ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ – ตอนที่ 544

บทที่544

คืนกลางคืน หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้ว จางหัวปินก็ขับรถมาที่วิลล่า

หลี่เสว่นั่งรถคันเดียวกับหลิวจื่อหยุนและหลี่เฉียงตง ส่วนไป๋ยี่เฟยก็นั่งไปกับจางหัวปิน

ตอนขึ้นรถมา ไป๋ยี่เฟยก็เจอกับหลิวเสี่ยวอิง เขาชะงักไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา แล้วขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ

หลิวเสี่ยวอิงแค่มองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่ง แล้วไม่มองเขาอีก มันดูไม่ค่อยเป็นเธอเลย แต่ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้สังเกตเห็นมัน

หลังขึ้นรถ ไป๋ยี่เฟยก็ถามจางหัวปินว่า “ตอนนี้ตระกูลหลินที่เมืองหลวงเป็นยังไงบ้าง?”

ก่อนหน้านี้พอกลับมาถึง ไป๋ยี่เฟยก็ได้สั่งจางหัวปินไว้แล้ว บอกให้เขาไปตรวจสอบตระกูลหลินดู

จางหัวปินตอบไปว่า “ตระกูลหลินยังคงปกติดี ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ”

ไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “มันอะไรกันเนี่ย? ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเหรอประธานกรรมการของตระกูลเป็นคนทำ? แล้วทำไมยังเงียบกันอยู่อีก? หรือว่าการตายของประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงจะผ่านไปง่ายๆ แบบนี้นะเหรอ?”

“ตอนนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดครับ” จางหัวปินพูดขึ้น

ไป๋ยี่เฟยมองต่ำลง เขาเป็นตัวล่ออยู่ตรงนี้ตั้งนี้ สืบจนรู้ว่าท่านสามของตระกูลหลินเป็นคนก่อเรื่อง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเนี่ยนะ? งั้นการเป็นเหยื่อล่อของเขาก็เท่ากับสูญเปล่านะสิ?

ตามหลักแล้ว มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!

ตอนนั้นสวี่ชางก็อยู่ด้วย ไป๋หยุนเผิง เย่เจี่ยกับหลินยู่ชังก็อยู่ แล้วทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ?

พอจางหัวปินเห็นอย่างนั้น เขาก็พูดขึ้นอีกว่า “ตอนที่ทางนั้นไปสืบหาข้อมูล ทางนั้นบอกว่าไม่มีแรงจูงใจที่จะทำให้ ท่านหลินสามไปฆ่าเหลียงหมิงเยว่เลยครับ ดังนั้น……”

ไป๋ยี่เฟยใช้ความคิด แล้วพูดขึ้นว่า “แสดงว่า ยังมีคนอยู่เบื้องหลังเขาอีกสินะ?”

“ครับ” จางหัวปินพยักหน้า

ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างไตร่ตรอง “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ กลับถูกปล่อยผ่านไปง่ายๆ แบบนี้ แม้แต่คนของสี่ตระกูลใหญ่เห็นแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ งั้นก็แสดงว่า คนที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้นจะต้องน่ากลัวกว่าสี่ตระกูลใหญ่อีกสินะ”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ยังไม่มีคนสืบสาวเอาเรื่อง”

พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือสำราญ ตอนนั้นท่านจุนบอกว่า ทางที่ดีพวกเขาไม่ควรสืบหาเรื่องนี้อีก ไม่อย่างนั้นมันจะมีแต่ผลเสีย

จางหัวปินไม่ได้พูดไปในทางเดียวกันกับที่ไป๋ยี่เฟยพูด แต่เขาพูดออกมาอย่างไม่มั่นใจว่า “ไป๋ยี่เฟย ผมพูดตามตรงเลยนะ น้ำในเมืองหลวงมันลึกเกินไป แถมยังขุ่นมากด้วย ผมว่าเราอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่านะ”

ไป๋ยี่เฟยหันไปมองบ้านที่เล็กลงไปเรื่อยๆ แล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “คุณเชื่อเรื่องลางสังหรณ์มั้ย?”

จางหัวปินชะงักไป แต่ไม่ได้ตอบ

ว่าด้วยเรื่องลางสังหรณ์แล้วบางที่มันก็ตรง แต่บางทีมันก็ไม่ได้ตรงขนาดนั้น แต่มันก็มีผลกับพฤติกรรมและการตัดสินใจของคนๆ หนึ่งเหมือนกัน

ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากจางหัวปิน และได้พูดต่อว่า “ลางสังหรณ์ของผมบอกว่า สักวันหนึ่งเราจะได้เหยียบย่ำเข้าไปในน้ำขุ่นๆ ในเมืองหลวงแน่นอน”

“ดังนั้นนะ ผมจะต้องเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว”

จางหัวปินเงียบไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างจริงจังว่า “ครับ ผมรู้แล้ว”

ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า แล้วในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ แล้วไป๋ยี่เฟยก็สังเกตได้ว่า วันนี้หลิวเสี่ยวอิงค่อนข้างเงียบ เขาจึงหันหน้าไปมองหลิวเสี่ยวอิงที่นั่งอยู่ข้างหลัง “วันนี้……คุณเป็นอะไรเหรอครับ? ทำไมเงียบจัง?”

หลิวเสี่ยวอิงถลึงตาใส่เขา “ถ้าฉันอยากพูดเดี๋ยวก็พูดเองแหละ คุณยุ่งอะไรด้วย?”

ไป๋ยี่เฟยหันไปมองจางหัวปิน : ทำไมวันนี้อารมณ์ถึงได้บูดแบบนี้เนี่ย?

จางหัวปินยักไหล่ ตอบเป็นนัยว่าไม่รู้

พอหลิวเสี่ยวอิงที่นั่งอยู่ข้างหลังเป็นแล้วก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา ระหว่างทางที่กลับมา หลิวเสี่ยวอิงได้พูดคุยกับหลี่เสว่เยอะมาก เรื่องบนเรือสำราญ เธอเองก็รู้แล้ว

เพราะยิ่งได้รู้เยอะมากเท่าไหร่ หลิวเสี่ยวอิงก็ยิ่งรู้ว่าหลี่เสว่ไม่ได้รักไป๋ยี่เฟยน้อยไปกว่าที่ไป๋ยี่เฟยรักหลี่เสว่เลย แล้วยิ่งมานึกถึงเรื่องที่หลี่เสว่ไม่สามารถมีลูกได้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธไป๋ยี่เฟยขึ้นมา

ดังนั้น พอมาเจอหน้าไป๋ยี่เฟยอีกครั้ง มันก็ทำให้เธอทำตัวสนิทสนมเดิมดั่งเคยแล้ว

……

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงที่โรงแรมเทียนเป่ย

รถของพวกหลี่เสว่มาถึงก่อน พวกเธอเข้าไปก่อนแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่พวกไป๋ยี่เฟยเท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน

พอเดินมาถึงหน้าประตู กลับถูกรปภคนหนึ่งขวางไว้ก่อน

“ดูซิว่าใครมา? ที่แท้ก็ประธานไป๋ของเรานี่เอง!” น้ำเสียงค่อนข้างหยาบคาย

ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วแล้วมองไป เป็นชายที่มีร่างกายกำยำ อายุประมาณสามสิบ หมวกของรปภเขายังไม่ได้ใส่ดีๆ เลย มันเอียงไปนิดหนึ่ง

“มีธุระอะไรเหรอครับ?” ไป๋ยี่เฟยถาม

รปภคนนั้นทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ท่านประธานไป๋นี่ขี้ลืมจริงๆ เลยนะครับ!”

“เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ?” ไป๋ยี่เฟยจำเขาไม่ได้จริงๆ เขาจำอะไรเกี่ยวกับรปภคนนี้ไม่ได้เลย

รปภคนนั้นทำเสียงฮึดฮัด “อย่างว่าแหละ คนต้อยต่ำอย่างเรา ท่านประธานต้องจำไม่ได้อยู่แล้วถ้าอย่างนั้นผมจะบอกคุณเอง ผมชื่อ เห้อคุน หัวหน้ารปภที่ โรงแรมเทียนเป่ยเพิ่งแต่งตั้งขึ้นมาครับ”

“แล้ว?” ไป๋ยี่เฟยยังคงจำคนๆ นี้ไม่ได้ แถมสีหน้าก็เคร่งขรึมลงมาก

เห้อคุนขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ตอนนั้นคุณตบหน้าผมตรงนี้ ถึงคุณจะลืมไปแล้ว แต่ผมไม่มีทางลืม!”

ไป๋ยี่เฟยยังคงนึกไม่ออก แต่เขาก็พอดูออกแล้วว่า คนๆ นี้ต้องการเข้ามาหาเรื่องเขา

“ผมไม่มีเวลามากพอให้มายืนเถียงกับคุณอยู่ตรงนี้ ช่วยหลบไปด้วยครับ” ไป๋ยี่เฟยพูดไปอย่างเรียบเฉย

พูดจบไป๋ยี่เฟยก็จะเดินเข้าไปข้างใน แต่กลับถูกเห้อคุนยกมือขึ้นมาขวางไว้ “เดี๋ยวก่อน! คุณนี่แม่ง คิดว่าตอนนี้คุณเป็นใคร? ยังคิดจะเข้าไปข้างในอีก? ฝันหวานอยู่รึไง?”

“ท่านประธานของเราบอกแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดของโหวจวี๋กรุ๊ป ไป๋ยี่เฟยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วทั้งสิ้น!”

พอจางหัวปินได้ยิน เขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “คุณแค่หัวหน้ารปภคนเดียวยังกล้ามาเสียมารยาทต่อหน้าประธานไป๋อีกเหรอ?”

“ถุย!” เห้อคุนถุยน้ำลายออกไป “ประธานไป๋เหรอ? ใครบ้างไม่รู้ว่าตอนนี้เขามันก็แค่ยาจก ยังมาประธานไป๋อะไรอีก? เป็นประธานจนเข้าเส้นไปแล้วเหรอ? หน้าด้าน!”

“คุณว่าใคร?” จางหัวปินก้าวมาข้างหน้าด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว

เห้อคุนยังคงไม่ยอม “พ่อจะด่ามันแล้วจะทำไม? ไอ้พวกยาจก!”

พูดจบ เห้อคุนโบกมือ รปภที่อยู่ข้างหลังเจ็บแปดคนก็เดินเข้ามา “ขวางพวกมันไว้!”

ไป๋ยี่เฟยกับจางหัวปินมองตากัน แล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที

พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเมืองเทียนเป่ยเมื่อเช้า ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือสำราญจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถูกเผยแพร่ออกไปดังนั้นตอนนี้คนพวกนี้จึงยังไม่รู้ว่าเขาได้ขึ้นเป็นประธานกรรมการของคริสตัลกรุ๊ปแล้ว แล้วยังไม่รู้ว่าหลี่เสว่ได้เป็นประธานสหพันธ์ธุรกิจของเมืองเป่ยไห่แล้วเหมือนกัน

โรงแรมเทียนเป่ยเป็นธุรกิจในเครือของโหวจวี๋กรุ๊ป การที่เห้อคุนพูดมาแบบนี้ นั้นก็แสดงว่าหลิ่วจาวเฟิงต้องเป็นคนสั่งสินะ?

คนๆ นี้เพิ่งขึ้นมารับตำแหน่ง คนบริหารที่นี่ก็ต้องเปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน เปลี่ยนเป็นคนที่เข้าข้างหลิ่วจาวเฟิง

ไป๋ยี่เฟยคิดๆ แล้วถามขึ้นว่า “ตอนนี้ผู้จัดการของที่นี่เป็นใคร?”

“ผู้จัดการหวัง หวังเจีย” เห้อคุนตอบกลับ แล้วมองไป๋ยี่เฟยด้วยสายตาที่เหยียดหยาม “แกถามไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา? แกรีบไสหัวไปเถอะ! ที่นี่มันไม่เหมาะกับยาจกอย่างพวกแก!”

ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วเบาๆ ไม่เคยได้ยินชื่อ หวังเจียมาก่อน ดูเหมือนจะเปลี่ยนคนไปแล้วจริงๆ

แต่ว่า “ใครบอกล่ะว่าผมเป็นยาจก?”

“ยังจะมาทำตัวไขสืออยู่อีกเหรอ? ในเมืองเทียนเป่ยนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าแกไม่ใช่ประธานกรรมการของโหวจวี๋กรุ๊ปแล้ว? แล้วแกจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายใน โรงแรมเทียนเป่ย?” เห้อคุนพูดประชดแบบไม่ไว้หน้า

ในตอนนั้นเอง หวังโหลวที่ตามมาทีหลังก็ตามเดินขึ้นมา “” แพร๊ะ” เขาตบใส่ใบหน้าของ เห้อคุนไปทีหนึ่ง

“ไอ้คนสามหาวไม่เจียมตัว!”

เห้อคุนถูกตบจนมึนงง เขาไม่สนว่าเป็นใคร แล้วตะคอกออกมาสุดเสียง “แม่งแกกล้าตบฉันเหรอ? แม่ง แกเป็น…เป็น……ประธานหวังเหรอครับ? ประธานหวังคุณมาแล้วเหรอครับ?”

พอเห็นว่าเป็นหวังโหลว พฤติกรรมของเห้อคุนก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ก่อนหน้านี้หวังโหลวนั้นร่วมมือกับหลิ่วจาวเฟิง ดังนั้นก็ต้องประจบหวังโหลวให้ดี แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือ และยังไม่รู้ว่าหวังโหลวกับหลิ่วจาวเฟิงได้ตัดขาดกันแล้ว

หวังโหลวขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “เบิ่งตาหมาๆ ของแกแล้วดูซะว่าเขาเป็นใคร? เขาไม่ใช่คนที่แกจะสามารถล่วงเกินได้!”

“ว่าไงนะครับ?” เห้อคุนงงหนักกว่าเดิม ไป๋ยี่เฟยเป็นแค่ยาจกไม่ใช่เหรอ? เป็นแค่คนที่พ่ายแพ้ให้หลิ่วจาวเฟิงไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงล่วงเกินไม่ได้ล่ะ?

ไป๋ยี่เฟยเหร่ตามองเขาด้วยท่าทางที่เรียบเฉย เดินไปพูดไปว่า “ไปบอกหลิ่วจาวเฟิงว่าผมรอเขาอยู่ที่นี่”

พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็เดินตรงเข้าไปข้างใน

เนื่องจากมีหวังโหลวอยู่ด้วย จึงไม่มีใครกล้าขวางทางเขาแล้ว

กลุ่มของไป๋ยี่เฟยเดินเข้าไปข้างในแล้ว

เห้อคุนมองดูแผ่นหลังของไป๋ยี่เฟยและคนอื่นๆ ที่เดินเข้าข้างในไป ด้วยความตกใจ เขาจึงรีบวิ่งตรงไปยังห้องทำงานของผู้จัดการทันที

“ผู้จัดการหวังครับ ผู้จัดการหวัง เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”

ภายในห้องทำงาน หวังเจียกำลังจู๋จี๋กับเลขาสาวอยู่ จู่ๆ เห้อคุนก็พุ่งเข้ามา ทำเอาเลขาสาวตกใจจนรีบกระเด้งตัวออกจากอกของหวังเจียทันที แล้วจัดแจงเสื้อผ้าด้วยความเขินอาย

หวังเจียพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจว่า “มีเรื่องอะไร ถึงได้เอะอะโวยวายขนาดนี้?”

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงที่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือ……

Comment

Options

not work with dark mode
Reset