ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – ตอนที่ 609 การฆ่าอันแข็งกร้าว

“งั้นก็ว่าตามนี้!” จ้าวเฉิงเฉียนพยักหน้ารับด้วยการตัดสินใจที่เด็ดขาด

ทั้งสองเข้ากันได้อย่างดี

จ้าวเฉิงเฉียนหันไปส่งสายตาให้กับหม่าผิงชวนที่ตรงประตูทางเข้า

เพียงไม่นานหม่าผิงชวนก็หันหลังเดินออกจากการประชุมเพื่อจัดการเหล่าสมาชิก

มาจนถึงขนาดนี้แล้วมีเพียงแต่ต้องให้กำลังยุติสถานการณ์เท่านั้น

และเพียงแค่รอให้หลินอิ่งมาถึงที่นี่ถึงจะสามารถจัดการกับตระกูลสวีได้

การกระทำของพวกเขาทั้งสองล้วนอยู่ในสายตาของชายสูงอายุผิวขาวสวมหมวกสีดำคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในการประชุมมาโดยตลอด

“คุณชายโหม คุณพอจะมองอะไรออกหรือเปล่าคะ?ในช่วงที่หลินอิ่งยังมาไม่ถึง คนของเขาจะทำอย่างไรจึงจะสามารถยับยั้ง ตระกูลสวีกับชีซิงกรุ๊ปได้?” แอนนาที่นั่งอยู่ข้างถามอย่างสงสัย

คุณชายโหมกระตุกปีกหมวดลงต่ำพร้อมตอบกลับอย่างสุขุม “คนของหลินอิ่ง กำลังเตรียมจะใช้ไม้แข็งพวกเขาคิดจะล้อมอาคารเทียนหลงเอาไว้ ส่วนทางด้านตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปก็คาดเดาได้ถึงวิธีการนี้ คาดว่าอาคารเทียนหลงคงจะเกิดความโกลาหลขึ้น ……”

“แล้วคุณคิดว่าคนของหลินอิ่งจะสามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้หรือเปล่าคะ?” แอนนาถามอีกครั้งอย่างจริงจัง

“ถ้าหากวัดจากความจริง ทางฝั่ง ตระกูลสวีอาจจะมีความเสียเปรียบ” คุณชายโหมตอบกลับตามตรง “เจ้าหนุ่มแซ่จ้าวคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีพลังที่ไม่เลวเลยด้วย ถึงขั้นที่ผมไม่สามารถอ่านใจเขาได้”

“แต่ว่าในการประชุมสุดยอดธุรกิจที่ล้ำสมัยแบบนี้ ใครก็ตามที่เป็นฝ่ายใช้กำลังก่อน คนนั้นก็จะเป็นฝ่ายแพ้ทันที” คุณชายโหมพูดอย่างช้าๆ “ตอนนี้ ตระกูลสวีกำลังจะชนะแล้ว มีเพียงแค่หลินอิ่งต้องมาที่นี่เท่านั้นถึงจะสามารถยุติสถานการณ์ได้”

“อย่างนั้น……” แอนนาพูดออกมาพลางฉุกคิดบางอย่าง “คุณชายโหม ตระกูลสวีนี้นับว่าเป็นยอดฝีมือจริงๆ เลย ถึงขั้นสามารถสกัดหลินอิ่งเอาไว้ คุณว่าหลินคงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

“ไม่หรอก” คุณชายโหมตอบอย่างมั่นใจ “ความแข็งแกร่งของหลินอิ่งนั้นยากจะคาดเดาได้ ในตี้จิงคงจะไม่มีใครที่สามารถฆ่าเขาได้ สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด”

ทว่าในใจของคุณชายโหมเองก็เกิดความประหลาดใจขึ้นมาเช่นกัน เพราะพลังความแข็งแกร่งของหลินอิ่งนั้นแม้แต่ท่านเอิร์ลยังเกรงกลัว แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะถูกคนสกัดเอาไว้หรือบาดเจ็บสาหัส?

นอกเสียจากว่า ท่านเอิร์ลจะมองผิดไป หรือไม่ก็มีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

“เอ๊ะ นี่มันน่าเบื่อจริงๆ ” ควินสันที่นั่งอยู่ข้างพูดขึ้นมาอย่างไร้อารมณ์ “คุณชายโหม นี่ก็คือหลินอิ่งคนที่คุณมองว่าดีงั้นหรอ?แค่นี้?มีพลังอำนาจแค่นี้หรอ?ผมยังรู้สึกว่าตัวเองประเมินเขาสูงไป”

“หากรู้ว่าเขาจะอ่อนปวกเปียกขนาดนี้แต่แรก ตอนที่อยู่ภูเขาฉางชิงพวกเราไม่ควรที่จะไปไว้หน้าเขาเลย” ควินสันพูดบ่นพึมพำ “กับแค่ตระกูลใหญ่ตระกูลเดียวในตี้จิงยังเอาไม่อยู่ แบบนี้ยังคิดจะครองครองเมืองเทียนหลงอีกหรอ?แล้วยังคิดจะให้พี่แอนนาแต่งงานกับเขาอีก?”

“ควินสัน คุณหลินไม่ได้ไม่เอาไหนแบบนั้นหรอกนะ” แอนนาพูดแย้งอย่างจริงจัง

“ผมว่าพวกพี่มองว่าเขาสุดยอดเกินไป แต่ว่าพวกพี่มองผิดไปแล้วล่ะ” ควินสันพูดอย่างยิ้มเยาะ “ผมก็คิดว่าจะสุดยอดเอามากๆ ไม่ว่าอะไรก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่ปรากฏว่าพอถึงเหตุการณ์ใหญ่จริงๆ กลับแข้งขาอ่อนไปหมด ถึงขั้นที่คนลอบฆ่าระหว่างทาง แล้วในสถานการณ์แบบนี้เมืองเทียนหลงยังไม่ควรเปลี่ยนผู้นำอีกหรอ?”

“ตระกูลของพวกเราทำไมต้องมาหาไอ้เศษขยะไร้ประโยชน์แบบนี้เพื่อเป็นพันธมิตรในประเทศหลุงด้วย?” ควินสันพูดพลางส่ายหน้า

“ควินสัน หุบปากเลยนะ” แอนนาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุการณ์ยังเดินไม่ถึงตอนจบ นายจะรู้ผลสรุปได้อย่างไร?”

“ถ้าเกิดว่าคุณหลินสามารถพลิกเกมนี้ให้เท่าเทียมกันได้ หลังจากนี้นายโปรดปิดปากอันเหม็นเน่านั้นของนายไปตลอดชีวิตด้วย อย่าได้มาบ่นจุกจิกต่อหน้าฉันอีก” แอนนาพูดสั่งสอนออกไป สำหรับการที่ควินสันพูดให้ร้ายหลินอิ่งแบบนี้ทำให้ภายในใจเกิดความไม่พอใจอย่างมาก

“ได้สิ พี่แอนนา ถ้าเกิดว่าเขาทำไม่ได้ อย่างนั้นผมหวังว่าพี่จะอนุญาตให้ผมลงโทษเขา แต่แน่นอนว่าผมอาจจะไม่ได้มีดโอกาศนั้นอีก เพราะว่าเขายังเป็นหรือตายแล้วก็ยังไม่รู้เลย” ควินสันพูดพลางยักไหล่

“หื้ม!” แอนนาพ่นเสียงเย็นชาออกมา ไม่อยากจะไปสนใจน้องชายผู้โง่เง่าคนนี้ของเธออีก

“คุณชายโหม ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเราควรยื่นมือเข้าปช่วยหรือเปล่าคะ?” แอนนาถามอย่างเอาจริงเอาจัง

คุณชายโหมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะตอบ “ไม่ได้ ถ้าเกิดว่าหลินอิ่งไม่สามารถจัดการสถานการณ์นี้ได้ ผมจะไปรายงานกับท่านเอิร์ลเอง แล้วค่อยตัดสินเรื่องเขาใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าเกิดสามารถจัดการได้ล่ะก็ การยื่นมือของพวกเรามีแต่จะดึงดูดความสงสัยของเขาเท่านั้น”

“อย่างไรก็ตาม ท่านเอิร์ลก็ไม่ได้ละเมิดขีดจำกัดของข้อตกลงเดิม ดังนั้นพวกเราตระกูลโครเมียร์ก็ไม่สามารถที่จะใช้อำนาจมืดในประเทศหลุงได้”

“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” แอนนาพยักหน้ารับ ดวงตาส่องประกาย โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ความว่องไวที่แสนเปล่าเปลี่ยวภายในอุโมงค์

ควันดำพวยพุ่ง หมอกหนาลอยล่องไป และร่างทั้งสามที่แวบไปมาดุจสายฟ้า

ทั้งอุโมงค์เกิดเสียงสั่นสะเทือน การกระแทกดังกึกก้องสะท้อนไปมา ราวกับว่ากำลังมีอสูรที่น่าสะพรึงกลัวสามตัวกำลังต่อสู้กันอยู่ด้านในนั้น

เสียงการต่อสู้กระทบไปมาดังอย่างมาก

ปัง !

ทั้งเสียงโครมครามราวฟ้าร้องคำราม เสียงระเบิดภายในอุโมงค์ จนถึงการโจมตีที่น่าหวาดกลัวทำให้ทั้งสามคนกระเด็นออกมาหลายสิบเมตรจนกลิ้งมาถึงริมถนนใหญ่

ภายในหมอกสีเทา หลินอิ่งที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเอี่ยม เดินออกด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

เขาปัดเศษฝุ่นบนไหล่ออก สายตาประกายจิตสังหารออกมา

หลินอิ่งตัวคนเดียวสู้กับศัตรูสามคน ใช้เวลานานกว่ายี่สิบกว่านาที

การเผชิญกับศัตรูครั้งนี้ เขาดูเจื่อนไม่น้อยเลย

บนเสื้อผ้าของเขารอยขาดวิ่นนับสิบเปิดเผยผิวหนังที่อยู่ด้านในออกมา พร้อมทั้งมีบาดแผลอันน่าสยดสยองที่มีเลือดไหลออกมา

ระยะวัฏจักร มีข้อจำกัดด้านพละกำลังของเขาค่อนข้างมาก และยังทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ลดลงอีกด้วย

“แค่กๆ …”

เหอซานจินกระอักเลือดออกมาสองที พร้อมกับจ้องไปยังหลินอิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก

“ทั้งสอง ผมไม่สามารถต้านทานได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ก็คงต้องพึงทั้งสองเพื่อคว้าชัยชนะนี้แล้ว”

มุซาชิ จูโตะสีหน้าคร่ำเคร่งกุมมีดเบญจมาศเอาไว้ในมือ

ส่วนหัวหน้ายามเผียวนั้นกำลังถือดาบอ่อนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยบิ่นเล่มนั้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด

ในทุกๆ ครั้งที่เข้าประชิด พวกเขาทุกคนล้วนได้รับการบาดแผลภายในมาทั้งนั้น จนความแข็งแกร่งภายในบางอย่างก็ถดถอยลง พลังกายก็หายไปมากกว่าครึ่ง

ฉันไม่รู้ว่าเดินมากี่รอบแล้ว พวกเขาทั้งหมดได้รับบาดเจ็บภายใน บางคนสูญเสียความแข็งแกร่งภายใน และความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาหมดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหลินอิ่งกลับมีมากมายเหมือนกับทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งที่ทั้งสามคนล้อมเขาเอาไว้ยังไม่สามารถโค่นเขาลงได้เลย …

“พวกคุณจะยังยืนหยัดไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ?” หลินอิ่งถามอย่างหน้าตาย

“ฮึ คำพูดนี้ ควรจะถามตัวคุณเองถึงจะถูก” มุซาชิ จูโตะพูดเยาะเย้ย “คุณยังยืนหยัดได้อีกนานแค่ไหนกัน?”

ปลายมุมปากของหลินอิ่งกระตุกรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมา “ถนนของพวกคุณมาถึงทางตันแล้ว ยังคิดจะสู้อีกหรอ?”

ถึงเขาจะอยู่ในช่วงอ่อนแอ และแม้การระเบิดพลังต่อสู้ออกมาในทันทีจะจะไม่เทียบเท่ากับช่วงรุงเรืองที่สุด แต่ว่าฐานพลังยังคงมีอยู่ ต่อให้มันจะสลายสูญหายไปเรื่อยๆ แต่ด้วยพื้นฐานแล้วก็ยังคงสามารถเอาชนะพวกมุซาชิ จูโตะได้อยู่ดี

“หึๆ ๆ คุณไม่ต้องมาวางมาดใหญ่ตบตาแล้ว นี่เป็นอุบายที่คุณใช้เป็นประจำสินะ” มุซาชิ จูโตะพูดเยาะ “มาถึงช่วงเวลาสำคัญของการหมดเรี่ยวแรงแล้ว คุณ ยังจะรับได้อีกเท่าไหร่เชียว?”

เมื่อพูดจบ เขาก็หายวาบเข้าไป

ร่างของมุซาชิ จูโตะและหัวหน้ายามเผียว พุ่งกระโจนเข้ามาดั่งสายฟ้าพิฆาต

สายฟ้าสองสายที่ประสานกัน ได้ฟาดลงมาจากฟากฟ้า มาพร้อมกับเงาดาบที่ส่องประกายความคมแหลม

บูม!

หลินอิ่งปล่อยพลังหมัดออกมา พลางกระโดดตีลังกาถอยหลังไปกลางอากาศ คลื่นเสียงร้องคำราม พลังอันน่าเกรงกลัวแวกว่ายทะลุผ่านอากาศที่ว่างเปล่า

มุซาชิ จูโตะและหัวหน้ายามเผียวถูกบีดให้ต้องถอยกลับไปหลายสิบก้าว ด้วยความโซซัดโซเซ และสีหน้าที่ตกใจ

ทว่าร่างของหลินอิ่งกลับทะยานตามเข้ามาพร้อมกับฝ่ามืออันดุดัน

แคร็กๆ ๆ !

พลังของหัวหน้ายามเผียวดูเหมือนจะอ่อนแอลง ทักษะในร่างกายไม่มีความคล่องเคลี่ยวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว พลาดไปเพียงนิดเดียว คอของเขาก็ตกไปอยู่ในมือของหลินอิ่งแล้ว ทันใดนั้นร่างกายก็เกิดเสียงกระดูกแตกร้าวออกมา ก่อนที่ร่างกายจะเหมือนไร้กระดูกทรุดลงไปกับพื้น พร้อมกับชีวิตที่ถูกตัดขาด !

“นี่!”

สีหน้าของมุซาชิ จูโตะเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่าหลังผ่านการต่อสู้อันแสนทรหดมา หลินอิ่งกลับยังหาโอกาสฆ่า หัวหน้ายามเผียวได้แบบนี้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset