ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – ตอนที่ 614 ถ้าไม่อยากตายก็นั่งลงซะ

ในการประชุมสุดยอด เสียงแตรรถอันแหลมสูงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อารมณ์ของทุกคนต่างตื่นเต้นไม่สงบ

“ด้านนอกมีขบวนรถหนึ่งเข้ามาครับ……” ผู้ติดตามคนหนึ่งวิ่งเข้ามาข้างกาย สวีจิ่วหลิงพร้อมกล่าวรายงานด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “คุณท่าน ดูเหมือนว่าจะเป็นจากทางการ”

“คนจากทางการ?” สวีจิ่วหลิงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “รอบนี้ใครเป็นคนมา?”

“ไม่ทราบครับ แต่ดูจากลักษณะแล้วเป็นคนที่มีอำนาจมากๆ แม้แต่เหล่าคนที่พวกเราจัดเตรียมไว้ด้านนอกยังไม่มีใครกล้าขวางทางเลยครับ ……” ผู้ติดตามแจ้งอย่างตื่นตระหนก

“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ทางการของตี้จิง จะมีหรือคนที่จะไม่ไว้หน้าฉันหน่ะ ?” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างภาคภูมิใจ “ไม่แน่อาจจะมีรุ่นน้องคนไหนมาที่นี่เพื่อที่จะแสดงความยินดีกับพวกเราก็ได้”

“พ่อ ฟังจากเสียงแตรแล้ว นี่เหมือนจะเป็นเสียงรถของกองพิเศษเว่ยอันฝ่ายทหาร ตระกูลเราไม่ได้มีเครือข่ายกับกองพิเศษเว่ยอันนี่ ……แล้วพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่อาคารเทียนหลงในเวลาแบบนี้ได้ยังไง?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยความแปลกใจอย่างมาก พร้อมกับไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“กองพิเศษเว่ยอัน?” รูม่านตาของสวีจิ่วหลิงหดเล็กลง พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น

และในตอนนั้นเอง บริเวณประตูทางเข้าของงานประชุม มีเหล่าชายหนุ่มท่าทางกล้าหาญชาญชัย รูปลักษณ์สง่าผ่าเผย เดินแยกเป็นสองแถวเข้ามาด้านใน

ชายหนุ่มแต่ละคนสวมเครื่องแบบสีดำเคร่งขรึม สวมรองเท้าบู๊ตทหารสีดำ และถือป้ายที่แสดงถึงแผนกพิเศษบนไหล่ของพวกเขา

กลุ่มคนเหล่านี้ค่อยๆ เดินเข้ามาภายในงานทีละคนๆ ก่อนจะแตกแถวกันเป็นรูปโค้ง พร้อมกับยืนนิ่งตรงอยู่ตรงตำแหน่ง ไม่มีใครที่กล้าเข้าไปขัดขวางทั้งยังรีบหลบทางให้อีกด้วย

และการกระทำนี้ก็สามารถระงับสถานการณ์วุ่นวายเมื่อสักครู่นี้ลงได้อย่างสมบูรณ์ กระทั่งบางคนที่นับว่าเป็นบุคคลสำคัญของตี้จิง ในเวลานี้ยังแทบจะไม่กล้าหายใจออกมา

“กองพิเศษเว่ยอัน……”

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?นี่มันเกิดปัญหาใหญ่แล้ว……”

ตอนนี้ผู้คนในงานต่างก็รู้ถึงฐานะของผู้มาเยือนแล้ว จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นไปอีก !คนที่มีฐานะระดับนี้ แม้แต่เหล่าทวยเทพยังต้องหลบทางให้

อีกอย่าง นี่ก็เป็นถึงแผนกพิเศษของประเทศหลุง และจะขึ้นตรงกับผู้บัญชาระดับสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น และกองพิเศษเว่ยอันจะทำเพียงภารกิจใหญ่ รับผิดชอบภารกิจพิเศษและทำงานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลึกลับเท่านั้น

และโดยเฉพาะการปรากฏตัวหน้าสาธารณชนอย่างโหมครึกโครมแบบนี้

ดูแล้วคงจะเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน !

จนกระทั่งสมาชิกกองพิเศษเว่ยอันจำนวนนับสิบเข้าประจำที่ ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ ใบหน้าเรียบนิ่งคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในงาน ด้วยมือเปล่าที่ไขว้หลังเอาไว้

หลินอิ่งมาถึงแล้ว

ข้างๆ ของหลินอิ่งมีกัปตันหน้าตาเคร่งขรึมนายหนึ่งตามเข้ามาด้วย

เวลานี้ทั้งงานประชุมต่างนิ่งเงียบจนสามารถได้ยินเสียงหายใจ

ทันทีที่หลินอิ่งปรากฏตัวสายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมายังเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

ตอนนี้ทั้งจ้าวเฉิงเฉียนกับนิ่งซวน รวมทั้งคุณชายโหมและควินสัน ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที นิ่งซวนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ส่วนใบหน้าจ้าวเฉิงเฉียนก็มีความตกใจอยู่ไม่น้อย ในขณะที่คุณชายโหมแสดงหน้าเคร่งขรึมออกมา

ส่วนจ้าวหลินเอ๋อร์และแอนนาต่างก็จ้องมองไปยังหลินอิ่งจนตาแทบจะโพลนออกมา

จะมีเพียงก็แต่สวีจิ่วหลิงและเผียวจินฮุนที่เบิกตาโพลงรูม่านตาเล็กลง ด้วยท่าทีหวาดกลัว

“หลิน หลินอิ่ง มาได้ยังไงกัน ?” สวีไป๋เห้อตกใจอย่างหนัก ก่อนจะมองไปยัง สวีจิ่วหลิงด้วยความตื่นกลัว “พ่อ นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน พ่อ พ่อ ……”

ตอนนี้การปรากฏตัวของหลินอิ่งทำให้คนอย่างสวีจิ่วหลิงเกิดความกดดันในใจที่ไม่มีที่สิ้นสุด

เดิมทีเขาคิดว่าหลินอิ่งที่ถูกสกัดเอาไว้ได้แล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะถูกฆ่าทิ้งไปแล้ว

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาปรากฏตัวได้อย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ ทั้งยังถูกคุ้มกันโดยกองพิเศษเว่ยอันอีกด้วย?

นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดถึงได้เลย

สวีจิ่วหลิงไม่ได้สนใจคำถามของสวีไป๋เห้อเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับสูญเสียความมั่นใจที่มีก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง เขาจ้องมองหลินอิ่ง

ไม้เท้าหัวมังกรในมือก็สั่นเทาอย่างเบาๆ

“อย่าบอกนะว่าการต่อสู้ของพวกมุซาชิ จูโตะแพ้แล้ว?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะโทรออก

“หันหลังกลับ แล้ววางอุปกรณ์สื่อสารในมือลง”

กัปตันที่อยู่ข้างกายหลินอิ่ง เดินหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว พร้อมกับเบิกตามองไปยังคนตระกูลสวีที่นั่งอยู่บนโต๊ะเจรจา และสั่งการด้วยเสียงหนักแน่น

ในเวลาเดียวกัน แสงเลเซอร์อินฟราเรดหลายดวงก็ถูกเล็งไปที่หน้าผากของสวีไป๋เห้อ

“ห๊า?นี่คือ!”

สวีไป๋เห้อที่เห็นแสงเลเซอร์อินฟราเรดส่องผ่านตามา เขาตกใจจนทำโทรศัพท์ตกจากมือลงไปบนพื้น

ตอนนี้ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นทันทีว่าเหล่ากองพิเศษเว่ยอันที่ยืนเป็นรูปโค้งบนแท่นสูงนั้นกำลังถือปืนไรเฟิลกันอยู่

บรรยากาศดูร้ายแรงขึ้นมาทันที

“พวกคุณ นี่พวกคุณกำลังทำอะไรกัน?” สวีไป๋เห้อยกมือทั้งสองขึ้น พร้อมกับพูดอย่างตื่นตระหนก “พ่อ พ่อ พ่อควรจะออกหน้าพูดอะไรหน่อยสิ ?นี่จะเอาปืนมาจ่อหัวแบบนี้มั่วซั่วได้ยังไงกัน?”

“หลินอิ่ง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?คุณกล้าทำเรื่องใหญ่โตแบบนี้อย่างไร้เหตุผลได้ยังไงกัน?” สวีจิ่วหลิงพยายามสงบอารมณ์เอาไว้พร้อมกับพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก

เอาตามตรง ในสถานการณ์แบบนี้มีเพียงแค่คนแก่คร่ำครึอย่างสวีจิ่วหลิงเท่านั้นที่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

เพราะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะโชคดีเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ตอนนี้แม้แต่เผียวจินฮุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังตกใจจนสีหน้าซีดเผือดหมดแล้ว

“คุณชายอิ่ง คุณ นี่คุณกำลังทำอะไร?ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็ไม่ควรจะทำเรื่องแบบนี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ?”

“ที่นี่คือการประชุมสุดยอดเทียนหลง หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ?”

บนที่นั่งประชุมมีคนจำนวนหนึ่งทำใจกล้าส่งเสียงออกมา

“คุณก็คือคุณหลินของหลินซื่อกรุ๊ป การกระทำแบบนี้ของคุณ!เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนชัดๆ !” ชายต่างชาติผิวขาวคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “ต่อให้พวกคุณกำลังจัดการคดี ก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้ ผมจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสถานทูต!”

“ถูกต้อง!พวกเราคือพลเมืองของประเทศM ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของประเทศM พวกคุณไม่สามารถใช้การกระทำแบบนี้มาควบคุมและข่มขู่พวกเรา และสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจของพวกเราด้วย”

“ไม่สนแล้ว พวกเราต้องออกไป!ให้พวกเราออกไป!”

กลุ่มตัวแทนชาวต่างชาติจากกลุ่มธุรกิจนานาชาติ ต่างก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่พึงพอใจพร้อมกับลุกขึ้นยืนหวังจากออกไป

กัปตันแสดงสีหน้าเยือกเย็นยืนอยู่ด้านหน้า

หลังจากที่ทำทีจัดเสื้อเสร็จ ก็พูดต่อด้วยเสียงที่เย็นชา:”กองพิเศษเว่ยอันกำลังทำคดี หากไม่อยากตายก็นั่งลงซะ !”

หลังจากที่ประโยคอันเย็นชานี้จบลง สมาชิกกองพิเศษเว่ยอันก็รีบจัดการกับเหล่าคนที่จับอยู่ในมือตัวเอง พร้อมกับนำตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น ทุกอย่างก็เงียบสงบลง

เสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นอีกครั้ง !

เหล่าตัวแทนกลุ่มธุรกิจชาวต่างชาติที่กำลังอยากจะโวยวาย ต่างก็พากันนั่งกลับลงไปอย่างว่าง่าย แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ

“ทำคดี……” สวีไป๋เห้อพึมพำกับตัวเองพร้อมกับตกใจจนต้องหลบไปอยู่หลังสวีจิ่วหลิง

“พวกคุณมีหมายจับหรือเปล่า?แล้วทำคดีอะไรกัน?แล้วทำกับใคร?” สวีจิ่วหลิงเอามือที่สั่นเทาของตัวเองซุกเข้าไปในแขนเสื้อพลางถามด้วยเสียงหนักแน่น

กัปตันแสยะเสียงเยาะเย้ยออกมา ไม่สนใจ สวีจิ่วหลิง ก่อนจะหันหลังกลับไปตั้งตัวตรงทำความเคารพ

“หัวหน้าหลิน เชิญคุณพูดได้เลยครับ”

หลินอิ่งยังคงแสดงสีหน้านิ่งเรียบ เดินตามขั้นบันไดพรมแดงที่ปูเอาไว้ค่อยๆ ไปยังโต๊ะเจรจา

ส่วนกัปตันก็เดินตามหลังมาพร้อมกับสมาชิกอีกหลายคน

ภายใต้การจับตามองของทุกคน หลินอิ่งค่อยๆ เดินขึ้นไปอย่างนั้นจนถึงโต๊ะเจรจา

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ถูกจับตามองโดยผู้มีอำนาจ ทั้งสวีไป๋เห้อและเผียวจินฮุนต่างก็เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก แผ่นหลังก็ถูกเหงื่อชุ่มอยู่เหมือนกัน พวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าสบตากับหลินอิ่งเลยด้วยซ้ำ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset