ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 78: ภาค 3 ตอนที่ 23 การพบพาน

ตามแผนของเคียร่า พวกเธอกับฟัวกราจะนัดพบกันตรงหมู่บ้านในเขตมิลด้า หลังจากเจอกันและมั่นใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็จะเรียกฉันเข้าไปสมทบ ในตอนนี้ฉันจึงมารออยู่ในเมืองบอลก้าก่อน แต่ว่า…

 

“ช้าจังนะ…”

 

แม้ว่าฉันจะมาเร็วกว่าเคียร่าค่อนข้างมาก แต่ถ้าลองกะระยะดูก็น่าจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และวันนี้ก็ควรเป็นวันที่พวกเธอเดินทางมาที่เมืองบอลก้าได้แล้วนี่นา แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นวี่แววว่ามีใครเดินทางมาถึงหมู่บ้านนั้นเลย…

 

“ฮึ่ม โบล เรามีสายอยู่ในเมืองไหนบ้างที่ฟัวกรา”

 

“ก็ตามเมืองใหญ่ ๆ นั่นแหละ ทำไมเรอะ?”

 

“รวบรวมข่าวจากเมืองรอบบอลก้าในช่วงนี้มาให้หมด จะข่าวเล็กน้อยแค่ไหนก็ได้ เอามาให้หมด”

 

โบลที่รับคำสั่งไปก็ทำท่างงดูพักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปสั่งงานต่ออีกทอดหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นสุดท้ายก็ต้องรออีกหน่อยล่ะนะกว่าจะได้เรื่อง เพราะงานนี้คงต้องเลี่ยงการใช้มังกรเฟโลกัส

ถ้าแฟลชยังคุ้นชินกับการหลบ ๆ ซ่อน ๆ สายตาขออพวกฟัวกราได้ แต่พวกตัวใหม่ที่ถูกฝึกมาทีหลังยังอยู่ในช่วงหัดส่งจดหมายด้วยซ้ำ เสี่ยงที่เรื่องจะรั่วไหลแบบคราวก่อนอีก

ว่าแล้วฉันก็หวนนึกกลับไปในวันที่นัดกับพระสันตะปาปา พอคิดเรื่องนี้แล้ว อีกหน่อยคงต้องเปิดเผยเรื่องมังกรเฟโลกัสอย่างแฟลชแล้ว ค่อยไปคุยเรื่องนี้กับพระสันตะปาปา…

 

“อา!! ไม่ได้ ๆ อุตส่าห์หนีมาจากกองงานในห้องแล้วแท้ ๆ มานั่งพะวงก็เสียเปล่าหมดสิ!”

 

“โฮ่ ที่แท้ก็มีความตั้งใจแบบนี้เองสินะ”

 

เมื่อได้ยินเสียงนั้นของโบลฉันก็ตัวกระตุกกึก มันเป็นน้ำเสียง ที่ราบเรียบซึ่งแฝงไปด้วยความกดดันเล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็พบกับร่างของคุณลุงที่ทำหน้าบึ้งจ้องมาทางนี้

 

“มะ- ไม่ใช่ว่าฉันสั่งงานนายไปแล้วเรอะ…”

 

“กระจายคำสั่งเรียบร้อยแล้วล่ะ…เฮ้อ เอาเถอะ เธอก็รอวันนี้มานานแล้วนี่นะ”

 

โบลที่เหมือนหมดคำจะพูดก็ถอนหายใจออกมา พลางเงยหน้าเหม่อมองไปไกล ฉันเองก็มองเขาก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เคียร่าเคยทำให้ แม้ว่าเวทของมันจะใช้การอีกไม่ได้แล้วก็เถอะ ฉันก็ยังคงเก็บรักษามันเอาไว้อย่างดีเสมอ

 

“ใช่…ในที่สุดก็จะได้เจอกันแล้ว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น”

 

หวังว่าข่าวที่ให้ลูกน้องไปรวบรวมมาจะพอทำให้รู้อะไรบ้างล่ะนะ ระหว่างนี้ก็…เดี๋ยวไปนั่งเล่นกับอิกนิสรอก็แล้วกัน

 

“ตอนไปเจอกันเอาใครไปบ้างล่ะ”

 

“เอ๊ะ แค่ไปเจอแล้วก็คุยกันนิดหน่อย แค่ฉันคนเดียวก็พอแล้วมั้ง”

 

“คราวก่อนยังไม่เข็ดอีกรึไง รอบนี้อย่างน้อยก็พาไปสักกลุ่มเถอะ ฉันเองก็จะไปด้วย”

 

นั่นสินะเรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้อยู่ ว่าถึงตอนนี้จะปกปิดตัวตนเอาไว้ แต่การระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เสียหายนี่เนอะ ฉันจึงไม่ได้ขัดอะไรกับสิ่งที่โบลเสนอมา เว้นอยู่อย่างหนึ่งที่พอได้ยินถึงกับต้องขมวดคิ้ว

 

 

“นายจะไปด้วยเรอะ”

 

หลังจากถามแบบนั้นออกไปด้วยสีหน้าเคลือบแคลง โบลก็มองทางนี้นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มมุมปากเห็นฟันอย่างรื่นเริง อะไรล่ะนั่น ดูกวนชะมัด

 

“ก็แค่ อยากจะเห็นสุดที่รักของหัวหน้าบ้างเท่านั้นแหละ”

 

“หยุดเลย เคียร่าไม่ใช่ของโชว์หายากซะหน่อย”

 

“ฮ่า ๆ ไม่เอาน่า เป็นคนที่หัวหน้าหลงหัวปักหัวปำขนาดนั้น ใครก็สงสัยทั้งนั้นแหละ อีกอย่าง อยากจะดูให้แน่ใจด้วยว่าเป็นคนแบบไหน”

 

“ฮึ่ม พูดอย่างกับเป็นพ่อฉันแหนะ”

 

“ก็ไม่เลวนะ”

 

“…”

 

หลังจบคำนั้น ความเงียบก็เข้าปกคลุมพวกเราอีกหนหนึ่ง จนสุดท้ายฉันที่ทนบรรยากาศแปลก ๆ ไม่ได้ก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที เป็นการหารือถึงการเดินทางไปหาเคียร่า ว่าจะพาใครไปด้วยบ้างและเส้นทางไหน พอตกลงกันเรียบร้อยฉันก็ไปเตรียมตัวรออยู่กับอิกนิส

 

—————————– —————————

 

“ก๊าสสส!”

 

ในตอนที่กำลังนั่งรอการกลับมาของเคียร่าอยู่นั้น เสียงคำรามของริเกลก็ดังก้องกังวานจนแม้จะอยู่ตรงนี้ก็ได้ยินอย่างชัดเจน ผมจึงรีบลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก เกิดอะไรขึ้น?!

แต่ยังไม่ทันจะวิ่งไปขี่บนตัวม้า ท่านโกลที่เป็นองครักษ์ของผมในขณะนี้ก็ยื่นแขนมาบังไว้

 

“ใจเย็นก่อนเจ้าชาย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเราต้องทำตามขั้นตอนที่เตรียมไว้”

 

“แต่—”

 

ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ โกลก็เปิดตากว้างออกมาด้วยความตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนจากใช้มือกันตัวผมไว้ กลายเป็นออกแรงผลักให้ถอยกลับอย่างชัดเจน พอสงสัยในท่าทีนั้นจึงหันไปมองตามปลายสายตาของเขา…

แฟลชบินกลับมาเพียงตัวเดียว

 

“เตรียมตัวถอยกันเดี๋ยวนี้! เจ้าหนูยาลมันทรยศพวกเรา!!”

 

“ไม่จริงน่า อย่างโอเรลน่ะเหรอ…เดี๋ยวก่อน เราจะมั่นใจสถานการณ์ได้ยังไง ว่าโอเรลจู่โจมเคียร่าจริง อาจจะเป็นฟัวกราที่ไหวตัวทันก็ได้”

 

“ถึงเป็นเช่นนั้น เรื่องที่พวกเราต้องหนีจากที่นี่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง”

 

เขาพูดในเชิงดุเล็กน้อยแล้วจ้องเข้ามาในดวงตาผมอย่างเถรตรง อาจจะเป็นเพราะผมคือเจ้าชายไม่ใช่ราชา เขาจึงกล้าที่จะตำหนิและชี้แนะอย่างตรงไปตรงมา หรือไม่แน่ก็อาจจะด้วยเหตุผลอื่น

แต่เพราะสีหน้าของผมคงบ่งบอกว่าไม่อยากทิ้งเคียร่าไว้ทั้งแบบนั้น เขาจึงพูดดักขึ้นมาในทันที

 

“ท่านอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ แล้วนำพาไปสู่ชัยชนะมิใช่รึ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ช่วยตระหนักด้วยว่าตัวเองสำคัญแค่ไหน ควเข้าใจใช่ไหมถ้าประเทศนี้ไม่มีท่านจะเป็นเช่นไร?”

 

“…”

 

จากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดออกมาจากปากเขาอีก แต่เมื่อเห็นว่าผมยังไม่มีท่าทีจะถอยเขาจึงออกแรงบังคับให้เดินกลับ ผมจึงสะบัดมือเขาออกและเราสองคนก็มองหน้ากัน

 

“เข้าใจแล้ว ผมจะเดินต่อเอง”

 

ใช่แล้ว นี่คือการเตรียมใจของผม ถึงแม้จะเป็นห่วงเคียร่าแต่ว่าตอนนี้ก็ต้องรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ เหมือนที่เคียร่าเคยพูดตอนช่วยท่านพ่อ…ถ้าพวกเราตายซะเอง จะเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่า

ดังนั้นในตอนนี้ผมจึงหันหลังให้กับเสียงคำรามของริเกล และควบม้ากลับไปกับอัศวินมังกร โดยที่ให้แฟลชเข้ามาหลบอยู่ในกระเป๋าของผม

การเดินทางกลับของพวกเรานั้นยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม ทั้งยังตัดสินใจออกนอกเส้นทางก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายเดาทางได้ยาก เลยเดินทางลัดเลาะเพื่อไปแอบอยู่ในเมืองบอลก้า โดยหวังว่าเราจะรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับเคียร่าและโอเรลบ้าง…

แต่ข่าวที่พวกเราได้ยินระหว่างทาง ก็มีเพียงมีไฟป่าลามอยู่ข้างหมู่บ้านที่พวกเรานัดหมาย นั่นก็คือจุดที่พวกเราเคยตั้งแคมป์กันนั่นเอง ยิ่งเป็นตัวบอกได้ชัดเจนเลยว่าโอเรลหักหลังเราจริง ๆ เพราะเขาเป็นคนที่บอกให้พวกเรารออยู่ตรงนั้น

มันยิ่งทำให้ใจของผมปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม ไม่อยากจะเชื่อ ทำใจเชื่อไม่ลงเลย สำหรับผมโอเรลคือเพื่อนสนิทที่โตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก บางทีก็เคยคิดด้วยซ้ำว่าถ้าได้มีน้องชายก็คงเป็นแบบเขา…การที่เกิดเรื่องแบบนี้มันทำใจได้ลำบากจริง ๆ

 

“จู่ ๆ การตรวจตราภายในฟัวกราก็เข้มงวดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจริงด้วย แสดงว่าในตอนที่เรามาก็แค่เปิดทางให้สินะครับ”

 

“ถูกครึ่งหนึ่งครับ พวกนั้นจงใจเปิดทางให้พวกเราก็จริง แต่ก็แค่ส่งคนหละหลวมมาประจำการไว้เท่านั้นเอง”

 

แบบนี้นี่เอง แสดงว่าทหารที่หละหลวมก็มีของจริงอยู่สินะ เมื่อผมถามท่านโกลก็ตอบ และมีอีกหลายอย่างที่เขาแนะนำสำหรับการหลบซ่อนจากศัตรู การเดินทางของพวกเราที่ต้องหลบสายตาของฟัวกราเป็นแบบนี้อยู่ประมาณ 3 วันได้กว่าจะถึงบอลก้า

อัศวินหน่วยข่าวกรองนั้นจะมาหาข้อมูลจากเมืองใหญ่แบบนี้บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงรู้ช่วงเวลาที่หละหลวมพอจะแอบเข้าไปได้ เมืองบอลก้านั้นมีประชากรอัดแน่นมากดังนั้นจึงเหมาะจะเป็นที่ซ่อนตัวสุด ๆ

แต่…ในขณะที่กำลังเดินจูงม้าอยู่ในเมืองนั้น ก็มีชายใส่เสื้อคลุมมิดชิดเดินสวนมา และใช้ไหล่กระแทกผมอย่างจัง และพร้อมกันนั้น…

 

“…โทษที”

 

“…ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้มองทางเอง”

 

ผมตามน้ำชายคนนั้นไปทันทีโดยเหลือบมองด้วยสายตาเคลือบแคลง ถึงกระนั้นเขาก็เดินต่ออย่างสงบนิ่งราวกับไม่สนใจในตัวผม โกลเองก็มองดูอย่างห่าง ๆ โดยที่ในมือจับดาบเอาไว้ตลอดเวลา

จนชายคนนั้นลับสายตาไปโกลก็ส่งสายตามาทางนี้ ผมจึงพยักหน้าไปแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง…ในไม่กี่อึดใจที่เขาเดินชนไหล่กับผม ก็มีกระดาษใบหนึ่งสอดเข้ามาในกระเป๋ากางเกงที่ใส่อยู่

และเมื่อเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก็ต้องเสียวสันหลังวาบในทันที โกลที่อ่านก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน จึงมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง

 

‘เจอกันที่โรงเตี๊ยม ‘เซ็ท’ ขอแนะนำว่าอย่าปฏิเสธ คุณเจ้าชาย’

 

ทันทีที่เข้าเมืองมาก็มีคนรับรู้ถึงตัวตนของพวกเราได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ในระหว่างทางก็ระวังรอบตัวให้มากที่สุด ทั้งที่มั่นใจว่าคราวนี้คงไม่มีทางหลงเข้าไปในกับดักอีกแน่ แต่…

 

“มีคนรู้ตัวตนของพวกเราแล้วสินะ”

 

“เอายังไงดีครับ”

 

“โรงเตี๊ยม ‘เซ็ท’ เหรอ…เกรงว่าคงมีแต่ต้องลองไปตามนั้นดู”

 

เมื่อตกลงกันอย่างเรียบง่ายแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าเดินหาโรงเตี๊ยมที่ว่านั่นจนไม่นานก็เจอ เมื่อมองไปก็เป็นเพียงที่พักขนาดกลางค่อนไปทางเล็กแบบธรรมดา ที่ดูสะอาดสะอ้านและมีโรงเก็บมังกรให้ และไม่รอช้าอัศวินมังกรคนหนึ่งก็พามังกรและม้าไปเก็บ ส่วนที่เหลือรวมท่านโกลก็คุ้มครองผมเข้าไปในร้าน

ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยคนจำนวนหนึ่งที่กำลังนั่งดื่มสังสรรค์ตั้งแต่หัววัน บรรยากาศค่อนข้างครึกครื้นคนที่อยู่ด้านหลังบาร์กำลังชงเครื่องดื่มอย่างขยันขันแข็ง คงเรียกได้ว่าเป็นร้านธรรมดาแสนธรรมดา

พอก้าวเท้าเข้าไปทุกคนในร้านต่างก็กินดื่มกันเป็นปกติราวกับไม่สนใจ แต่ว่ารู้สึกได้เลย ว่ามีสายตาจำนวนมากกำลังจับจ้องมาที่พวกเราอยู่

ร้านนี่มันยังไงกัน…

 

“โปรดระวังตัวไว้ด้วยนะครับ ทุกคนในร้านนี่พกอาวุธกันอยู่”

 

โกลเข้ามากระซิบที่ข้างหูเช่นนั้น ทำให้ผมกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่พร้อมทั้งพยักหน้า ก่อนจะเริ่มเดินไปนั่งลงตรงเคาน์เตอร์โดยที่โกลก็เข้ามานั่งตามด้านข้าง ส่วนอัศวินคนอื่นเพื่อไม่ให้ดูเด่นเกินไปก็แยกตัวไปนั่งตามจุดต่าง ๆ ในร้าน

แล้วในตอนนั้นคนที่ยืนชงเครื่องดื่มหลังบาร์ก็พูดขึ้น

 

“แขกเหรอ? หรือสมาชิกใหม่?”

 

แขก? สมาชิก? หมายถึงอะไรกัน…ในตอนที่ผมเกือบจะพลั้งปากถามออกไปนั้น ท่านโกลก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่าเป็น ‘แขก’ ทำให้ทั่วทั้งร้านมีเสียงครึกครื้นกว่าเดิม ราวกับกำลังรอฟังเรื่องน่าสนุก ยิ่งทำให้พวกเรารู้สึกไม่สบายใจหนักกว่าเดิม

 

“เหรอ งั้นมีอะไรให้ช่วยล่ะ”

 

“…พวกเรามาตามสิ่งนี้น่ะ พอจะรู้อะไรไหม?”

 

ว่าแล้วท่านโกลก็สะกิดแขนของผมเล็กน้อย ทำให้รู้ได้ทันทีว่าหมายถึงกระดาษจากชายปริศนาในเมือง ชายที่ต้องรับเรานั้นหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านทั้งที่ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบราวกับเป็นเรื่องปกติ

 

“อ้า แขก ‘พิเศษ’ นี่เอง…”

 

เมื่อมีคำว่า ‘พิเศษ’ เพิ่มขึ้นมาในประโยค ทั่วทั้งร้านก็หมดความสนใจกับพวกเราไปอย่างรวดเร็ว และทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปอย่างปกติสุข ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น…

 

“อย่าใส่ใจเจ้าพวกนั้นเลย เป็นแบบนี้ประจำแหละ มานี่สิ”

 

ชายคนนั้นพูดขึ้นก่อนจะวางของเอาไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปทางบันไดโรงเตี๊ยม ท่านโกลส่งสายตาให้อัศวินมังกรคนอื่นเตรียมดูสถานการณ์อยู่ด้านล่าง แล้วก็มีเพียงเราสองคนอีกครั้งที่เดินตามขึ้นมาด้านบน

เขาหยุดอยู่หน้าห้องที่ลึกเข้าไปในตัวอาคาร แล้วเคาะเรียกผู้ที่อยู่ด้านใน

 

“พาตัวมาแล้วครับ”

 

“ดีมาก เปิดเข้ามาเลย”

 

มีเสียงของหญิงสาวที่ดูทุ้มต่ำเล็กน้อยคาดว่าเพราะใช้การพูดแบบผู้ชายจึงเป็นเช่นนั้น ดังออกมาจากภายในห้องนั้น ชายที่นำทางจึงเปิดประตูออกแล้วหลบทางให้พวกเราเข้าไป

เราทั้งคู่มองหน้ากันพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าและเดินเข้าไป โดยโกลเป็นคนนำหน้า

สิ่งที่ผมเห็นอยู่ภายในห้องที่เหมือนจะเป็นโรงเตี๊ยมธรรมดาก็คือ ห้องทำงานที่มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ในสุดของห้องหันหน้ามาทางประตู ชั้นหนังสือจำนวนมากที่รายล้อมและเอกสารจำนวนหนึ่ง ซึ่งภายในนั้นผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของห้องก็คือ

เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกผม ผมสั้นสีน้ำเงินผิวคล้ำนั่งอยู่ที่โต๊ะภายในห้อง โดยมีชายที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับโกลยืนประกบอยู่ด้านข้าง เห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคงเป็นองครักษ์เด็กคนนั้นเหมือนกับที่โกลอยู่กับผม

เธอคนนั้นที่เมื่อครู่ทำหน้าเคร่งเครียดอ่านเอกสารอยู่ เงยหัวขึ้นมาพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มมุมปากมองมาทางพวกผมอย่างรวดเร็ว

 

“ไง ยินดีต้อนนะ เจ้าชายแวร์มิลแห่งฟาเรเรีย”

 

เมื่อได้ยินคำทักทายนั้นผู้ที่ตอบสนองคนแรกไม่ใช่ผม แต่เป็นแฟลชที่ซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋า เขาดิ้นขยุกขยิกจนโผล่หัวออกมาด้านนอกมองไปทางเด็กคนนั้น ก่อนที่ขนบนหัวจะตั้งชูโค้งขึ้นมาด้านหน้า และส่งเสียงร้องพร้อมทั้งสั่นขนกับแผงบนจมูกด้วยความดีใจ

ก่อนจะบินไปหาเธอคนนั้นและเกาะแขนอย่างสนิทสนม นั่นทำให้เราแทบจะได้คำตอบในทันทีเลยว่าเธอคือใคร…

 

“คงได้ยินเรื่องของฉันจากเคียร่าบ้างแล้วสินะ เอาล่ะ…ช่วยบอกสถานการณ์ตอนนี้ให้หน่องสิ”

 

————————– ———————–

(มุมคนเขียน)

 

ถ้าเราหายไป โปรดรู้ไว้ว่า…

หยอกเล่นค่ะ ฮ่าๆ เขียนอยู่เรื่อยๆ นี่แหละ แค่ได้เสพความน่ารักของน้อนๆ ไปด้วยเวลาเขียน ซึ่งจ่ายด้วยเวลาในการแวบไปป้อนอาหาร…ซึ่งก็ไม่ได้กระทบกับการเขียนเท่าไหร่ค่ะสบายใจได้~ วันนี้แค่มาโชว์ตัวสมาชิกใหม่ ที่ต้องมารอดูกันว่าในอนาคตจะได้เป็นใครในนิยา— แค่กๆ

ยังไงก็กลับมาเรื่องนิยาย (ฮา) อย่างที่เห็นกันว่าเคียร่ากับแฟร์ใกล้จะได้เจอกันแล้ว ตื่นเต้นไหมคะ? เรานี่ตื่นเต้นสุดๆ ค่ะ 55 อยากเขียนฉากนี้มานาน มากกกก สองตอนก่อนหน้านี้คือฟินมากๆ แล้วเราก็เชื่อว่าตอนถัดไปก็น่าจะยิ่งฟินหนักกว่าเดิม…สำหรับเราน่ะนะ UwU

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset