ซ้อจำเป็น – ตอนที่ 3

บทที่ 3

 

 

 

 

             ความเงียบภายในรถยังคงไม่มีทีท่าว่าจะลดละตัวผมจึงนั่งนิ่งรออาการความเจ็บปวดของเจ้าของรถให้มันทุเลาลง สองมือใหญ่นั้นยังคงกุมเป้าตัวเองมาได้หลายนาทีและใบหน้าที่แดงก่ำยังไม่เลือนหายออกจากเบ้าหน้าคมคายของเจ้าตัว เมื่อไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ ผมจึงยกนาฬิกาเรือนหรูราคาแพงดูซึ่งตอนนี้ก็ปาไปสามทุ่มเข้าให้ แต่ตัวผมยังนั่งอยู่ในปั้มแถวบ้านอยู่เลยมันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าร่างสูงพาผมมาปั้มเพื่อรอเวลาขับกลับไปส่งผมหรือเปล่า

 

 

 

 

             “จะนั่งกุมเป้าอีกนานไหม ถ้าไม่ไปจะได้เรียกแกร็บกลับ”

 

 

 

 

             ผมเอี้ยวหน้าถามโดยที่ไม่ได้หันไปสบตาเพราะช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่ถึงชั่วโมงผมก็รู้สึกพะอึดพะอมอย่างบอกไม่ถูก ช่างเป็นการเจอกันครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย

 

 

 

 

             “เอาเรื่องดีนี่ แสบใช่ย่อยเหมือนกันนะเรา”

 

 

 

 

             สายตาโกรธเคืองเอาเรื่องของคนข้างกายตวัดมองมายังผม หากแต่มันกลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวสักนิด แถมตัวผมยังเลือกที่จะคว้าโทรศัพท์ไถ่หน้าจอเล่นรอเวลากลับบ้านก็เพียงเท่านั้น เมื่อตัวเองพอจะเดาทางออกว่าเจ้าของรถคนนี้คงไม่ได้ตั้งใจพาผมไปกินข้าวอย่างที่ตีหน้าซื่อบอกกับอาม่าผมหรอก สันดานแย่ไม่พอเป็นคนเอาหน้ากับผู้ใหญ่อีกต่างหาก

 

 

 

 

              นี่หรือคือคนที่ผมจะหมั้นหมายด้วย…

 

 

 

 

             “มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา ไม่อยากนั่งบนรถนาน”

 

 

 

 

สายตาดุดันและดุร้ายในขณธเดียวกันกำลังมองผมครู่ใหญ่ จนผมต้องเอี้ยวหน้าขึ้นเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ ผมกอดอกมองตรงไปยังข้างหน้าให้สายตาโฟกัสตรงที่ใดที่หนึ่งเพราะไม่อยากจะนำพาสายตาตัวเองมองสิ่งไม่เจริญหูเจริญตาภายในรถ

 

 

 

 

เสียงสถบในลำคอของเจ้าตัวเล็ดลอดออกมาเมื่อเห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งของผมเริ่มทวีคูณขึ้น ผมเป็นคนไม่นิยมคบค้าสมาคมกับคนปากเสียแบบนี้ เป็นถึงนักธุรกิจชื่อดังพอตอนอยู่หน้ากล้องทุกอย่างเป็นดังเทพบุต แต่ใครจะมารับรู้เหมือนผมว่าหลังกล้องเป็นยังไง

 

 

ซาตานในคราบเทพบุตรดี ๆ นี่เอง…

 

 

 

 

             “ดี กูไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน”

 

 

 

 

             “แล้วใครให้มึงอ้อมไม่ทราบ มีแต่มึงที่นั่งอมน้ำลายอยู่ฝ่ายเดียว”

 

 

 

 

             ความปากไวยังเหมือนเดิมไม่มีตกและผมก็รับรู้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรส่งมาให้ คนด้านข้างนิ่งไปครู่ใหญ่เพื่อควบคุมอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา ส่วนผมก็ก้มดูนาฬิกาบนข้อมือเพราะอยากจะให้เวลาหมุนไปเร็ว ๆ ไม่อยากทนนั่งแย่งอากาศหายใจร่วมกับผู้ชายคนนี้เสียเท่าไหร่

 

 

 

 

             “เรื่องหมั้น กูบอกไว้ตรงนี้เลยว่ากูไม่เต็มใจและไม่อยากหมั้นกับมึง”

 

 

 

 

             “แล้วมึงคิดว่ากูอยากหมั้นมากงั้นสิ ไม่เลย กูไม่อยากหมั้นสักนิด”

 

 

 

 

             เสียงนิ่งเรียบพูดออกมาด้วยท่าทีที่สงบลงกว่าเดิม ส่วนผมก็สวนตอบกลับทันทีก่อนจะดึงอารมณ์ให้กลับมานั่งนิ่งหันหน้ามองไปนอกรถรอฟังคำพูดของคนข้างกายพูดต่อให้จบทีเดียว เสียงหายใจฟึดฟัดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะเริ่มพูดต่อ

 

 

 

 

             “หลังจากงานหมั้น กูกับมึงต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน”

 

 

 

 

             “…”

 

 

 

 

             “แต่ กูมีกฏให้มึง ก่อนที่จะย้ายมาอยู่”

 

 

 

 

             ผมเอี้ยวหน้าไปจ้องมองเจ้าของคำพูดและสนใจกับกฎ กฎระหว่างความสัมพันธ์ที่สุดแสนจะจอมปลอมของเราสองคน ผมชายตามองราวกับสนใจในประเด็นที่มันกำลังพูดอยู่ไม่น้อย หากกฎมันสามารถช่วยให้ผมอยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้ได้ผมก็พร้อมยินดีทำตามโดยไม่มีข้อกังขา

 

 

 

 

             “กฏอะไร”

 

 

 

 

             ผมเผยริมฝีปากถามในสิ่งที่อยากรู้ สายตาผมมองควันขาวกลิ่นยาคูที่ถูกพ่นมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้น บุหรี่ไฟถูกยกขึ้นสูบอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักให้เว้นช่วง สายตาคมกริบตวัดขึ้นมามองผมเมื่อน้ำเสียงที่ดูสนใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังสื่อ

 

 

 

 

             “ ข้อแรก มึงกับกูจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ”

 

 

 

 

             ความพอใจฉายแววภายใต้ใบหน้าที่แน่นิ่งของผม ซึ่งกฎข้อที่หนึ่งผมยอมรับและเห็นด้วยกับร่างสูงที่เอาแต่สนใจกับอุปกรณ์ที่ถืออยู่ในมือโดยไม่หันมามองผม ราวกับผมเป็นอากาศธาตุและนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ

 

 

 

 

              ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน…

 

 

 

 

 

             ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ…

 

 

 

 

             “ ข้อสอง มึงกับกูไม่มีพันธะระหว่างกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง เว้นแต่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ”

 

 

 

 

“…”

 

 

 

 

“ดังนั้น กูกับมึง จะไปคบใครก็ได้ แต่ห้ามให้ถึงหูของคนที่บ้าน”

 

 

 

 

คิ้วผมขมวดเป็นปมเมื่อได้ยินกฎของที่สองที่มันค่อนข้างเอื้อประโยชน์ให้กับคนที่ตั้งไว้มากโข แต่ผมจะสนใจทำไมเพราะไม่ว่ามันจะไปควงใครก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรสำหรับผมอยู่แล้ว ฉะนั้นข้อนี้ผมจะปล่อยผ่านไปก็แล้วกัน

 

 

 

 

“ ข้อสุดท้าย… ”

 

 

 

 

ประโยคที่ไม่สมบูรณ์เพื่อจงใจหยุดจนผมต้องตวัดสายตาไปมองด้วยสีหน้าเหวี่ยงใส่ ร่างสูงเว้นช่วงไว้ค่อนข้างหลายวินาทีซึ่งตัวผมยังคงนั่งกอดอกฟังกฎข้อสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

 

 

“มึงจะหยุดทำไม รีบพูดมาสักที”

 

 

 

 

ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจไม่น้อยเมื่อคนปากหนักคล้ายกับกำลังเล่นลิ้นกับอารมณ์ผมเพื่อสนองความสุขทางใจให้ตัวเอง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นมองผมไม่วางตาก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนเข้ามาหาผมโดยไม่กลัวเลยว่าจะโดนบิดไข่เป็นรอบที่สอง

 

 

 

 

 ระยะห่างของใบหน้าระหว่างเราใกล้กันจนผมสัมผัสถึงช่วงจังหวะการหายใจ สายตาของเราจ้องมองกันราวกับต้องมนต์สะกด นัยน์ตาสีน้ำตาคู่นี้กำลังไล่สำรวจใบหน้าผมอย่างถือวิสาสะก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้ายผมรอฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

 

 

 

“อย่ารักกู…”

 

 

 

 

แววตาจริงจังและหนักแน่นเหมือนเป็นคำสั่งเพื่อให้ผมทำตาม คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหนานี้มีแต่ความหลงตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ผู้ชายคนนี้เป็นใครถึงกล้าดีมาบอกให้ผมห้ามรัก ดวงตาคมเข้มจ้องมองหน้าผมและหลุบต่ำมองลงมาที่ริมฝีปากผมเหมือนติดใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ 

 

 

 

 

“ต่อให้ตาย กูก็ไม่มีทางรู้สึกแบบนั้นกับมึงแน่”

 

 

 

 

ความหยิ่งทะนงในน้ำเสียงของตัวเองทำเอาคนฟังถึงกับพอใจในคำตอบไม่น้อย ใบหน้าที่อยู่ในระยะประชิดถูกถอยออกแล้วหันไปคว้าโทรศัพท์ราคาแพงขึ้นมารับสายที่ดังไม่หยุดเป็นเวลาหลายนาทีได้

 

 

 

 

‘ถึงแล้วหรอ เห็นรถผมไหม’

 

 

 

 

เพียงประโยคไม่กี่คำก่อนที่สายจะถูกวางลง คิ้วผมขมวดทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวร่างสูงเพรียวที่คุ้นหน้าคุ้นตา ถึงแม้จะใส่เสื้อฮู้ดแขนยาวปกปิดผิวกาย ไหนจะแว่นดำหมวกดำยิ่งทำให้เป็นที่สะดุดตาเข้าไปอีก เมื่อสาวคนนั้นเดินเข้ามายืนอยู่ข้างประตูที่ผมนั่ง คล้ายกับรอคอยให้ผมเปิดประตูรถลงเพื่อให้หญิงสาวขึ้นมานั่งที่ผมแทน ความอยากรู้อยากเห็นไม่รุ้จบของตัวเองผุดขึ้นและพยายามเพ่งเล่นไปยังหญฺงสาวนอกตัวรถเมื่อพอดูใกล้ ๆ ก็ถึงกับตกใจไม่น้อย เพราะสาวสวยหุ่นดีคนนี้เป็นถึงดาราชื่อดังที่ผมเคยเห็นผ่านบนสื่อออนไลน์ต่าง ๆ

 

 

 

 

“ลงไป”

 

 

 

 

น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ผมที่นั่งงงกับสิ่งที่มันกำลัง คือมันจะให้ผมลงไปไหน ก็ในเมื่อมันเป็นคนพาผมขับออกมาจากบ้านด้วยตัวเองแท้ ๆ

 

 

 

 

“ลงไปไหน”

 

 

 

 

ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจกับสถานการณ์กระชั้นชิดไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ เจ้าของรถคันหรูตวัดสายตามามองที่ผมด้วยความรำคาญและไม่สบอารมณ์ในระดับหนึ่ง คล้ายกับหงุดหงิดเมื่อผมไม่เข้าใจที่เจ้าตัวกำลังสื่อออกมา ซึ่งเป็นใครต่อให้ไม่ใช่ผมก็งง เพราะนั่งมาด้วยกันแต่จู่ ๆ ไล่ให้ลงไปเสียดื้อ ๆ แล้วผมจะลงตามคำบอกกล่าวนั้นทำไมกัน

 

 

 

 

“จะลงไปไหนก็เรื่องของมึง”

 

 

 

 

“…”

 

 

 

 

“เร็ว คนข้างนอกเขายืนรอนาน”

 

 

 

 

ผมถึงกับอึ้งในสิ่งที่ออกมาจากปากของผู้ชายที่กำลังจะเป็นสามีผมในอนาคต หัวคิ้วขมวดจ้องมองสายตาคมเข้มนั้นอย่างเหลือเชื่อ เหลือเชื่อในการกระทำสุดแสนจะเกินบรรยายออกเป็นคำพูดได้

 

 

 

 

และสิ่งที่ผมรับไม่ได้เลยคือมันกำลังไล่ผมลงจากรถเพื่อรับผู้หญิงคู่ขาของเจ้าตัวข้างนอกขึ้นมานั่งแทนผม ผมอ้าปากค้างแล้วแค้นขำออกมาอย่างขบขัน ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าคนคนนี้ที่อากงกับอาม่าเป็นคนยัดเยียดให้ผมจะนิสัยแย่ได้ใจขนาดนี้

 

 

 

 

“กูไม่ลง”

 

 

 

 

สามคำสั้น ๆ แต่ได้ใจความทำเอาคนฟังถึงกับหน้าตึงหันควับมามองผมทันที แล้วมันใช่เรื่องที่ผมจะทำตามคำสั่งของคนเห็นแก่ตัวแบบนี้หรอไม่มีทาง ในเมื่อพาผมมาก็ต้องเป็นคนพาผมกลับ ถ้าจะเล่นกันอย่างนี้ก็ได้มันจะได้รู้รสชาติความเป็นคับฟ้าคนนี้ว่าไม่ควร

 

 

 

 

ไม่ควรมาหยามกันแบบนี้…

 

 

 

 

“นี่มันรถกู กูจะให้ใครนั่งหรือลงมันสิทธิ์ของกู มึงบอกเองนี่ว่าจะเรียกแกร๊บกลับไม่ใช่หรือไง รีบลงไปกูไม่อยากให้เด็กกูยืนรอนาน”

 

 

 

 

ประโยคที่เต็มไปด้วยคำพูดคนแก่ตัวทำเอาผมต้องอึ้งเป็นรอบที่สอง ที่อึ้งไม่ใช่เพราะผมเสียใจแต่แค่อยากรู้เหลือเกินว่าคนตรงหน้าได้นิสัยใครมา เพราะสมาชิกคนในครอบครัวมีแต่คนน่ารัก อบอุ่น หากตัดภาพมาที่เจ้าของรูปประโยคเมื่อครู่แล้วนั้น

 

 

 

 

ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวนิสัยเหล่านั้นในตัวเลยสักนิด…

 

 

 

 

“นั่นก็เรื่องของมึงเพราะกูไม่ลง ถ้าอยากให้กูลง นู่น ขับไปส่งกูที่บ้าน!”

 

 

 

 

ระดับเสียงเริ่มดังขึ้นตามห้วงอารมณ์แห่งความไม่ชอบพอและไม่สบอารมณ์อย่างมาก ซึ่งในระหว่างที่กำลังเถียงกันอย่างไม่ยอมแพ้เสียงเรียกเข้าของคนตรงหน้าก็ดังขึ้นไม่หยุด ยิ่งปลายสายโทรเข้าถี่เท่าไหร่มันจึงเหมือนตัวเร่งอารมณ์หงุดหงิดให้เราสองคนมากขึ้นเท่านั้น สายตาผมหลุบต่ำมองโทรศัพท์ในฝ่ามือใหญ่และสายที่โทรเข้ามานั้นจะเป็นใครหากไม่ใช่หญิงสาวที่ยืนกอดอกมองตรงมายังภาพในรถอยู่ตอนนี้

 

 

 

 

‘รอแปปนะแพรม ผมขอเคลียร์ก่อน’

 

 

 

 

 

สายถูกตัดทิ้งอีกเป็นครั้งที่สองแต่คราวนี้ดูเหมือนคนด้านนอกจะยืนรอนานเกินไปเลยทำให้มีอารมรณ์ฉุนเฉียวมากขึ้นหนักกว่าเก่า ส่วนผมยังคงนั่งนิ่งไม่สนใจทั้งสองฝากฝั่งเพราะมันไม่ใช่ปัญหาของผมเสียหน่อยแล้วมันจะไปแคร์มันทำไม

 

 

 

 

“กูบอกให้ลงไปไงวะ! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!”

 

 

 

 

เสียงทุบกระจกเริ่มเกิดขึ้นเมื่อบุคคลภายนอกตัวรถทนไม่ไหวและในขณธเดียวกันเสียงตะคอกด้านในก็ไม่ต่างกัน หากแต่ผมกลับนั่งนิ่งหลังตรงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พฤติกรรมก้าวร้าวที่แสดงออกมาและคิดหรอว่าผมจะตกใจกลัว

 

 

 

 

 ไม่เลย…

 

 

 

 

 

ไม่สักนิด…

 

 

 

 

 

 มึงเล่นผิดคนแล้วขุนศึก…

 

 

 

 

“เสนอหน้ามารับได้ มึงก็ต้องเสนอหน้าไปส่งกูได้เหมือนกัน! แล้วไม่ต้องมาตะคอกขึ้นเสียงใส่กู! เพราะมึงไม่มีแม้สิทธิ์! ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะทำมึงจำเอาไว้!”

 

 

 

 

ผมหันหน้าตะคอกใส่กลับอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าคิดว่าจะใช้น้ำเสียงข่มให้ผมจำยอมก็ย่อมได้ ถ้าคิดว่าแน่จริงก็แลกกันสักตั้งจะเป็นอะไรไปเพราะคับฟ้าคนนี้ไม่ยอมลงให้คนนิสัยแย่ ๆ แบบนี้แน่นอน

 

 

 

 

“คับฟ้า!!”

 

 

 

 

รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่คนตรงหน้าผมเรียกชื่ออย่างเต็มยศ สีหน้าที่โมโหพร้อมเข้าใส่ผมตลอด เสียงเคาะกระจกเริ่มรัวขึ้นจนผมรู้สึกรำคาญ จนต้องหันหน้ามองบุคคลด้านนอกสุดแสนจะเหลืออดเหลือทน

 

 

 

 

‘ลงมาสักที!’

 

 

 

 

 

เสียงเคาะกระจกด้วยกำปั้นเล็กทุบลงอย่างไม่เกรงใจและไม่เกรงกลัวว่าคนที่นั่งอยู่ในรถจะรำคาญหรือเปล่า ผมต้องบอกก่อนว่าตัวเองเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นง่าย และพอขึ้นมาแล้วมันจะลงยาก ดังนั้นน้อยครั้งนักที่ผมจะระเบิดอารมณ์ใส่ใครสักคนและครั้งนี้ผมถือว่าเกินจะอดกลั้นได้เสียแล้ว

 

 

 

 

“มึงช่วยจัดการคู่นอนของมึงที่กำลังทุบกระจกด้วย มันทำให้กูรำคาญ”

 

 

 

 

ผมใช้สายตาจิกกัดไปให้ร่างสูงข้างกายแล้วคว้าโทรศัพท์กดเข้าไลน์หาเพื่อนตัวเองอย่างหน้าตาเฉย เพราะดูจากแววแล้วผมน่าจะต้องไปหาพวกมันหลังจากนี้ แต่แล้วโทรศัพท์ผมก็ถูกดึงออกไปโดยฝีมือของใครบ้างคนที่นั่งแย่งอากาศหายใจกับผมภายในรถคันนี้

 

 

 

 

“เอามา! อย่าเสือกไม่เข้าเรื่อง!”

 

 

 

 

แล้วตะเกียกตะกายคว้าโทรศัพท์ของตัวเองด้วยสีหน้าแววตาโกรธเคืองเมื่อถูกคนตรงหน้าชูโทรศัพท์ผมขึ้นเหนือหัวและทำหน้าตากวนบาทาผมอย่างจงใจ

 

 

 

 

“มึงไม่ลงก็ไม่ต้องเอา แต่ถ้าอยากได้ก็ลงไป ลงไปซะ”

 

 

 

 

ราวกับโดนขัดใจแล้วพาลเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแถมดูเหมือนจะชอบพอเมื่อเห็นพฤติกรรมของผมที่แสดงออกมาอีกต่างหาก ตอนนี้ในหัวผมคิดหาวิธีเอาคืนในเวลากระชั้นชิดจนในที่สุดมุมปากผมยกยิ้มขึ้นเมื่อกำลังจะเป็นฝ่ายได้เปรียบในอีกไม่กี่นาทีข้างนอก ร่างสูงเมื่อเห็นสีหน้าแววตาผมเปลี่ยนเจ้าตัวถึงกับหุบยิ้มลงทันที

 

 

 

 

“มึงจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้เลย!”

 

 

 

 

ผมหันไปพูดเสียงนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแล้วหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งและใช้นิ้วกดเลื่อนกระจกลงจนเกือบสุด และทันใดนั้นเองผมจึงได้เห็นใบหน้าดาราสาวสวยตรงหน้าได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น เมื่อเราทั้งสองคนประชันหน้าเข้ามากันผมจึงใช้โอกาสนี้มองสำรวจหญิงสาวสวยเซ็กซ์ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขนาดนี้ จนหญิงสาวที่ถูกมองถึงกับเอ่ยถามอย่างขึ้นเสียงใส่ผม

 

 

 

 

“มองอะไรคะคุณ ลงมาจากรถด้วยค่ะ!”

 

 

 

 

เหมือนเจ้าตัวยังไม่รู้ว่าผมเป็นใครและแน่นอนไม่มีทางรู้เป็นแน่ เพราะถ้าหากรู้ขึ้นมาคงอาจจะตกใจจนเป็นลมล้มพับไปเลยก็เป็นได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมตกใจไม่น้อยนั้นก็คือ กิรยาท่าทางภายในจอกับนอกจอมันช่างเป็นเหรียญคนละด้านที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จนแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน

 

 

 

 

“จะนั่งมองอีกนานไหม! เจ้าของรถบอกให้ลงทำไมยังทนนั่งเฉยอยู่อีก!”

 

 

 

 

น้ำเสียงสุดเหวี่ยงแฝงไปด้วยการตะคอกยิ่งทำให้ต่อมอารมณ์หงุดหงิดในตัวถูกปลุกขึ้นในใจผม หญิงสาวใต้แว่นดำนี้เป็นใครถึงกล้ามาขึ้นเสียงผม คิดว่าตัวเองเป็นดาราแล้วมีอภิสิทธิ์ชนเหนือกว่าคนทั่วไปหรือไงกัน

 

 

 

 

“ผมไม่ลงครับ ถ้าคุณมีนัดกับคนที่อยู่ในรถ คุณเรียกแท็กซี่ไปสถานที่นัดก่อนได้เลยครับ”

 

 

 

 

ผมยื่นหน้าซึ่งไร้การปกปิดจากเครื่องประดับอย่างเช่นแว่นตาเหมือนกับหญิงสาวนอกรถใส่อยู่ ถึงแม้ผมจะไม่เห็นสีหน้าแววตาภายใต้กรอบแว่นดำนั่นแต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงรังสีความไม่พอใจอยู่มากโข

 

 

 

 

“ขุนศึก! ขุนศึกบอกจะเคลียร์ แพรมก็ยืนรอ แล้วนี่อะไรคะ! ไหนคือเคลียร์ของคุณ!”

 

 

 

 

เมื่อคุยกับผมแล้วไม่เป็นอันได้ผมเจ้าตัวจึงก้มตัวเอียงหน้าไปหาคนที่กำลังนั่งถอนหายใจดังเฮือกใหญ่กับสถานการณ์อันวุ่นวายเช่นนี้ ส่วนผมก็นั่งกอดอกจ้องมองปฏิกิริยาของดาราสาวด้วยท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ เพราะผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้ตัวต้นเหตุที่นั่งข้างผมมันจะจัดการยังไง

 

 

 

 

“อย่าเข้ามายืนใกล้ครับคุณ ผมเหม็นน้ำหอม”

 

 

 

 

ยังพูดไม่ทันขาดคำกลิ่นน้ำหอมคละคลุ้งไปทั่วและดูจะฉีดมาปริมาณมากเกินคำว่าพอเหมาะจนผมแทบหายใจไม่ออก และเมื่อคนถูกทักได้ยินถึงกับหน้าเสียในรูปประโยคของผม แต่ร่างบางหุ่นดีคนนี้ก็แก้สถานการณ์โดยเอียงหน้าเอ่ยถามบุคคลที่สามด้วยความอยากรู้จักเกี่ยวกับตัวผม

 

 

 

 

“นี่ใครคะขุนศึก น้องคุณหรอ”

 

 

 

 

“…”

 

 

 

 

“ถ้าเป็นน้องทำไมไม่รู้จักให้เกียรติแฟนพี่ชายตัวเองบ้างคะ!”

 

 

 

 

สายตาสุดเหวี่ยงของคุณผู้หญิงตรงหน้ากำลังยกมือถอดแว่นออกอย่างเหลืออดกับบทสทนาระหว่างผม เมื่อแว่นตาถึงถอดออกปรากฏให้เห็นใบหน้าที่คุ้นชินในละครทีวีช่องหนึ่ง จะว่าไปดาราคนนี้ก็สวยกว่าในทีวีอีกนะถ้าไม่นับกับนิสัย ก็ถือว่าเป็นสาวที่เพียบพร้อมน่าคบหา แต่หากนับนิสัยเข้าไปด้วยคงต้องขอพิจารณาอีกที

 

 

 

 

“จะอะไรกันนักหนาวะ! วุ่นวายชิบหาย!”

 

 

 

 

แรงฟาดไปที่พวงมาลัยรถจนพาลทำให้มือเจ้าตัวถูกแตรจนเกิดเสียงดังลั่น ทำให้คนภายในปั้มที่เดินไปมาอยู่ตรงบริเวณนั้นถึงกับหันมามอง เมื่อคนเริ่มเดินผ่านมาเยอะขึ้นและลอบมองมายังรถหรูที่ผมนั่ง ดาราสาวที่กำลังจะมีเรื่องกับผมจึงหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่เหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ได้มีปฏิกิริยาทุบกระจกเหมือนเมื่อครู่

 

 

 

 

“สรุปจะเอายังไง จะไม่ลงใช่ไหม”

 

 

 

 

คนที่ยืนอยู่นอกรถเท้าเอวถามผมด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์สุดขีด หากแต่คำถามนั้นผมกลับมองว่าทำไมผมต้องเป็นฝ่ายลง ในเมื่อเจ้าของต้นเหตุไม่ยอมไปส่งผมที่บ้านตามที่ผมต้องการ หากจะให้ผมเรียกแกร๊บกลับก็ได้แต่ในเมื่อผมสะดวกแบบนี้

 

 

 

 

สะดวกในแบบที่ต้องการเห็นคนแก่ตัวไปส่งผมที่บ้าน…

 

 

 

 

“เป็นแค่น้องอย่ามาทำตัวเหนือกว่าคนเป็นแฟนได้ไหมคะ!”

 

 

 

 

เมื่อหญิงสาวที่อยู่ด้านนอกยังต่อปากต่อคำกับผมไม่หยุดหย่อน แถมยังใช้คำว่าแฟนจนผมรู้สึกอนาถใจแทน อนาถใจที่ต้องมานั่งฟังคำว่าแฟนจากปากผู้หญิงโดยที่ไม่รู้อะไรเลยว่า คนที่ตัวเองมโนว่าเป็นแฟนนั้นกำลังจะเป็นสามีผมในอนาคต

 

 

 

 

  แค่คิดก็ห้ามให้ตัวเองหลุดขำไม่อยู่เสียแล้ว…

 

 

 

 

“ใครว่าผมเป็นน้องครับ”

 

 

 

 

เมื่อทนความรำคาญของแก้วเสียงด้านข้างรถไม่ไหวจึงต้องพูดอะไรสักอย่างให้มันชัดเจนกันไปข้าง ในเมื่อร่างสูงในรถไม่จัดการอะไรให้แม้แต่น้อยเพราะอย่างงั้นผมจะทำในแบบวิธีของผมก็แล้วกัน

 

 

 

 

“ไม่ใช่น้องแล้วเป็นใคร!”

 

 

 

 

รอมฝีปากถูกระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไร้ซึ่งตอบเพื่อเว้นช่องว่าให้น่าสงสัยยิ่งขึ้น เมื่อร่างสูงที่นั่งฝั่งคนขับรับรู้ได้ถึงความซวยส่อแววมาแต่ไกลในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด ร่างสูงกำยพนั้นถึงกับโน้มตัวลงมาชิดกับตัวผมแล้วยื่นหน้าไปหาผู้หญิงคู่ขานอนด้วยาการเร่งรีบก่อนที่อะไรมันสายไปมากกว่านี้ ผมยกยิ้มอย่างสะใจเมื่อปฏิกิริยาถูกกระตุ้นให้ตื่นตูม

 

 

 

 

“แพรมกลับไปก่อน เดี๋ยวผมโทรหา”

 

 

 

 

เมื่อดาราสาวได้ยินเช่นนั้นจึงแสดงพฤติกรรมออกมาจากน้ำเสียง น้ำเสียงที่ฟึดฟัดเมื่อผู้ชายที่นัดเจอกลับไล่ให้กลับบ้านโดยมีผมนั่งแน่นิ่งอยู่ในรถเบาะด้านหน้าในตำแหน่งที่ผู้หญิงคนนั้นจะต้องมานั่งแทนที่ผม

 

 

 

 

“ขุนศึก!!”

 

 

 

 

“อย่าโวยวาย คุณก็รู้ว่าผมเกลียดอะไร”

 

 

 

 

“…”

 

 

 

 

“ถ้ายังอยากเจอกันครั้งหน้า ก็กลับไปอย่างเงียบ ๆ แบบที่ไม่ทำตัวมีปัญหา”

 

 

 

 

ช่างเป็นประโยคบอกเล่าที่เต็มไปด้วยคำขู่ทุกประโยค เมื่อหญิงสาวทำอะไรไม่ได้เมื่อร่างสูงตรงหน้ายื่นคำขาดให้กลับ และการกระทำสุดแสนจะน่ารำคาญทั้งหมดนั้นถูกยุติลงอย่างรวดเร็วและยืนสงบนิ่งมองผมด้วยแรงอาฆาต

 

 

 

 

รอยยิ้มบางอย่างเป็นมิตรถูกปั้นแต่งใส่ดาราสาวสุดเซ็กซี่ก่อนที่นิ้วเรียวยาวของตัวเองจะกดปุ่มให้กระจกนั้นเลื่อนขึ้นจนปิดสนิทโดยมีสายตาของคนในรถมองผมอยู่เช่นกัน

 

 

 

 

“ไปสิ ไปส่งกูที่บ้าน”

 

 

 

 

เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างจบลงด้วยดีผมจึงหันไปพูดกับสารถีคนเดิมและเอื้อมตัวขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางไว้บนตักกว้างนั่น เมื่อเอื้อมตัวไปคว้าได้สำเร็จผมก็เข้าไลน์เพื่อทักหากลุ่มเพื่อนโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป

 

 

 

 

ถึงแม้สายตาจะจดจ้องยังหน้าจอแสงไฟสว่างแต่หัวสมองกลัยคิดว่า แค่วันนี้วันเดียวผมก็ดันเจอกับเหล่าบรรดาคู่นอนเลยหรือนี่ ถ้าหลังงานหมั้นผ่านไปผมก็คงต้องเจออีกนับไม่ถ้วนและหากหมั้นไปแล้วชีวิตที่เรียบง่ายแบบสันโดษมันกำลังถูกพรากไปจากผมด้วยฝีมือของคนที่ชื่อว่า ขุนศึก ใช่ไหม

 

 

 

 

ใช่หรือเปล่า…

ซ้อจำเป็น

ซ้อจำเป็น

*ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร* ซ้อจำเป็น (Mpreg) ชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือกแม้กระทั้งคนที่อยากใช้ชีวิตคู่ด้วยตัวเอง ต้องถูกอากงอาม่าจับหมั้นกับหลานชายเพื่อนสนิทสมัยเรียน! แถมยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาด้วยซ้ำ! และสิ่งสำคัญที่สุด… ลูกบ้านอื่นมีแต่เขาอยากจะได้ลูกสะใภ้ แล้วเหตุไฉนบ้านไอ้คับฟ้าคนนี้ถึงอยากได้ลูกเขยแทนละว่ะ! เนื้อหา และ ภาพ บางตอนไม่เหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่หากรี้ดท่านใดต้องการเสพความบันเทิงนิยายเรื่องนี้ต่อควรใช้วิจารณญาณอย่างสูง!!!! เตือนแล้วนะ! อิ้อิ้ เรื่องนี้ฟรีไม่ติดเหรียญ ได้เวลาคืนกำไรให้กับลีดทุกคน ที่คอยซัพพอร์ตนักเขียนแมงหมี่หน้าใหม่คนนี้โดยตลอดมา อิ้อิ้ ลีดท่านใดสายชิว สายไม่รีบเชิญทางนี้เลยค่ะ เพราะทุกเรื่องไรต์ด้นสดทุกเรื่องเด้อโปรดเข้าใจนักเขียนสายชิวคนนี้ด้วยนะคะ งานแต่งเผื่อไม่มี มีแต่งานดองจ้า 5555555 ไม่เคยแต่งแนวนี้มาก่อน ฝากเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยนะคะ ><

Comment

Options

not work with dark mode
Reset