเคลื่อนทัพตีพรมแดนเราได้ทุกเมื่อครับ”

 

ไม่แปลกที่รายงานของหัวหน้าจะเป็นข้อมูลที่น่าสงสัยว่าได้มายังไง แต่ว่างานจริง ๆ ของหน่วยข่าวกรองอย่างพวกเราคือการเป็นสายลับที่ต่างประเทศ มีแค่ฉันซึ่งได้รับหน้าที่ที่ในตอนแรกเป็นของขุนนางทั่วไป ที่ต้องนำข่าวไปป่าวประกาศด้วยตนเอง

แต่ว่า เพราะหน่วยเรามีขนาดเล็กอยู่แล้ว ทั้งสภาพของริเกลก็คงไม่เอื้อต่อการทำแบบนั้น จึงกลายเป็นว่ารวบให้ฉันเป็นคนรวมข้อมูลภายในประเทศ แล้วเอามารายงานในห้องประชุมแบบตอนนี้นั่นเอง

 

“อืม…คิดว่าจะเกิดการปะทะกันเมื่อไหร่ล่ะ”

 

“จากข้อมูลที่ได้มาและการคาดการณ์ คิดว่าคงไม่เกิน 2 เดือนครับ”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บรรยากาศทั้งห้องก็ตึงเครียดขึ้นมาในทันที สองเดือนฟังดูเหมือนจะเป็นระยะเวลาที่นาน แต่ว่า สำหรับเรื่องแบบนี้แล้วมันก็สั้นเพียงแค่ชั่วพริบตา เพราะพวกเราต้องรวบรวมกำลังพลให้พร้อมรับมือกับกองทัพของประเทศมหาอำนาจอย่างฟัวกรา

ทั้งข้อมูลที่ได้ยังเป็นการคาดเดา ถ้าให้เผื่อเพื่อความปลอดภัยก็คงคิดไว้ว่าเกิดขึ้นเร็วกว่านั้น นั่นหมายความว่าเราต้องเตรียมการให้เสร็จก่อนหน้านั้นอีก และนั่นก็ต้องพึ่งพาข้อมูลที่ฉันต้องรายงานในวันนี้มาประกอบการตัดสินใจ

 

“แล้วพวกขุนนางคนอื่นล่ะ ว่าไงกันบ้าง”

 

“ค่ะ!”

 

ฉันขานรับทันทีพร้อมทั้งเตรียมเอกสารรายงานที่จดเอาไว้ขึ้นมาดู มันคือกระดาษที่ฉันใช้จดคำพูดทั้งหมดที่ขุนนางทุกคนพูดกับฉัน

 

“มีขุนนางส่วนหนึ่งสามารถส่งกำลังพลมาหนุนทัพหลักได้ พร้อมทั้งการจ่ายภาษีเพิ่มและของบรรณาการอื่น ๆ ค่ะ แต่ว่า ขุนนางอีกส่วนหนึ่งนั้น…บอกว่าไม่สามารถส่งให้ได้ในทันทีค่ะ”

 

“หมายความว่าไงกัน”

 

“ตอนนี้ในหลายเขตประสบปัญหาขาดแคลน จึงไม่สามารถส่งมาสนับสนุนได้ค่ะ รายชื่อก็มีดังนี้…”

 

จากนั้นก็เริ่มอ่านชื่อคนที่มีความเห็นไปในทางนี้ออกมา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ภายในห้องเงียบสงัดกว่าเดิม เป็นเพราะว่า…รายชื่อที่ฉันพูดไปนั้น เกือบจะเป็นทั้งหมดแล้ว ดังนั้นแทนที่จะเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่ง ต้องบอกว่าส่วนใหญ่น่าจะถูกกว่า

เอาเข้าจริงแล้วหากไม่นับคำพูดที่คุยกับเจ้าเมือง ขุนนางที่ยินดีจะส่งมาก็แค่อยากเอาใจราชาเท่านั้น สภาพเขตของตัวเองก็ไม่ได้พร้อมไปมากกว่ากัน…สถานการณ์ย่ำแย่มากจริง ๆ

 

“ฮึ่ม ถ้างั้น พวกเราก็รีบบุกกันเลยเถอะ!”

 

แม่ทัพใหญ่พรวดพราดออกมาเช่นนั้น พร้อมทั้งทุบโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ทำให้ขุนนางฝ่ายการคลังได้แต่ถอนหายใจ แล้วก็เริ่มหยิบยกประเด็นเรื่องเสบียงและสภาพเงินของประเทศ ว่าการบุกแบบบุ่มบ่ามจะสูญเสียเยอะเกินไป แต่ทางแม่ทัพเองก็ยังเถียงอย่างใจขาดว่าควรบุกตอนนี้เลย

ในความเห็นของเขานั้นมองว่าควรชิงบุกก่อนให้อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว และยึดเอาเสบียงของศัตรูมา แถมนี่แต่เดิมยังเป็นความคิดของราชาจากการประชุมคราวก่อนด้วย ส่วนใหญ่ในห้องนี้จึงเห็นด้วย

แต่ว่า

 

“ผมคิดว่า โปรดทบทวนแผนนี้ใหม่อีกครั้งเถอะครับ”

 

หัวหน้าพูดขึ้นมาขัดบรรยากาศในห้องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้แม่ทัพกัดฟันกรอดที่ได้ยินแบบนี้ออกมาจากปากเขา เพราะคงคิดว่าหัวหน้าที่เป็นอัศวินคงไม่มีทางขัดแผนการแบบนี้แน่

 

“ทำไมล่ะโกล อัศวินมังกรที่กล้าหาญมันตายไปตามอายุแล้วรึไง”

 

“ต่อให้กล้าหาญแค่ไหน หากเป็นการกระทำที่อาจพาประเทศเราไปสู่หายนะ ก็ต้องมีหวั่นเกรงทั้งนั้นแหละ หากท่านต้องการต่อสู้เพื่อประเทศนี้จริง ๆ”

 

“ว่าไงนะ!!”

 

“พอแค่นั้นแหละ ทั้งสองคน”

 

ในตอนที่แม่ทัพลุกพรวดออกจากเก้าอี้ด้วยความไม่พอใจ ราชาก็เป็นคนชิงพูดตัดบทไม่ให้ทะเลาะกันหนักไปมากกว่านี้ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังหัวหน้าด้วยดวงตาเฉียบคม

 

“มีอะไรจะพูดอีกรึเปล่า โกล”

 

“ครับ จากข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นเห็นได้ว่าในระยะเวลาสองปีมีการรวบรวมกำลังพลมาตลอด ถึงแม้พวกเราจะชิงบุกให้รวดเร็วในตอนนี้ ก็อันตรายอยู่ดีครับ”

 

“แต่ว่า ถ้าหากเราผ่าน รูฟ และ มิลด้า ไปได้ ที่บอลก้าจะมีคนสมทบอยู่นะครับ”

คราวนี้กลายเป็นว่าทุกคนทึ่งกับสิ่งที่โอเรลพูด กองหนุนที่บอลก้า? ถึงจะเคยได้ยินมาก่อนก็เถอะ ว่าอีกครึ่งหนึ่งของเขานั้นเป็นของฟัวกรา ซึ่งพ่อของเขาก็อยู่ที่บอลก้านั่นเอง

 

“ในเขตของท่านพ่อเคยถูกราชาบีบบังคับให้ทำเรื่องเลวร้ายกับประชาชนลงไป ท่านจึงไม่พอใจราชามานานแล้วล่ะครับ”

 

“พันธมิตรเพิ่มสินะดีเลยหนิ แล้วมีอะไรจะแย้งอีกไหม โกล”

 

“…เดิมที่ นี่เป็นสิ่งที่เคียร่าเคยเสนอมา หากท่านไม่ว่าอะไร ผมอยากให้เธอเป็นคนพูดด้วยตนเองได้ไหมครับ”

 

หัวหน้าถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา และโยนมาให้ฉันซึ่งเป็นคนต้นคิดอธิบาย ในตอนนั้นบนใบหน้าของทุกคนจึงเต็มไปด้วยความแปลกใจ ยกเว้นแม่ทัพที่คิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม

 

“โฮ่ ความคิดเธอเองงั้นเหรอ ไหนลองว่ามาสิ”

 

“ราชา! เธอเป็นเพียงสามัญชนนะครับ!”

 

“เงียบหน่อย ฉันต้องการฟังความคิดของเด็กคนนั้น”

 

“ขอบพระคุณค่ะ”

 

หนนี้กลับกลายเป็นว่าขุนนางฝ่ายการขลังเป็นคนพูดขัดขึ้นมา เขาเป็นคนประเภทที่เหยียดหยามสามัญชน และชูหางขุนนางแบบตัวเอง แต่แน่นอนว่าถึงจะไม่ชอบมากขนาดไหน หากราชาเป็นคนพูดขึ้นมาด้วยตัวเองก็ต้องเงียบฟัง ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มพูด

 

“ดิฉันคิดว่า ปัญหาขาดแคลนอาหารของพวกเรานั้นไม่สามารถเมินเฉย และเลือกวิธีการไปตายเอาดาบหน้าได้ค่ะ ทั้งยังเส้นทางไปบอลก้านั้นเสี่ยงกับการโดนล้อมได้สูง เพราะว่าอยู่ติดกับเมืองหลวงอย่างโอโบเรล ซึ่งคงมีทหารเยอะกว่าที่อื่นแน่ค่ะ ดังนั้นหากจะบุกไปเส้นทางนั้น ควรจะเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดีก่อนค่ะ”

 

“ฮึ่ม งั้นเราควรเปลี่ยนเส้นทางอื่นรึ โอลหรือเคลเบียล่ะว่าไง ถ้าออกไปติดทะเลได้ก็สามารถค้าขายกับที่อื่นได้”

 

“น่าเสียดายแต่คงยากเช่นกันค่ะ เพราะเส้นทางนั้นไกลจากชายแดนทั้งยังค่อนข้างล้าหลัง ต่อให้ยึดเสบียงมาก็อาจจะไม่เพียงพอต่อกองทัพเราจนไปถึงที่หมายได้ ทั้งยังถูกปิดทางหรือสวนจากด้านหลังได้ง่ายด้วย”

 

‘ปัง!’

 

“เอาแต่พูดคำว่า ‘ไม่’ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว! จะให้ทำอะไรกันแน่! ถ้ามีความคิดอะไรดี ๆ ก็รีบพูดออกมาได้แล้ว อย่ายืดยาว”

 

ท้ายที่สุดแม่ทัพก็ระเบิดความไม่พอใจออกมาแล้วรบเร้าให้ฉันพูดประเด็นหลัก ไม่ได้ขับไสไล่ส่งฉันเหมือนเมื่อครู่ แน่อยู่แล้ว สิ่งที่ฉันพูดไปเอาเข้าจริงก็เป็นเรื่องง่ายที่แค่มองก็ยังรู้ เพียงแต่พวกเขาเมินเฉยเรื่องนั้นเพราะไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า และคิดว่าการทำอะไรที่เสี่ยงแบบนั้นคงดีกว่านั่งอยู่เฉย ๆ

แต่ว่า…การตัดสินใจของพวกเราในวันนี้มีผลต่อชีวิตคนจำนวนมาก จะมาแตกตื่นและรีบร้อนตัดสินใจเพราะถูกกดดันไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ฉันในวันนี้ต้องดึงให้ทุกคนคิดทุกอย่างด้วยความใจเย็นให้ได้

 

“ถ้างั้นจะขอพูดความในใจอย่างรวบรัดนะคะ พวกท่านที่เป็นขุนนางทั้งหมด…หวังพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไปหรือเปล่าคะ”

 

ทั่วทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบสงัด ซึ่งเกิดมาจากความอึดอัดที่ฉันพูดคำนี้ออกมา โดยที่จ้องเข้าไปในดวงตาของราชา อันเป็นผู้อยู่สูงสุดของประเทศอย่างไม่หวั่นเกรง ถึงแม้จะใช้คำว่าขุนนาง แต่สิ่งที่ฉันแสดงออกไปกลับพุ่งเป้าไปที่ราชาเท่านั้น

และไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ตัว ว่าถูกฉันตำหนิอยู่

 

“หมายความว่ายังไงกัน”

 

คำพูดที่ราวกับจะเป็นคมดาบตัดคอดังออกมาจากปากของเขา ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งห้องเย็นเฉียบลงในทันที ในขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความหวาดผวากัน แต่ตัวฉันและหัวหน้าซึ่งต้องเป็นคนรับผิดชอบการกระทำของฉันกลับนิ่งสงบ

นี่คือสิ่งที่พวกเราเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจะพูดในวันนี้

 

“ไม่ว่าจะแผนการไหน เป้าหมายก็เพื่อการติดต่อกับที่อื่นและหวังว่ามันจะช่วยพวกเราได้ทั้งนั้น และสาเหตุที่มีปัญหากันตอนนี้ ก็เป็นเพราะโดนคนที่พึ่งพามาตลอดหันดาบเข้าใส่ไม่ใช่เหรอคะ โปรดหาหนทางรอดให้ได้ แม้จะเหลือเพียงแค่พวกเราด้วยค่ะ ท่านราชาเลิกพึ่งพาประเทศอื่นได้แล้วค่ะ”

 

“…”

 

ทั่วทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบอีกครั้ง แต่ในหนนี้นั้นต่างออกไปเพราะทุกคนกำลังใช้ความคิดอยู่ อย่างที่ฉันพูดไปว่าพวกเขาพึ่งพาประเทศอื่นกันมากเกินไป สิ่งนี้ฉันก็คิดมาได้สักพักแล้วว่าประเทศของเรานั้นมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใน

ตัวพวกเขานั้นเชื่อกันว่าตัวเองเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่มีภูเขาห้อมล้อมเอาไว้เหมือนเป็นกรงขัง ว่าเราไม่สามารถหลุดพ้นไปจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ไปได้ แล้วที่ผ่านมาก็ดำรงอยู่ได้โดยการขอพึ่งพาคนอื่น แสดงให้เห็นว่าตนนั้นน่าสงสารที่ถูกขังเอาไว้…

ราวกับสัตว์ที่ชอบอยู่ในกรงเพราะมีคนคอยเอาข้าวและน้ำมาเสิร์ฟให้ ไม่จำเป็นต้องออกไปดิ้นรนด้วยตัวเองภายนอก นั่นคือสิ่งที่ฉันประเมินได้จากการมองประเทศฟาเรเรีย บ้านเกิดของฉันในตอนนี้

แต่ว่า…การจะไปว่าพวกเขาขนาดนั้นก็คงเป็นการเกินไปหน่อย เพราะอีกสาเหตุที่ฉันคิดแบบนี้ได้ ก็เพราะมีความรู้จากชาติก่อน จึงรู้ว่าบางสิ่งที่พวกเขาคิดว่าทำไม่ได้ แท้จริงแล้วมันสามารถทำได้

 

“ประเทศพวกเรา ถือว่าอุดมสมบูรณ์นะคะ”

 

ใช่แล้ว ในขณะที่เกียร์มัวและฟัวกรามีปัญหาเรื่องน้ำสะอาดเพราะไม่มีแม่น้ำ แต่พวกเรานั้นมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่

ในขณะที่ริมิร่าและเดเวียขาดแคลนหินแร่ต่าง ๆ พวกเราก็มีสิ่งนั้นกันมากจนเหลือเฟือ และในขณะที่ทราโก้เจอเข้ากับความหนาวเหน็บซึ่งส่งผลให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ยาก ประเทศของพวกเราก็อบอุ่นเพียบพร้อมไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย

จะติดก็เพียงแต่…

 

“แต่ก็ไม่มีใครไม่รู้ ว่ารอบประเทศของเรามีภูเขาล้อมอยู่”

 

ใช่ ภูเขาที่สูงลิ่วไกลสุดลูกหูลูกตา กว้างครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศเอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งยังมีมีงกรที่ทรงพลังอย่าง อัลละวา อาศัยอยู่ นี่คือสิ่งที่กดพวกเขาเอาไว้ให้ไม่พัฒนาต่อ แต่ว่า

 

“แต่ว่าถ้าไม่นับเรื่องนั้น ประเทศของเราก็ถือว่าล้อมรอบไปด้วยทะเลนะคะ”

 

“…แล้วจะให้ทำยังไง ต่อให้พื้นที่ติดทะเลขนาดไหน ถ้ามีภูเขาสูงใหญ่แบบนี้ขวางอยู่ก็ไปไม่ได้หรอกนะ”

 

ราชาขมวดคิ้วทันทีที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น ในตอนนี้เสียงรบกวนจากคนรอบข้างก็หายไปแล้ว ราวกับว่าเป็นบทสนทนาที่มีกันแค่สองคน…ในที่สุด การพูดที่ยาวเหยียดของฉันในวันนี้ก็จะจบลงซะที

 

“ถ้าเราข้ามหรืออ้อมไม่ได้ เราก็เจาะไปเลยสิคะ”

 

ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเขามองข้ามมาตลอดย่อมเป็นสิ่งที่เหนือไปกว่าความเข้าใจของคนในยุคนี้ ขนาดฉันเองก็ยังต้องทบทวนให้ถี่ถ้วนก่อน นั่นก็คือการเจาะภูเขา และสร้างอุโมงค์สำหรับการเดินทางนั้นเอง

 

 

 

 

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset