ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – ตอนที่ 264 หากร้องอีกจะระเบิดสมองแกซะ

บทที่ 264 หากร้องอีกจะระเบิดสมองแกซะ

“ฉันไม่มีความสามารถนี้?” เหยียนหลงแววตาตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะพูดเช่นนี้ออกมา “ลูกน้องฉันต่างมาถึงที่นี่กันหมดแล้ว ฉันคิดว่า มีคนตั้งมากขนาดนี้อยู่ที่นี่ ยังจัดการนายไม่ได้อีกเหรอ?”

“บอกตามตรง หลินอิ่ง ฉันยอมรับว่านายกล้าหาญเกินคน อาศัยแค่ความกล้านี้ ก็นับว่าเป็นบุคคลที่พบเห็นได้น้อยแล้ว” เหยียนหลงกล่าวอย่างช้าๆ “คนของสวีชิงซง นายเองก็เล่นงานไปแล้ว เรื่องเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี่ หากยังไม่ยอมรามืออีก เรื่องก็คงจะจบลงได้ยากแล้ว”

หลินอิ่งยกชาขึ้นจิบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ทั้งสิ้น

เหยียนหลงสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่า แท้จริงแล้วหลินอิ่งไปเอาความมั่นใจมากจากไหน ทำไมถึงได้มีพลังแห่งการเชื่อมั่นในตัวเองแข็งแกร่งขนาดนี้? ก่อเรื่องในเขตเหยียนหวงใหญ่โตเช่นนี้ ยังดื่มชาอย่างใจเย็นได้อีก?

ในใจเขาเริ่มเสียใจภายหลังที่ช่วยสวีชิงซงออกหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว เดิมทีนึกว่าแค่จัดการเด็กของถังฮุยคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นที หลินอิ่งผู้นี้ชัดเจนว่าจะไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว

ตอนนี้รู้สึกว่า ชีวิตตนเองถูกคนกำไว้ในมือ ถูกคนโขกสับอยู่ในถิ่นตัวเอง เสียหน้าไปหมดแล้วก็ช่างเถอะ แต่ยังคงอกสั่นขวัญแขวน

โดยเฉพาะ ทำดีแล้วไม่ได้ดี

ท่าทางวันนี้ หลินอิ่งต้องการจะจัดการสวีชิงซงให้ได้

ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขอนั่งมองโดยไม่สนใจแล้วกัน หากสวีชิงซงถูกหลินอิ่งพาตัวไปโยนทิ้งทะเลจริงจะทำยังไง? เรื่องหลังจากนั้น ตระกูลสวีของตี้จิงจะไม่มาหาเขาคิดบัญชีเป็นคนแรกหรอกหรือ? หากฝืนปกป้องสวีชิงซง ชีวิตอาจต้องสูญเสียก็เป็นได้

“ลุงเหยียน! คืนนี้คุณต้องปกป้องผมนะ ห้ามให้ไอ้คนแซ่หลินพาตัวผมไป!” สวีชิงซงกล่างวิงวอน ถูกถังฮุยใช้ปืนจี้อยู่ด้านหลัง ในใจจึงค่อนข้างหวาดกลัว

ในฐานะลูกเศรษฐีที่เอาแต่กินดื่มเที่ยวผู้หญิงคนหนึ่ง สวีชิงซงจึงเคยพบเห็นโลกมาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์ใหญ่อย่างในคืนนี้มาก่อน

เหยียนหลงหัวหน้าแก๊งในเขตเหยียนหวงอันยิ่งใหญ่ถูกคนทุบตีอยู่ในถิ่นตนเองก็แล้วไปเถอะ ผลคือแม้แต่ลูกน้องกว่าร้อยคนพกปืนมาที่นี่ กลับยังคงรักษาความสงบไว้ไม่ได้

ดูท่าทางแล้ว หลินอิ่งกับถังฮุยจะไม่สนใจอิทธิพลของเหยียนหลงโดยสิ้นเชิง และไม่แยแสภูมิหลังฐานะตระกูลสวีของตน ยืนกรานจะกำจัดตนเองให้ได้!

“ชิงซง แกวางใจ อยู่ที่นี่ นอกจากพวกเขาจะไม่ต้องการชีวิตแล้ว ไม่อย่างนั้น ก็อย่าคิดจะพาแกไป” เหยียนหลงฝืนทำใจกล้าเอ่ยออกมา

พูดจบ เหยียนหลงก็ส่งสายตาเป็นนัยให้ฮัวศือครั้งหนึ่ง

ฮัวศือพยักหน้าอย่างรู้งาน ยกปืนในมือขึ้นมาอีกครั้ง ชายในชุดสูทสีดำกลุ่มนั้น ก็พากันยกปืนขึ้นมาเล็งไปทางพวกหลินอิ่งเช่นกัน

หลินอิ่งมุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ มองเหยียนหลงแวบหนึ่ง “แกต้องการสละชีวิต เพื่อรักษาไอ้โง่นี่ไว้?”

เหยียนหลงสีหน้าเคร่งเครียดถึงขีดสุด ไม่กล้าตอบอะไรหลินอิ่งไปชั่วขณะ

นี่เป็นเวลาเคร่งเครียดราวกับของหนักพันชั่ง แขวนอยู่บนผมเส้นเดียว ไม่รู้ว่าหลินอิ่งจะทำเรื่องบ้าบิ่นอะไรออกมา ต่อให้ต้องปลาตายตาข่ายขาด เขาก็ไม่กล้าทำให้หลินอิ่งโกรธ

ตึก ตึก

ตอนที่กำลังอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนต่างเคร่งเครียดและเงียบงันนี้ จู่ๆ ที่นอกประตูก็มีเสียงก้าวเดินของรองเท้าหนังดังกังวานเข้ามา

ชายวัยกลางคนสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาล หน้าตาดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ที่ข้างตัวมีผู้ติดตามสิบกว่าคน เดินเข้ามาในห้องอาหาร

“นี่ นี่คือ? หยูจื๋อเฉิง?” เหยียนหลงขมวดคิ้วมองคนที่มาใหม่

“ลูกพี่หยู คุณมาพอดี ฮุยสุงกับหลินอิ่งคนนี้ที่เป็นลูกน้องคุณ กำลังก่อเรื่องในถิ่นผม ดึงดันจะพาตัวคุณชายรองตระกูลสวีไปให้ได้ แถมยังชักปืนมาจ่อผม เรื่องนี้ คุณต้องหาคำอธิบายมาให้ผม” เหยียนหลงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

หยูจื๋อเฉิงไม่ได้สนใจเหยียนหลงแม้แต่น้อย มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พลางปาดเหงื่อบนหน้าผากออกหนึ่งที

“ท่านอิ่ง ผมมาช้าไป ขออภัยด้วย ทางคุณไม่ได้เกิดปัญหาอะไรใช่ไหม?”

พอหยูจื๋อเฉิงได้ยินว่าหลินอิ่งกับถังฮุยไปเขตเหยียนหวงเพื่อเจรจากับเหยียนหลง ก็รีบรุดมาที่นี่ทันที คิดไม่ถึงว่าตอนมาที่นี่ สถานการณ์จะตึงเครียดเช่นนี้แล้ว เหยียนหลงถึงกับกล้าให้คนหันปืนใส่หน้าท่านอิ่ง? นี่หากยิงไปแล้ว เช่นนั้นสวรรค์อย่างตี้จิงนี้ได้พังทลายแน่!

“ไม่มีปัญหาอะไร” หลินอิ่งพูดอย่างสบายๆ

“ท่านอิ่ง? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เหยียนหลงรู้สึกว่าสถานการณ์ผิดปกติเกินไป ทำไมหยูจื๋อเฉิงถึงเรียกคนแซ่หลินว่าท่าน?

หรือว่า หลินอิ่งผู้นี้ไม่ใช่ลูกน้องของถังฮุยกับหยูจื๋อเฉิง แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญที่มีที่มาใหญ่โตคนหนึ่ง?

“ลูกพี่หยู ผมคือสวีชิงซง พ่อผมสวีฉางเฟิงคุณเองก็รู้จัก” สวีชิงซงเอ่ยปากพูด “ลูกน้องคุณเอาปืนมาจ่อศีรษะผมกับลุงเหยียน ถ้าคุณไม่หาคำอธิบายให้ผม เรื่องนี้ไม่จบแน่”

ในมุมมองของสวีชิงซง ที่หยูจื๋อเฉิงมาที่นี่ด้วยตนเอง บางทีเรื่องราวยังพอจะจัดการได้บ้าง ที่เรียกกันว่าต่อกรกับยมบาลง่ายกว่าต่อกรกับบริวาร ถังฮุยกับหลินอิ่งทั้งสองคนเป็นลูกน้อง ก่อเรื่องวุ่นไม่รู้จักที่ตาย แต่หยูจื๋อเฉิงเป็นลูกพี่ และเคยพบเห็นความร้ายกาจของตระกูลสวีแห่งตี้จิง ควรที่จะรู้ความ รู้จักหนักเบาสินะ?

“ฉันจะมอบคำอธิบายให้นาย” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“ดี! ยังคงเป็นลูกพี่หยูจัดการเรื่องราวได้อย่างเหมาะสม” เหยียนหลงพูด พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ราวกับรอดชีวิตจากหายนะ

สวีชิงซงที่ท่าทางเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน มองไปทางหลินอิ่ง กล่าวอย่างลำพองใจว่า “หลินอิ่ง แม้แต่ลูกพี่แกก็ออกปากพูดแล้ว แกยังไม่ให้พวกเขาปล่อยฉันกับลุงเหยียนอีก? ยังกล้าอวดดีอีก? แกตกที่นั่งลำบากแล้วรู้ไหม?”

ปัง!

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูดสวีชิงซิง หยูจื๋อเฉิงก็ยกปืนยิงไปที่ขาของเขาหนึ่งนัด

“อ๊าก!”

สวีชิงซงคุกเข่าล้มลงไปบนพื้นอย่างเจ็บปวด ร้องโหยหวน แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจ้องหยูจื๋อเฉิง

“นี่! ลูกพี่หยู คุณ คุณยิงหรือ?”

“นี่ นี่……”

ฉากนี้ ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่มีใครคาดคิดว่า หยูจื๋อเฉิงเดินขึ้นมา ใช้ปืนยิงสวีชิงซง แบบนี้มันน่าตกใจเกินไป!

แม้แต่ฮัวศือ ลูกน้องของเหยียนหลงกลุ่มนั้น เวลานี้ไม่กล้าขยับเขยื้อน แต่ละคนตกใจจนใบหน้าถอดสี

“สวีชิงซง หากแกกล้าโวยวายต่อหน้าท่านอิ่งอีกคำเดียว ฉันจะระเบิดสมองแกซะ” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างโหดเหี้ยม

เหยียนหลงสองตาหวาดกลัว และคิดไม่ตกเช่นกัน ว่านี่เป็นเรื่องอะไรกัน คนสุขุมอย่างหยูจื๋อเฉิง ทำไมถึงทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้ออกมาได้? เขาคิดจะเปิดศึกกับตระกูลสวีจริงๆ เหรอ?

“ไม่! อย่าฆ่าฉันเลยนะ! ลุงเหยียน รีบช่วยผมเร็วเข้า บอกให้คนของคุณช่วยผมที นี่มันเป็นถิ่นของคุณนะ” สวีชิงซงตกใจจนขวัญกระเจิง ร้องขึ้นมาราวกับคนเสียสติ ตกใจที่ถูกยิงจนความกล้าหายไปหมด

“เหยียนหลง คนของฉันต่างรออยู่นอกโรงแรมเหยียนซื่อ” หยูจื๋อเฉิงมองไปทางเหยียนหลง กล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “นายคิดดูให้ดี นายมีความสามารถพอจะมาสู้กับฉันเหรอ?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset