ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ – ตอนที่ 940 รุ่นหลังของเขา

เพราะว่าตอนนี้เขาล้วนไม่ใช่ระดับเดียวกันกับจื่ออีและเมิ่งหลิน

การต่อสู้ของทั้งสองคนต่อเนื่องยี่สิบกว่านาที ไป๋ยี่เฟยอยู่ในสภาวะที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้างมาโดยตลอด

ในเวลานี้ยามนี้ ในที่สุดทั้งสองคนก็หยุดลงมา

จื่ออียืนอยู่บนชายหาด เส้นผมงดงามกลายเป็นยุ่งเหยิงออกมา และเสื้อคลุมที่อยู่บนตัวเขาตัวนั้นกลายเป็นขาดแสนสาหัส มุมปากของเธอมีรอยเลือดบางๆอยู่ ดูแล้วคับขันลำบากมาก

ส่วนเมิ่งหลินยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากจื่ออีสิบเมตร บนกายเขาดูแล้วไม่ได้แตกหักใดๆเลย

ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยตื่นเต้นขึ้นมา ตะลีตะลานวิ่งมาถึงข้างหน้าจื่ออี จากนั้นคุ้มครองจื่ออีไว้ ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่จ้องมองเมิ่งหลิน

จากสภาวะในปัจจุบันนี้รู้แล้วว่าจื่ออีแพ้แล้ว

ไป๋ยี่เฟยไม่มีทางอื่น ถึงแม้ว่าเขาแม้แต่หนึ่งหมัดของเมิ่งหลินล้วนทนต่อไม่ไหว เขาก็ต้องคุ้มครองจื่ออีเช่นกัน

และก็อยู่ในเวลานี้ จื่ออีเอ่ยปากแล้ว “หลายปีผ่านมาขนาดนี้แล้ว พลังความสามารถของคุณยกระดับไม่น้อย”

“ผมโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีความกังวล” เมิ่งหลินยิ้มตอบกลับ “ไม่มีอะไรจะทำ ก็เพียงแค่ใช้เวลามากอยู่ในด้านนี้แล้ว”

ต่อจากนี้ มือของจื่ออีเกาะอยู่บนไหล่ของไป๋ยี่เฟย โดยจิตใต้สำนึกไป๋ยี่เฟยสั่นแล้วสั่นอีก เพราะว่าเขาตื่นเต้นมาก

จื่ออีตบไหล่ของเขาตบแล้วตบอีกยิ้มพูดว่า “อย่าตื่นเต้น คุณรู้สึกว่าฉันจะถูกเขาตีจนตายเลยเชียวหรือ?”

ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนี้หันหน้าไปมองจื่ออี นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความแปลกใจและไม่เข้าใจ ไม่ใช่เลยเชียวหรือ ตอนนี้ไม่ใช่แยกแพ้ชนะออกแล้วหรือ? เห็นลักษณะท่าทีของฝ่ายตรงข้ามไม่ไว้ชีวิตให้อยู่แล้ว?

จื่ออีเห็นเขาแบบนี้ยิ้มแล้วยิ้มอีกพูดว่า “มีลูกศิษย์อย่างคุณแบบนี้คนหนึ่ง ฉันอาจารย์ดีใจมาก รักคุณไม่เสียเปล่า”

“ในเมื่อก่อนหน้านั้นคุณรู้จักเขา ก็พูดคุยเป็นเพื่อนกับเขาครั้งสุดท้ายเถอะ”

ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยก็นิ่งอึ้งไปเลย

พูดคุยสุดท้ายหมายความว่าอะไรหรือ?

หรือว่า……

ก็อยู่ตอนที่เขาคาดเดาอยู่ จื่ออีหมุนตัวเดินกลับไปแล้ว และตาแก่ที่อยู่ตรงข้ามนั้น กลับพุ่งเสียงหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น จากนั้นกระอักเลือดออกมา ทำให้ชายหาดที่อยู่ต่อหน้าเขาผืนนั้นล้วนเปื้อนเป็นสีแดงเลย

ไป๋ยี่เฟยตลึงตาค้างเลย

เมิ่งหลินหัวเราะขมๆเสียงหนึ่งพูดว่า “คือผมแพ้แล้ว…….ค๊อกๆ …….”

เพิ่งพูดคำหนึ่ง เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรง ไอนานมากเลย

และอยู่ในระหว่างนี้ ไป๋ยี่เฟยอยู่สภาวะตื่นตะลึงมาโดยตลอด ยังไม่ได้คืนสติ

ในที่สุดรอจนตอนที่เมิ่งหลินไม่ได้ไออีก เขาพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “ไอ้หนุ่ม ยังสามารถย่างปลาอีกครั้งให้ผมกินได้ไหม? ผมตาแก่หิวเล็กน้อยแล้ว”

ไป๋ยี่เฟยจ้องมองเมิ่งหลิน ตั้งแต่ต้นจนจบในใจมีความสงสัยงงงวยเล็กน้อย เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาล้วนไม่ได้เกิดเจตนาอันเป็นศัตรูใดๆกับเขา

ดังนั้นหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามพูดคำนี้ เขาเพียงแค่ลังเลสักหน่อย ก็หมุนตัวเดินไปยังในป่า จากนั้นหากิ่งบ้างเล็กน้อยกลับมาบนชายหาดอีก

เขาจุดไฟที่กิ่งไม้ ก็เริ่มย่างปลาอย่างชำนาญ

เมิ่งหลินจ้องมองการกระทำที่ต่อเนื่องกันนี้ของไป๋ยี่เฟย อยู่ดีๆทอดถอนใจเสียงหนึ่งพูดว่า “สมดั่งเป็นรุ่นหลังของเขา”

“หมายความว่าอะไรหรือ?” ไป๋ยี่เฟยทั้งย่างปลาทั้งถาม

เมิ่งหลินกลับอึ้งชะงักไปเล็กน้อยหนึ่งที “จื่ออีไม่ได้บอกกับคุณหรือ?”

ไป๋ยี่เฟยส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก

เมิ่งหลินเงียบไปสักพักจึงพูดว่า “ก็ใช่ เรื่องบางเรื่องยังคงไม่รู้จะดีกว่า”

ในเวลานี้ ไป๋ยี่เฟยหมุนปลาในมือหมุมไปหมุนมาพูดว่า “ใกล้เสร็จแล้ว”

ความสนใจของเมิ่งหลินวางอยู่ที่ปลาในมือของเขาทันที อาจจะเนื่องเพราะใกล้จะสุกแล้ว กลิ่นหอมของปลากระจายออกมา ทำให้เมิ่งหลินอดไม่ไหวที่จะกลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีก

ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนี้ก็เลยพูดว่า “หากอยากจะกินปลาล่ะก็บอกผมเถอะ”

“คุณ……” เมิ่งหลินอึ้งชะงักนิดๆ “คุณตั้งใจหรือ?”

ไป๋ยี่เฟยหัวเราะ แฮ่ๆ หนึ่งทีพูดว่า “ไม่ใช่อย่างงั้น”

เมิ่งหลินเห็นสภาพก็ยิ้มแล้วเช่นกัน พูดว่า “เหมือนกับเขามากนะ”

“ดังนั้น ตกลงว่าเขาเป็นใครหรือ?” ไป๋ยี่เฟยถาม

เมิ่งหลินได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตากวาดผ่านแสงที่ไล่เรียงความทรงจำหนึ่งที

เขาพูดว่า “ชื่อแท้ๆของเขาคืออะไรไม่มีใครรู้ เขามีแค่รหัสหนึ่งเรียกว่าเยว่ เขากับจื่ออี ซินชิว พวกเขาเป็นคนในรุ่นเดียวกัน ว่ากันว่าพวกเขามีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน แต่ก็มีคนพูดว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กันเลย”

“คุณคาดเดาดูสิ ซินชิว จื่ออี เฮงอี เทียนฉี่ เยว่ ในพวกเขาพรสวรรค์ของใครดีที่สุดล่ะ?”

ไป๋ยี่เฟยตอนนี้ตื่นตะลึงมาก เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่เขารู้ บุคคลระดับอย่างซินชิวแบบนั้น ถึงขนาดมีห้าคน

เคยได้ยินจื่ออีพูดมาก่อน พลังความสามารถของซินชิวแข็งแกร่งกว่าเธอ ดังนั้นไป๋ยี่เฟยไม่แน่ใจพูดว่า “เป็นซินชิวหรือ?”

เมิ่งหลินส่ายหัวนิดๆพูดว่า “เขาแค่นับได้ว่าเป็นคนที่มุมานะบากบั่นที่สุดคนหนึ่ง ถ้าพูดถึงพรสวรรค์ล่ะก็ แม้แต่เทียนฉี่เขาก็สู้ไม่ได้”

ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดก็พูดทันทีว่า “งั้นคือเทียนฉี่!”

เมิ่งหลินยังคงส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกพูดว่า “เทียนฉี่ไม่เท่าหนึ่งในพันส่วนของเยว่”

ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยก็ตลึงตาค้างแล้ว

เมิ่งหลินพูดอีกว่า “เยว่ในอายุสามสิบกว่าปีก็กลายเป็นเดนเหนือเทพยุทธ์แล้ว และทำได้ถึงจุดนี้มีเพียงแค่เขา”

ไป๋ยี่เฟยยิ่งตื่นตะลึงแล้ว!

“แต่ว่า เยว่คนนี้ ทางอื่นๆล้วนดีมาก ก็คือหลายใจเกินไป” เมิ่งหลินพูดต่ออีกว่า “เขาเหลือรุ่นหลังไว้มากเกินไป แต่ว่าพันธุกรรมของตัวเขาแข็งแกร่งเกินไป ก็เลยทำให้รุ่นหลังของเขาแทบจะอยู่ไม่ถึงอายุสามสิบปี”

ไป๋ยี่เฟยได้ยินแล้วประหลาดใจอย่างมาก “ทำไมล่ะ? พันธุกรรมแข็งแกร่งจะไม่ยิ่งดีกว่าหรือ?”

เมิ่งหลินหยุดชะงักแล้วหยุดชะงักอีกพูดว่า “ยกตัวอย่างเช่น แก้วใบหนึ่งใหญ่แค่นั้น ใส่น้ำได้เพียงหนึ่งร้อยมิลลิลิตร แต่ฝืนใจยัดเข้าไปหมื่นมิลลิลิตร แก้วน้ำทนต่อไม่ไหวย่อมจะระเบิดแตกอยู่แล้ว”

ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยก็เข้าใจแล้ว ในเวลาเดียวกัน เขานึกถึงลักษณะท่าทีตอนที่ตนเองเข้าสู่สภาวะแปรสภาพ

ตอนเริ่มต้นล้วนเสียสติไปหมด สภาวะแบบนั้นคิดว่าก็คือทนต่อไม่ไหวมั้ง

และอยู่ในเวลานี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วเช่นกัน ทำไมตระกูลไป๋จะปรากฏคนที่มีสภาวะคล้ายประเภทแบบนี้ ทั้งทำไมต้องคิดวิธีไปควบคุมสภาวะแบบนี้แล้ว

จากนั้นไป๋ยี่เฟยอยากรู้อยากเห็นถามอีกว่า “งั้นเยว่ล่ะ? ตอนนี้เขาล่ะ?”

คนคนนี้มากน้อยต้องมีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับเขา เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นในใจเยอะมาก

เมิ่งหลินได้ยินคำพูดนี้จนใจจนส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกพูดว่า “ไม่มีคนรู้ถึงสภาพการณ์ในตอนนี้ของเขา อาจจะตายไปแล้ว หรือเขาอาจจะอยู่เหนือปุถุชนแล้ว กลายเป็นเซียนแล้ว”

“กลายเป็นเซียนหรือ?” ไป๋ยี่เฟยตื่นตะลึงเหลือเกิน “ทำได้จริงๆหรือ?”

หลังจากเมิ่งหลินได้ยินหัวเราะเสียงดังต่อกันหลายเสียงจึงพูดว่า “ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว ตราบใดที่คุณเป็นมนุษย์ก็ไม่สามารถอยู่ยงคงกะพันธ์ได้ เพียงแค่เพราะว่าทำให้กำลังที่ซ่อนแฝงพัฒนาถึงขีดสุดแล้ว เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมเล็กน้อยเท่านั้น”

ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนี้มีความผิดหวังเล็กน้อย

ในเวลานี้ อยู่ดีๆเมิ่งหลินถอนหายใจหนึ่งทีพูดว่า “แท้ที่จริง ผมก็นับได้ว่าเป็นเทียนฉี่เช่นกัน ผมไม่ควรที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสายนี้ของพวกคุณ”

“แต่เวลานั้นผมเยาว์วัยเกินไป รีบร้อนอยากจะสร้างธุรกิจให้กับตนเองก็ลืมหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบไปเลย ติดตามจีไซ ไอ้…..”

ไป๋ยี่เฟยย่างปลาตัวหนึ่งเสร็จแล้วก็ส่งให้เมิ่งหลิน

หลังจากเมิ่งหลินรับไปกัดไปคำหนึ่ง เคี้ยวสองทีหลังจากกลืนลงไปพูดว่า “ผมคิดว่าผมน่าจะรู้ทำไมพวกเขาจะต้องหาคุณ”

ในมือไป๋ยี่เฟยก็มีปลาตัวหนึ่งที่ย่างเสร็จแล้วเช่นกัน ตอนที่กำลังเตรียมจะกัดลงไป อยู่ดีๆก็หยุดชะงักไปเลย

เพราะว่าเขาอยากจะรู้มาตลอดว่าทำไมซินชิวกับจื่ออี จะต้องกำหนดตนเองเป็นผู้เฝ้าคลังของคลังเก็บทองให้ได้ล่ะ? แม้แต่เหลียงหมิงเยว่ตอนที่เขาวางหมากก็นับตนเองไว้อยู่ในนั้นเช่นกัน

ไป๋ยี่เฟยก็เลยถามว่า “เป็นเพราะอะไรหรือ?”

เมิ่งหลินเห็นสภาพ กัดปลาอีกคำหนึ่งจึงพูดว่า “สภาวะนั้นของคุณปรากฏออกมาหลังจากอายุยี่สิบห้าปีใช่ไหม?”

ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก

เมิ่งหลินก็พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีกพูดว่า “อืม ก่อนหน้านั้นรุ่นหลังของเยว่เหล่านั้น ปรากฏสภาวะแบบนี้ล้วนอยู่ประมาณระหว่างอายุสิบห้าปี ทั้งเพราะว่าส่วนใหญ่ไม่ได้รับการฝึกฝนทางกำลังต่อสู้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาส่วนมากอยู่ได้แค่อายุสามสิบปี”

“กายล้วนแทบจะระเบิดแล้วตาย หรืออาจจะเสียสติโดยสิ้นเชิง”

“มีส่วนน้อยส่วนหนึ่งได้รับการฝึกฝนมาก่อนพวกเขารู้ว่าจะไปควบคุมสภาวะแบบนี้ได้ยังไง ดังนั้นจะอยู่ได้นานหน่อย”

“แต่ว่าพวกเขามีอารมณ์เคลื่อนไหวรุนแรงเกินไปไม่ได้ ก็จะสูญเสียความผูกพันมากมาย”

“แต่ว่าการสืบทอดทางสายเลือดพูดยากมาก สิ่งที่ละเอียดเกินไปผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ผมเพียงแค่ได้ยินว่ารุ่นหลังของเขาทุกรุ่นล้วนมีการเปลี่ยนแปลง จะตามด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสายเลือดและเลื่อนเวลาออกไป”

“ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนแรกที่ปรากฏสภาวะแบบนั้นหลังจากอายุยี่สิบปี นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลง”

ไป๋ยี่เฟยได้ฟังคำพูดเหล่านี้จบ โดยจิตใต้สำนึกขมวดคิ้วขึ้นมา

ในที่สุดในตอนนี้เขาก็รู้ว่าข้อเรียกร้องอันเป็นพิเศษกับทายาทของตระกูลไป๋คือเพื่ออะไรแล้ว

ในเวลาเดียวกันเขาคิดอีกว่า ไป๋เซี่ยวจะเป็นอย่างนั้นด้วยใช่หรือไม่?

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงที่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือ……

Comment

Options

not work with dark mode
Reset