ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ – ตอนที่ 1057 สนับสนุนตระกูลหวัง

เพราะว่าชายหนุ่มคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้ชอบเลยแม้แต่น้อย กลับรังเกียจเขาเป็นอย่างมากแทนเสียด้วยซ้ำ

เธอคือประธานของโหวจวี๋กรุ๊ป คือหญิงแกร่งที่มีทั้งหน้าตาที่งดงาม ทั้งมีความสามารถ แล้วก็มีสถานะคนหนึ่ง

แต่หญิงแกร่งก็คือผู้หญิง

ในใจของเธอก็ปรารถนาที่จะมีคนหนึ่งที่สามารถรักใคร่เอ็นดูตนเอง ปรารถนาว่าตนเองจะสามารถมีคนหนึ่งที่พึ่งพาได้ ปรารถนาที่จะมีคนสามารถคอยรับฟังความในใจในยามที่เธอเหนื่อย

และคนๆนั้นที่เธอปรารถนาภายในจิตใจ ไม่ใช่คนนี้ที่ยืนอยู่ข้างกายของเธอ

ดังนั้น “ยินดี” สองคำนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอก็พูดไม่ออก

หวังเจียจุ้นมองความลังเลของหลงหลิงหลิงออก แนบรอยยิ้มไปด้วย เอ่ยคำข่มขู่ไปด้วยว่า “พ่อแม่คุณยังมองดูอยู่นะ?”

หลงหลิงหลิงตกใจในทันที หันไปทางพ่อแม่ของตนเอง

ในใจของเธอเกิดความทรมานและขัดขืนขึ้นอีกครั้ง สุดท้าย เธอทำได้เพียงหลับตาลง เอ่ยขึ้นในใจว่า ยอมรับชะตากรรมเถอะ!

“ฉัน…” ตอนที่หลงหลิงหลิงลืมตาขึ้นอีกครั้งไม่ได้มีความลังเลและขัดขืนอีกต่อไปแล้ว

แต่ในตอนที่เธอกำลังจะเอ่ยปาก กลับมีคนขัดจังหวะเธอขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“รอก่อน!”

เสียงนี้ดังมาก ดึงดูดความสนใจจากทุกคน

หวังเจียจุ้นมองไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

หลงหลิงหลิงก็ตกตะลึงไปทั้งใบหน้าเช่นเดียวกัน

จากนั้นกลุ่มคนก็ค่อยๆแยกออก มีคนสวมชุดสูทรองเท้าหนังสิบกว่าคนมาถึงที่ใจกลางงาน และคนที่เดินนำหน้าสุดคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไป๋หยุนเผิง

หวังเจียจุ้นเห็นแล้วคำรามเสียงดังออกไปว่า “แกเป็นใคร? มาที่นี่คิดจะก่อเรื่องหรอ?”

ไป๋หยุนเผิงมองดูหวังเจียจุ้นอย่างเยือกเย็น “แกคือหวังเจียจุ้น?”

หวังเจียจุ้นเอ่ยด้วยความโมโหในทันที “ใช่!แกคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ไป๋หยุนเผิงพยักหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาทั้งสองข้างที่เยือกเย็นเปล่งประกายจิตสังหารออกมา เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เรื่องของแกกับลูกชายฉันเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีทีหลัง สำหรับตอนนี้ แกยังไม่มีสิทธิ์พูดจากับฉัน!”

พูดจบ คนภายในงานก็ช็อกกันไปเป็นแถบ

ต้องรู้ว่าไป๋หยุนเผิงเป็นถึงหัวหน้าตระกูลไป๋หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง และคนที่เขาพามาด้วยที่ด้านหลังยังมีเย่เจี่ยและเย่ฮวนแห่งตระกูลเย่ รวมไปถึงหลินขวางผู้นำตระกูลหลิน

นอกเหนือจากนี้ยังมีหวังโหลวประธานเฟยเสว่กรุ๊ปอีกคน

คนเหล่านี้ต่อให้ถือออกมาเดี่ยวๆ ก็สามารถทำให้วงการธุรกิจของทั้งมณฑลเจียงเป่ยสั่นคลอนได้

แต่พี่ใหญ่เหล่านี้มารวมตัวกันทั้งหมด

“พระเจ้า นั่นคือสามตระกูลใหญ่แห่งสี่ตระกูลใหญ่เลยนะ!”

“วันนี้คนใหญ่คนโตมากมายขนาดนี้จะทำอะไรกันแน่นะ?”

“เกรงว่าจะมีละครสนุกให้ดูแล้ว!”

หวังเจียจุ้นในใจกลับไม่ยอม คิดจะเอ่ยปากพูดอะไร แต่กลับถูกมือหนึ่งรั้งเอาไว้ นี่คือพ่อของหวังเจียจุ้น “แกหุบปาก!”

หวังเจียจุ้นมองไปทางพ่อของเขาแวบหนึ่งอย่างไม่เข้าใจ

จากนั้นพ่อของหวังเจียจุ้นก็มาถึงยังด้านหน้าของเขา เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง “หัวหน้าตระกูลไป๋ วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของลูกชายผม หัวหน้าตระกูลทั้งหลายมาด้วยตนเอง เพิ่มแสงสว่างให้กับตระกูลหวังของเราจริงๆครับ!”

“พี่สือชิ่งเกรงใจเกินไปแล้ว แต่พวกเราในวันนี้ไม่ได้มาเพื่อดื่มเหล้ามงคล” ไป๋หยุนเผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าตระกูลหวังจะผงาดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่คนจำนวนมากภายในงานต่างไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลหวังมีชื่อว่าอะไร

ดีที่เมื่อครู่นี้ไป๋หยุนเผิงเรียกชื่อของเขา คนในงานในที่สุดถึงได้รู้ว่าหัวหน้าตระกูลหวังชื่อหวังสือชิ่ง

หวังสือชิ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย “งั้นเขามาที่นี่คือต้องการทำอะไรล่ะครับ?”

ไป๋หยุนเผิงไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่หันกลับไปพยักหน้าให้กับสองคนที่อยู่ทางด้านหลัง

จากนั้นก็มีชายสองคนที่สวมชุดเครื่องแบบเดินขึ้นมา ไป๋หยุนเผิงจึงเอ่ยว่า “แนะนำกับคุณสักหน่อย พวกเขาคือเจ้าหน้าที่รับรองเอกสารจากสำนักงานรับรองเอกสาร”

ในขณะที่พูดไปด้วยก็หยิบแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งออกมา ยื่นให้กับหวังสือชิ่งที่อยู่บนเวที “คุณสามารถลองดูให้ดีได้ ในนี้คือสำเนาของเอกสารรับรอง”

หวังสือชิ่งขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที “นี่คืออะไร?”

หวังเจียจุ้นเห็นดังนั้นก็รีบมารับไปในทันที แล้วก็ยื่นให้กับหวังสือชิ่ง

หวังสือชิ่งกำลังแกะเอกสาร ยังไม่ทันได้ดู ไป๋หยุนเผิงก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า “นี่คือสัญญาการโอนเฟิงหั่วกรุ๊ป”

“แกว่าอะไรนะ?” หวังเจียจุ้นสีหน้าเปลี่ยนมหันต์

ไป๋หยุนเผิงเพียงแต่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ราบเรียบ “หุ้นในเฟิงหั่วกรุ๊ปของพวกคุณตระกูลหวังมีสี่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ แต่สัญญาการโอนเหล่านี้บวกเข้าด้วยกัน หุ้นมีห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์”

ประโยคนี้พูดออกไป ทั้งงานก็เกิดความโกลาหลขึ้น

สีหน้าของหวังเจียจุ้นก็เปลี่ยนไปจนไม่น่าดูขึ้นมา เขาชี้ไป๋หยุนเผิงตะคอกด้วยความโมโหว่า “แกแม่งพูดจาซี้ซั้ว!วันนี้เป็นวันแต่งงานของฉัน พวกแกก็คือจงใจมาก่อความวุ่นวาย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รีบมาไล่พวกมันออกไป!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหลายของโรงแรมโป๋หย่ามองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าขึ้นไปไล่เลยแม้แต่น้อย

นั่นเป็นถึงหัวหน้าตระกูลสามตระกูลใหญ่ในสี่ตระกูลใหญ่เลยนะ!

สำหรับเสียงเอ็ดตะโรของหวังเจียจุ้นไป๋หยุนเผิงไม่คิดที่จะสนใจ แต่เอ่ยกับหวังสือชิ่งด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยแทนว่า “จริงหรือเท็จ คุณลองดูสัญญาการโอนที่อยู่ในมือก็รู้แล้ว ผมก็พาเจ้าหน้าที่รับรองเอกสารมาด้วย มีปัญหาอะไรล้วนถามพวกเขาได้”

สีหน้าของหวังเจียจุ้นซีดเผือดในทันที

แต่ยังไงก็ตามสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือปฏิกิริยาตอบสนองของหวังสือชิ่ง

หลังจากที่เขาดูสัญญาการโอนเสร็จ ก็หัวเราะอย่างสบายใจมาก “ที่แท้ที่พี่ไป๋มาฉากใหญ่ขนาดนี้ก็เป็นเพราะเฟิงหั่วกรุ๊ปหรอครับ หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ พี่ไป๋บอกกับผมก็ได้นะครับ ผมสามารถเหลือหุ้นไว้ให้กับพวกพี่ล่วงหน้าได้”

ประโยคนี้พูดออกไป ไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆต่างก็เกิดข้อสงสัยแล้ว

คำพูดนี้ของเขาหมายความว่ายังไงกัน? หรือว่าจะมีทางหนีทีไล่อะไร?

หลังจากที่ไป๋หยุนเผิงนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ ก็เอ่ยต่อไปว่า “ผมแนะนำให้เรียกประชุมคณะกรรมการบริษัทตอนนี้ พี่หวางว่ายังไงล่ะ?”

หวังสือชิ่งไม่ได้มีสีหน้าลนลานและโมโหเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นยังหัวเราะพร้อมกับเอ่ยว่า “นั่นก็ได้ครับ แต่ว่า ผมไม่เห็นด้วย”

ไป๋หยุนเผิงเห็นท่า ก็อุทานออกมาอย่างประชดประชัน “ในมือของเรามีหุ้นทั้งหมดห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ ผมถึงจะเป็นคนที่มีสิทธิในการพูดที่แท้จริง และตอนนี้ฉันกำลังบอกให้คุณทราบ ไม่ได้ต้องการความยินยอมจากคุณ”

แต่ทว่าหวังสือชิ่งกลับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย “ผมทางนี้มีสัญญาการโอนหุ้นเพียงแค่สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์”

เห็นดังนี้หวังโหลวก็รีบยืนออกมาพูดขึ้นในทันที “หุ้นอีกหกเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ อยู่ในมือของโหวจวี๋กรุ๊ปในเครือเฟยเสว่กรุ๊ป”

หวังสือชิ่งอยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นหันหน้าไปถามหลงหลิงหลิง “พวกคุณมั่นใจว่าหุ้นหกเปอร์เซ็นต์นั่นอยู่ในมือของพวกคุณหรอ?”

ประโยคนี้พูดออกไป ทุกคนต่างก็ตกตะลึง

ไป๋หยุนเผิงแอบเอ่ยขึ้นในใจว่าไม่ดีแล้ว!

วินาทีต่อมา หวังสือชิ่งเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่นิ่งเฉย “ตามที่ผมรู้ มีหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ที่ถูกโหวจวี๋กรุ๊ปในเครือเฟยเสว่กรุ๊ปรับซื้อไป”

“และตอนนี้ ลูกสะใภ้ของผมหลงหลิงหลิง เธอยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานโหวจวี๋กรุ๊ป ถ้างั้น หุ้นหกเปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั่น ควรจะเป็นหลงหลิงหลิงที่เป็นผู้ตัดสินใจกระมัง?”

ได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงขึ้นมาอีก

ก็แม้แต่หลงหลิงหลิงเองสีหน้าก็เปลี่ยนตามไปด้วย

เวลานี้ หวังสือชิ่งก็เดินมาถึงด้านหน้าพ่อแม่ของหลงหลิงหลิงอย่างกะทันหัน หัวเราะพร้อมกับเอ่ยว่า “ชิงแก หลิงหลิงนี่สุดยอดจริงๆเลยนะ อาศัยเพียงแค่เธอคนเดียวก็สามารถควบคุมชะตาของเฟิงหั่วกรุ๊ปได้ ต่อไปมาถึงบ้านตระกูลหวังของพวกเรา พวกเราตระกูลหวังจะต้องปฏิบัติต่อเธออย่างดีแน่นอน”

ในขณะที่พูด ก็ยังตบบ่าพ่อของหลงหลิงหลิงไปด้วย

หลงหลิงหลิงมองดูฉากนี้ เข้าใจเลยว่า หวังสือชิ่งกำลังข่มขู่เธอ เธอไม่สามารถมีการโต้แย้งใดๆได้ ไม่เช่นนั้น หวังสือชิ่งสามารถเอาชีวิตพ่อของเธอได้ตลอดเวลา

ในเวลานี้ ไป๋หยุนเผิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เยือกเย็น “หลิงหลิงเป็นถึงคนของพวกเราตระกูลไป๋ จะสนับสนุนแน่นอนก็ต้องสนับสนุนตระกูลไป๋!”

หวังสือชิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยถามหลงหลิงหลิงด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นแบบนี้หรอ?”

“หลิงหลิง งั้นเธอก็บอกกับทุกคน ว่าเธอสนับสนุนตระกูลหวัง? หรือว่าสนับสนุนตระกูลไป๋?”

ใบหน้าของหลงหลิงหลิงเผยความดิ้นรนขัดขืนออกมา

ไป๋ยี่เฟยเชื่อใจเธอมาก ธุระเกี่ยวกับโหวจวี๋กรุ๊ปทั้งหมดต่างก็ให้เธอมีอำนาจเต็มในการจัดการ เขาไม่มีการมากแทรกแซง ถ้างั้นกรรมสิทธิ์หุ้นที่อยู่ในมือเธอตอนนี้ ก็ต้องเป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของเธอเองเป็นธรรมดา

แต่ว่า พ่อแม่ของเธอ…

หลงหลิงหลิงหลับตาลงด้วยความหดหู่ เอ่ยขึ้นด้วยลำคอที่แห้งผากว่า “ตระกูลหวัง”

สองคำที้ง่ายดาย นี่เป็นการตัดสินชะตาของทั้งสองฝ่าย

คนภายในงานไม่มีใครไม่ช็อก

ไป๋หยุนเผิงยิ่งเบิกตาโพลง

เย่ฮวนก็คำรามด้วยน้ำเสียงที่โมโหว่า “หลงหลิงหลิง!ทำไมเธอถึงเนรคุณได้?

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงที่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือ……

Comment

Options

not work with dark mode
Reset