ซ้อจำเป็น – ตอนที่ 8

บทที่ 8  

 

 

   

 

 

             ขุนศึก P  

 

 

   

 

 

           “เห็นกูเป็นคนแบบนี้ความหวงเมียกูมีไม่น้อยนะคับฟ้า…หึ”  

 

 

   

 

 

            ผมหลุบต่ำมองร่างที่เปลือยเปล่าท่อนล่างของคับฟ้าอย่างพึงพอใจ พึงพอใจกับกิจกรรมอันร้อนแรงที่ผมไม่เคยได้ลิ้มลองจากผู้หญิงคนไหนมาก่อน ตอนแรกตั้งใจอยากจะแกล้งให้คนตรงหน้าตื่นกลัวเล่น แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้การกระทำเลยเถิดและอดที่จะกัดกินร่างของคุณภรรยาหน้าหวานคนนี้ไม่ได้   

 

 

   

 

 

           และพอกินเข้าไปผมกลับติดใจซะงั้น…  

 

 

   

 

 

             “หุบปาก!…หุบปากหมา ๆ ของมึงซะ!…ก่อนที่ความอดทนกูจะหมดลง!”  

 

 

   

 

 

             นัยน์ตาฉายแววจริงจังแต่ในขณะเดียวกันก็ดูจะตื่นกลัวราวกับลูกแมวที่กำลังอยู่ในกรงเสือ กรงที่ผมเป็นผู้ล่าส่วนหนุ่มน้อยหน้าสวยเป็นเหลื่อของผม ยิ่งร่างบางแสดงออกว่ารังเกียจผมเท่าไหร่ความอยากเอาชนะที่มันสุมอยู่ในใจยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นหลายร้อยเท่า! หากถามว่าการกระทำที่ทำไปเมื่อครู่ผมรู้สึกอย่างไร ผมบอกได้คำเดียวว่า  

 

 

   

 

 

              เฉย ๆ….  

 

 

   

 

 

             แต่ยอมรับว่าเริ่มติดใจในตัวของคุณศรีภรรยายคนนี้ไม่น้อย ทรวดทรงหน้าอกอาจจะไม่เหมือนกับผู้หญิงในสต็อกที่ผมควงเล่น แต่ท่าขย่มที่ไม่เป็นงานนั้นผมกลับมองว่าเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผมลืมไม่ลงสักวินาทีเดียว และถึงครั้งนี้คนตรงหน้าจะไม่ยินดียินร้ายในการร่วมหลับนอนด้วย แต่ยังไงเสียเราสองคนผ่านขั้นตอนการหมั้นจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ถ้าผมจะหลับนอนด้วยมันจะไปผิดแปลกอะไรกัน อีกอย่างกิจกรรมที่ผ่านมาร่างบางตรงหน้าก็ตอบสนองผมดีไม่น้อย หากจะก่นด่าว่าผมขืนใจก็คงจะไม่ได้เสียเต็มปากเพราะคับฟ้าก็ตอบสนองผมไม่น้อย  

 

 

   

 

 

             “มีแรงเถียงกูไวดีนี่ แต่กูชอบตอนมึงครางมากกว่า ฟังแล้วรื่นหูดี”  

 

 

   

 

 

             ผมมองดูภรรยาของตัวเองก้มคว้ากางเกงขึ้นมาใส่ด้วยใบหน้าที่โกรธจนหน้าแดง ส่วนผมก็จัดองค์ประกอบชุดสูทเนื้อผ้าดีให้เข้าที่เพราะหลังจากเสร็จกิจตรงนี้ตัวผมต้องเข้าประชุมกับบอร์ดบริหารประจำเดือน เวลาเข้าประชุมไม่มีครั้งไหนที่ผมจะไม่เครียดสักครั้ง อามรมณ์มักจะสวิงตลอดเวลา แต่คราวนี้มีหนุ่มน้อยมาประเคนตัวให้ถึงรัง ทำให้บรรยากาศรอบตัวผมเบ่งบานอย่างที่ไม่เคยเป็น  

 

 

   

 

 

             “ขอบคุณที่ชมนะครับคุณสามี แต่โทษทีเมื่อกี้กูครางให้สัมภะเวสีฟัง!”  

 

 

   

 

 

             “…!”  

 

 

   

 

 

             ความจองหองในตัวของภรรยาของผมคนนี้มันช่างไม่ลดละเอาเสียเลย รอยยิ้มพึงพอใจกับความพยศของคับฟ้ามันยิ่งทำให้ผมมีความสุข ความสุขเมื่อเห็นคนที่รังเกียจเดียดฉันท์ต้องมาอยู่ใต้ร่างผมเหมือนเมื่อครู่ และยิ่งภรรยาหน้าสวยคนนีรังเกียจผมเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากจะเข้าไปใกล้ให้มากขึ้นเท่านั้น   

 

 

   

 

 

             “ปากจัดจ้านจังเลยนะคุณภรรยา น่าหาอะไรอุดปากไว้ซะจริง คว-กูเป็นไง?”  

 

 

   

 

 

             ตัวผมย่างกายเข้าไปประชิดตัว จนร่างบางถึงกับต้องถอยเซไปติดกับขอบโต๊ะทำงานผมเสียงเอง แต่ความหงุดหงิดกลับมาปะทุในตัวผมอย่างรวดเร็วเมื่อใบหน้าเรียวสวยหันหนีผมไปอีกทาง และสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคงจะไม่พ้นสิ่งที่คับฟ้ากำลังอยู่   

 

 

   

 

 

              กล้าดียังไงเบือนหน้าหนีใส่ผม!…  

 

 

   

 

 

              “หึ…มึงนี่ก็เหมือนพารามีเซียมดีนะ เพราะมันเป็นสัตว์เซลล์เดียวที่ไม่มีสมอง…”  

 

 

   

 

 

             “…”  

 

 

   

 

 

              “แถมหน้าตาคล้ายส้นตีนอีกต่างหาก!”  

 

 

   

 

 

             “…!”  

 

 

   

 

 

             และก็เป็นอีกครั้งที่คนอย่างคับฟ้าเป็นบุคคลซึ่งนำความบันดาลโทสะเข้ามาในตัวผมอย่างง่ายดาย แรงบีบที่ต้นแขนด้วยฝีมือจากผมกำลังบีบให้คนตรงหน้ารู้สึกเจ็บ หวาดกลัวต่อผมบ้าง แต่สิ่งที่ได้มันไม่ใช่แบบที่ผมตั้งใจไว้ เพราะสิ่งที่ผมได้กลับมาคือรอยยิ้มเหยียด เยาะเย้ยแทน   

 

 

   

 

 

             ผมไม่เคยเจอใครที่กล้ามองผมด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน มันทั้งเย่อหยิ่ง จองหอง แถมปากดีอีกต่างหาก ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมทุกคนล้วนพร้อมพลีกายถวายตัวให้ผมถึงเตียง เอาอกเอาใจราวกับผมเป็นราชา และสิ่งสำคัญคือไม่มีใครกล้าทำให้ผมอามรณ์เสียแบบที่คับฟ้ามันทำ จึงเป็นสาเหตุที่ผมอยากสยบคนอย่างคับฟ้าให้อยู่ใต้การควบคุมของผม  

 

 

   

 

 

              มันท้าทายดี…  

 

 

   

 

 

             “ว้าว ต้องอย่างนี้สิค่อยศีลเสมอกันหน่อย มันถึงอยู่ด้วยกันได้ กูชอบ…”  

 

 

   

 

 

             “ศีลเสมอกัน?…เข้าใจผิดแล้วมั้งขุนศึก…ศีลกูเสมอแค่กับคนไม่ใช่กับสัตว์ลิ้นสองแฉกแบบมึง!”  

 

 

   

 

 

             “คับฟ้า!”  

 

 

   

 

 

             แรงบีบต้นแขนเล็กเพิ่มขึ้นเมื่อสิ่งที่ร่างบางตรงหน้าผมพูดทำให้ความโกรธที่สุมอยู่ในใจผมมากขึ้นและผมก็เป็นคนไม่ชอบให้ใครมายืนด่าผมเสียด้วยสิ มันเกินไปหรือเปล่า ฝีปากที่พ่นออกมาใส่ผมแต่ละคำเกินความคาดหมายเสียจริง คนอะไรทักษะการด่าเจ็บแสบที่สุดเท่าที่ผมพบเจอมา!   

 

 

   

 

 

             ภรรยาหน้าสวยตรงหน้าดิ้นสุดแรงจนผมต้องใช้ท่องแขนตัวเองโอบรอบเอวบางนั้นดึงเข้าหาตัว ทำให้หน้าระหว่างผมกับคับฟ้าห่างกันไม่ถึงคีบ ดวงตาเชี่ยวนั้นตวัดขึ้นมองผมอย่างคับแค้นใจ แต่มีหรือผมจะสนใจเพราะสิ่งที่ผมสนตอนนี้คือริมฝีปากเป็นกระจับอมชมพูต่างหาก สีปากแดงระเรื่อราวกับลูกเชอรี่ทำให้ผมอยากลองชิมมันอีกสักครั้ง  

 

 

   

 

 

             “พี่ขุนศึก! ทำไมปล่อยให้มีนายืนรอตั้งหลายนาที!”  

 

 

   

 

 

             แต่ยังไม่ทันจะก้มลงไปเชยชิมปากกระจับของคุณภรรยาตัวเอง เสียงแหลมราวกับปลอดแตกดังขึ้นพร้อมกับเสียงประตูที่ถูกกระแทกออกตามแรงอารมณ์โกรธของต้นเสียงนั้น ร่างผมถูกมือเล็กผลักออกสุดแขนจนทำให้ผมเซไปด้านหลังเล็กน้อย ความขุ่นมัวในใจเริ่มปะทุขึ้นเมื่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญกล้าเข้ามาในห้องโดยปราศจากคำอนุญาตจากผม!  

 

 

   

 

 

             “แล้วนี่ใครคะ ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในนี้?”  

 

 

   

 

 

             มีนานักแสดงวัยรุ่นสาวที่โด่งดังมาจากซีรี่ย์เรื่องหนึ่งและกำลังดังเป็นพลุแตกอยู่ในขณะนี้ และแน่นอนของสด ของใหม่ มีหรือคนอย่างขุนศึกจะพลาด แค่ผมหยอดคำหวานนิดหน่อยกับโปรยเศษเงินไม่มีบาทผู้หญิงทุกคนก็พร้อมเดินพลีกายให้ผมราวกับสุนัขที่เชื่องตัวนึง แค่มีเงินผมจะซื้อผู้หญิงกี่คนก็ได้ และกฎของผมผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาผมห้ามทำเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเด็ดขาด สถานะคนรักอย่าได้พูดถึงเชียว   

 

 

   

 

 

              เพราะคำนั้นผมให้ได้แค่ตอนอยู่บนเตียงเท่านั้น…  

 

 

   

 

 

            “จะมาทำไมไม่โทรบอกพี่ก่อน บุกเข้ามาอย่างนี้พี่ไม่ชอบรู้ไหม”  

 

 

   

 

 

             ผมส่งรอยยิ้มบางให้กับหญิงสาวตรงหน้าและเลือกที่จะเบี่ยงประเด็นเมื่อกำลังโยงเข้าไปถึงหนุ่มน้อยของผมที่ยืนมองดูด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา   

 

 

   

 

 

             “มีนาคิดถึงนี่คะ พี่ขุนศึกไม่แวะไปหามีนาหลายวันแล้วนะ มีนาเหงารู้หรือเปล่า”  

 

 

   

 

 

             แขนด้านขวาผมถูกคล้องด้วยเจ้าของประโยคแถมจงใจยื่นหน้าอกตูมเบียดเสียดมาบริเวณต้นแขนผมอีกต่างหาก ถ้าหากเป็นเวลาอื่นผมคงไม่ปล่อยให้เดินมายั่วยวนแบบนี้เป็นแน่ แต่ตอนนี้เมื่อภรรยาหน้าหวานยืนมองอยู่ ผมก็ให้เกียรติที่จะข่มอารมณ์นั้นไว้ในใจ   

 

 

   

 

 

              ใครจะดีเท่าผมอีกคงไม่มีแล้ว ว่าไหม?…  

 

 

   

 

 

             “วันนี้พี่ไม่ว่าง มีนากลับไปก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่โทรหา”  

 

 

   

 

 

             ผมหันข้างไปพูดกับสาวสวยด้านข้างอย่างอ่อนโยน ถึงแม้ในใจจะรำคาญแทบตาย แต่เมื่อคนนี้ผมยังกินไม่หนำใจเท่าไหร่นัก จึงต้องใช้กลอุบายหลอกล่อแก้สถานการณ์ไปก่อน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่เพียงแต่หญิงสาวไม่พอใจแล้วยังเริ่มหันไปหาเรื่องภรรยาของผมอีก  

 

 

   

 

 

             “ทำไมคะ หรือว่าคนนี้เป็นเด็กที่พี่ขุนศึกอ๊อฟมา!”  

 

 

   

 

 

             “…”  

 

 

   

 

 

             “ซื้อผู้ชายแก้ขัดทำไมคะ พี่ขุนศึกมีมีนาอยู่ทั้งคนนะ”  

 

 

   

 

 

             คิ้วผมขมวดทันที่เมื่อได้ยินคำว่าซื้อจากปากเรียวสวย ซื้องั้นหรอ คนอย่างผมไม่จำเป็นต้องลงแรงซื้อกินด้วยซ้ำ แค่เอ่ยปากจะพาไปทานข้าว ซื้อของก็เรียงคิวต่อกันเป็นหางว่าวเสียด้วยซ้ำฉะนั้นคำว่าซื้อกินไม่มีในพจนาณุกรมขุนศึกอย่างผมแน่นอนและประโยคเมื่อครู่ทำให้ผมที่เป็นคนฟังไม่พอใจอยู่มากโข  

 

 

   

 

 

             “เด็กอ๊อฟงั้นหรอ?”  

 

 

   

 

 

             แต่เหตุการณ์กลับดุเดือดขึ้นเมื่อร่างบางที่ยืนฟังด้วยอาการสงบปากสงบคำได้ย่างเท้าเข้ามาหยุดตรงหน้า และสิ่งที่ทำให้ผมอยู่ในสภาวะตกตะลึงนั่นก็คือสองแขนเรียวยาวเลื่อนขึ้นมาโอบคล้องคอผมไว้อย่างอ้อยอิ่ง สายตาเชี่ยวคมคู่นั้นเลื่อนหน้าขึ้นมาทาบริมฝีปากผมเบา ๆ ก่อนจะผลักออกและเบือนหน้าไปมองหญิงสาวด้านข้างที่นิ่งค้างกับสิ่งที่เห็น   

 

 

   

 

 

             “ถอยไปจากตัวพี่ขุนศึกของฉัน!…เป็นแค่เด็กขายริอาจแสดงความเป็นเจ้าของออกนอกหน้าเชียวหรือไง!”  

 

 

   

 

 

             หญิงสาวที่ชื่อมีนาไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ กลับยืนเหน็บแนมใส่ภรรยาผมด้วยสีหน้ายิ่งยโสโอหัง ส่วนคับฟ้าก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะสองแขนนี้ยังคงโอบรอบคอผมไม่ห่างแถมยังจงใจสบหน้าลงบนแผงอกของผมราวกับต้องการปั่นประสาทใครบางคนให้สติแตก ซึ่งส่วนตัวผมเลือกที่จะยืนมองโดยไม่ห้ามปรามเพราะอยากจะรู้ฤทธิ์เดชของคู่หมั้นตัวเองเสียหน่อยว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง   

 

 

   

 

 

             “ใครบอกว่าผมเป็นเด็กขาย…”  

 

 

   

 

 

             “แล้วแกเป็นใครไม่ทราบ!”  

 

 

   

 

 

             “ปรกติคนเรามีแหวนเพชรหลายกะรัตสวมใส่นิ้วนางข้างซ้าย นี่เข้าเรียกว่าอะไรกันนะ คุณรู้ไหมครับว่ามันหมายถึงอะไร”  

 

 

   

 

 

             มือซ้ายเรียวยาวราวกับไม่ใช่มือผู้ชายได้ยกขึ้นชูใส่หน้าฝั่งตรงข้ามทำให้เพชรเม็ดงามที่ถูกประดับไว้ที่นิ้วข้างซ้ายระยิบระยับเด่นหลาเงาวับสวยงามต่อหน้าดาราสาวที่ผมกำลังควงอยู่ ซึ่งสิ่งที่คับฟ้าหยิบยกประเด่นงานหมั้นระหว่างเราขึ้นมาก็ทำเอาผมคาดไม่ถึง คาดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะยอมเดิมพันเรื่องหมั้นหมายเพื่อตีศัตรูที่รุกรานตัวเองอย่างนี้ ถึงแม้ว่าความลับเรื่องงานหมั้นจะเล็ดลอดออกไปคับฟ้ามันก็ยอมอย่างนั้นหรือ   

 

 

   

 

 

              คับฟ้าฉลาดกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก…  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

   

 

 

             คับฟ้า P  

 

 

   

 

 

             “ก…แก…หมายความว่ายังไง!…อยากได้พี่ขุนศึกขนาดลงทุนหลอกตัวเองกระทั่งเรื่องแหวนเลยหรอ…ผู้ชายเริ่มเบื่อแล้วสินะถึงกับจนตรอกกุเรื่องขึ้นมา!”  

 

 

   

 

 

             ศีรษะมนของผมที่กำลังอิงแอบแนบชิดกับแผงอกกว้างของสามีชถึงแม้จะไม่เต็มใจที่จะทำแต่ด้วยความโมโหมันอยู่เหนือทุกสิ่ง ผมเคยบอกไปแล้วว่าหากผู้หญิงที่คนร่างสูงกล้าเข้ามารุกราน ผมจะไม่ยืนเฉยให้เป็นฝ่ายถูกกระทำแน่นอน เพราะสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือคนจำพวกปากดีแบบนี้ไง!  

 

 

   

 

 

             “แล้วแต่จะประมวลผลเอาเองแล้วกัน แต่จะว่าไป ถ้าให้ผมเดาคุณคงลืมสมองไว้ในท้องแม่สินะ ดูจากการพูดการจาแล้วเหมือนคนไม่มีสมอง…”  

 

 

   

 

 

             “…!”  

 

 

   

 

 

             ตัวผมถูกผลักให้ออกจากตัวขุนศึกด้วยแรงของคนหญิงสาวตรงหน้า และแน่นอนตัวผมต้องเซไปด้านหลังตามแรงผลักของเจ้าตัวเพราะแรงที่ผมมีเต็มร้อยมันโดนขุนศึกสูบไปจนเกือบหมดที่ผมฝืนยืนให้ตรงก็เกินความสามารถของตัวเองไปมากแล้ว เมื่อร่างผมเซท่อนแขนแกร่งของขุนศึกก็รีบถลาเข้ามาประคองตัวผมไว้ทันที แต่ผมกลับชักตัวเองออกจากการช่วยเหลือเพราะหากให้ร่างสูงช่วยผมขอล้มลงพื้นเสียดีกว่าที่จะให้เนื้อตัวเองไปสัมผัสกับคนพันนั้น  

 

 

   

 

 

             “อย่าแตะต้องตัวพี่ขุนศึกของฉัน! เดี๋ยวเสนียดผิดเพศมันจะโดนตัว! เชื้อโรคพวกนี้ยิ่งไม่มียารักษาด้วยสิ!”  

 

 

   

 

 

             “พอแล้วมีนา! พูดเกินไปหรือเปล่า!”  

 

 

   

 

 

             สองมือกำมัดแน่นเข้ามากันเมื่อได้ยินสิ่งที่หลุดออกมาจากดาราชื่อดังในวงการ ในจอแอ๊บใสแต่นอกจอระบบความคิดคือพังมาก และผมก็ไม่ได้รู้สึกดีใจสักนิดที่ขุนศึกมันออกโรงพูดแบบนั้นก่อนผม เพราะตัวมันระบบความคิดก็ป่วยไม่แพ้กับผู้หญิงที่มันควง คนความคิดแบบไหนมันมักจะดึงดูดเข้ามากันแบบนั้น   

 

 

   

 

 

             เมื่อผู้หญิงตรงหน้าถูกขึนศึกตะโกนใส่ก็ถึงหน้าเสียเล็กน้อยแต่มันแค่แวบเดียวเท่านั้น แล้วกลับตวัดหางตามามองผมอย่าโกรธแค้น ผมเห็นดังนั้นต้องกลัวด้วยหรอ ไม่เลยสักนิด ผมกลับกอดอกมองหน้าเบะปากส่งให้เล็กน้อยในระยะห่างพอสมควร คนอย่างผมจะให้ปพัวพันกับคนระดับล่างก็จะไม่งามเพราะผมเป็นระดับสูงพอควร ไม่งั้นคงไม่ได้หมั้นหมายกับตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศอย่างตระกลูศิริเจริญสกุลหรอก ส่วนพวกเห็บไรพวกนี่ผมขอไม่ให้ค่า!  

 

 

 

 

 

             “ตามนั้นก็ได้ครับ งั้นผมขอตัวก่อนเพราะวันนี้รู้สึกปวดคอ ปวดหลัง คงจะลดตัวไปทำอะไรต่ำ ๆ แบบคุณไม่ได้ ไปก่อนนะครับ สวัสดี…”  

 

 

 

 

 

             “ก…แก!…”  

 

 

 

 

 

             ผมยิ้มตอบและเลือกเดินเบี่ยงตัวเองออกจากตรงหน้าที่กำลังจะทำใหผมหัวตั้งแต่เช้าของวัน เช้าที่ผมเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดีเพื่อมาสัมภาษณ์งานที่แรกที่ผมถูกเลือก แต่กลับเป็นผมเสียเองที่คิดผิดมหันต์ถ้าหากรู้ว่าบริษัทนี้เป็นของขุนศึกผมจะไม่แม้แต่เดินเข้ามาเหยียบ และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากก่นด่าตัวเองสักร้อยล้านครั้งเมื่อร่างกายนี้มันดันตอบสนองความต้องการกับสามีจอมปลอมตัวเองอย่างไม่ขัดขืน ผมผิดเองที่ห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้  

 

 

 

 

 

             “คุณคับฟ้าจะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ ท่านประธานบอกผมว่าวันนี้ให้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้คุณคับฟ้าครับ”  

 

 

 

 

 

             “…”  

 

 

 

 

 

             เมื่อตัวผมเดินยังมันทันพ้นหน้าประตูบานใหญ่ ร่างสูงโปร่งของลูกน้องขุนศึกก็เดินเข้ามาบังหน้าผมไว้ไม่ให้เดินหนีไปไหนได้ ความรู้สึกเจ็บช่องทางรักเริ่มแสดงอาการขึ้นในระหว่างจะก้าวเดินต่อ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีทำให้ร่างสูงที่ใส่สูทสีดำพุ่งเข้าพยุงตัวผมไม่ให้ล้มลงกับพื้น สองคิ้วผมขมวดเข้าหากันอย่างตกใจเพราะความโกรธเมื่อครู่ทำให้ผมลืมความเจ็บไปได้เชียวอย่างนั้นหรือ   

 

 

 

 

 

             “ไหวไหมครับคุณคับฟ้า รอตรงนี้สักครู่นะครับผมจะรีบเข้าไปบอกท่านประธาน”  

 

 

 

 

 

             “ไม่ต้อง! ไม่ต้องบอก! ผมไม่เป็นอะไร…”  

 

 

 

 

 

             ผมเบี่ยงตัวเองออกจากการพยุงของศิลป์และกัดฟันฝืนย่างเท้าเดินตรงไปยังลิฟท์ตัวเดิมที่ผมใช้ขึ้นมา ในระหว่าทางเดินร่างผมนั้นก็ผ่านโต๊ะเลขาสาวสวยโดยหันไปยิ้มให้เล็กน้อยอย่างเป็นมารยาท ซึ่งเธอก็รีบก้มตัวลงให้ผมอย่างนอบน้อมราวกับรู้สถานะของผมว่าเป็นใครกับเจ้านายตัวเอง   

 

 

 

 

 

             เมื่อพาร่างกายอันบอบช้ำมาจุดหมายได้สำเร็จตัวผมยืนรอลิฟท์ได้ไม่นานประบานเล็กก็ถูกเปิดออกพร้อมกับตัวผมที่เคลื่อนเข้าไปยืนอยู่ด้านใน โดยมีศิลป์ยืนกุมมือโค้งตัวให้ผมอยู่อย่างนั้นจนผมต้องโค้งตอบกลับไปด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน และเมื่อประตูลิฟท์ปิดลงผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยิ่งผมถูกปฏิบัติเหนืออภิสิทธิ์แบบนั้นมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจ ไม่ชอบให้ใครมาทำเหมือนผมอยู่เหนือกว่าทุกคน ไม่ชอบและไม่ชินเอาเสียเลย   

 

 

 

 

 

             ในขณะที่ยืนรอให้ลิฟท์ลงไปชั้นหนึ่งตัวผมที่ถูกความเจ็บเข้ามารุมเร้าจนต้องเดินถอยหลังไปชิดราวด้านข้าง เพื่อเป็นที่พักพิงให้กับตัวเอง แต่ในหัวผมดันนึกถึงเหตุการณ์ในห้องทำงานใบหน้าผมกลับร้อนผ่าวขึ้นเสียดื้อ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นความโกรธที่ถูกกระทำจากคนที่ผมเกลียดมันก็มีไม่น้อยเช่นกัน   

 

 

 

 

 

             เมื่อตกอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่จนประตูลิฟท์ถูกเปิดออก ผมเงยหน้าขึ้นดูเลขก็ถึงกับรีบลากสังขารตัวเองออกมาด้วยสองเท้าคู่นี้เพื่อเดินตามทางตรงไปยังประตูทางออก แต่ในระหว่างที่เดินนั้นผมกลับถูกเรียกจากด้านหลังเสียงของใครบางคนกำลังเรียกเพื่อหยุดผมไว้จนตัวผมถึงกับหันไปมอง  

 

 

 

 

 

             “เดี๋ยวครับ!”  

 

 

 

 

 

             และคนที่เรียกผมไว้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายหนุ่มที่ผมเกือบปิดประตูทับมือไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน รอยยิ้มสุดแสนจะอารมณ์ส่งมาให้ราวกับดีใจมากที่เห็นผมเป็นครั้งที่สอง   

 

 

 

 

 

             “อ…เอ่อ…มีอะไรหรือเปล่า”  

 

 

 

 

 

             ผมถามออกไปอย่างสงสัย เจ้าของเสียงที่ฉุดรั้งผมไว้ยื่นแก้วกาแฟร้อนมาให้ผมตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสและอบอุ่นใจในเวลาเดียวกัน   

 

 

 

 

 

             “กาแฟครับ ผมซื้อมาให้คุณเผื่อจะโชคดีเจอคุณอีกครั้ง และมันก็เป็นอย่างที่ผมคาดไว้”  

 

 

 

 

 

             “อ…เอ่อ…ขอบคุณครับ”  

 

 

 

 

 

             ผมโค้งอย่างขอบคุณเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นมือไปรับแก้วสีขาวไว้ด้วยความเกรงใจและไม่ให้เสียมารยาท และเหมมือนคนตรงหน้าจะพอใจมากเมื่อผมยื่นมือรับเพราะริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม   

 

 

 

 

 

              อะไรกันยิ้มบ่อยขนาดนั้นไม่เมื่อยหรือไง…  

 

 

 

 

 

             “ขอบคุณสำหรับกาแฟแก้วนี้นะครับ ถ้างั้นผมต้องขอตัวก่อน”  

 

 

 

 

 

             ความเจ็บปวดจากช่องทางด้านหลังทำให้ผมต้องกัดฟันเพื่อยืนให้เป็นปรกติ ก่อนที่จะเปร่งประโยคด้วยรอยยิ้มไปให้กับผู้ชายตรงหน้า   

 

 

 

 

 

             “โทษทีครับที่รบกวนเวลา เชิญเลยครับ ผมหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก”  

 

 

 

 

 

             ผมยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่จะเดินหันหลังออกจากตึกหรูหราสะดุดตา โดยมีไออุ่นร้อน ๆ จากตัวแก้วกาแฟเป็นสิ่งบรรเทาความหนาวเหน็บจากอุณหภูมิด้านในตัวอาคาร หากแต่ไอร้อนจากแก้วกาแฟยังไม่ร้อนรุ่มสู้ในใจผมไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งนึกถึงใบหน้าของขุนศึกมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากจะหาวิธีเอาคืนให้สาสมกับสิ่งที่มันทำไว้กับผมมากเท่านั้น   

ซ้อจำเป็น

ซ้อจำเป็น

*ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร* ซ้อจำเป็น (Mpreg) ชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือกแม้กระทั้งคนที่อยากใช้ชีวิตคู่ด้วยตัวเอง ต้องถูกอากงอาม่าจับหมั้นกับหลานชายเพื่อนสนิทสมัยเรียน! แถมยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาด้วยซ้ำ! และสิ่งสำคัญที่สุด… ลูกบ้านอื่นมีแต่เขาอยากจะได้ลูกสะใภ้ แล้วเหตุไฉนบ้านไอ้คับฟ้าคนนี้ถึงอยากได้ลูกเขยแทนละว่ะ! เนื้อหา และ ภาพ บางตอนไม่เหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่หากรี้ดท่านใดต้องการเสพความบันเทิงนิยายเรื่องนี้ต่อควรใช้วิจารณญาณอย่างสูง!!!! เตือนแล้วนะ! อิ้อิ้ เรื่องนี้ฟรีไม่ติดเหรียญ ได้เวลาคืนกำไรให้กับลีดทุกคน ที่คอยซัพพอร์ตนักเขียนแมงหมี่หน้าใหม่คนนี้โดยตลอดมา อิ้อิ้ ลีดท่านใดสายชิว สายไม่รีบเชิญทางนี้เลยค่ะ เพราะทุกเรื่องไรต์ด้นสดทุกเรื่องเด้อโปรดเข้าใจนักเขียนสายชิวคนนี้ด้วยนะคะ งานแต่งเผื่อไม่มี มีแต่งานดองจ้า 5555555 ไม่เคยแต่งแนวนี้มาก่อน ฝากเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยนะคะ ><

Comment

Options

not work with dark mode
Reset