ดาบพิโรธสวรรค์ – ตอนที่ 3

ตอนที่ 3 จี้ดาบ

 

อสรพิษในอารมณ์โทสะนั้นได้กระแทกทุกคนกระจัดกระจาย หลินเซวียนแทบไม่มีพลังวิญญาณหลงเหลือในจี้ดาบอีก เขาใช้มันบ่อยครั้งเกินไป

 

โชคดีที่เขาได้กินหลินจือเพลิงก่อนหน้านี้ มันจึงช่วยรักษาบาดแผลได้ระดับหนึ่ง

 

จากการสะบัดหางของอสรพิษ ร่างของเขาได้พัดตกลงไปในหุบเหว กระดูกทั้งตัวแทบจะหักทุกส่วน หน้าอกของเขาร้อนรุ่มราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ ในเวลาอลหม่าน หลินเซวียนไม่ได้สังเกตเห็นเลือดที่เปื้อนอยู่บนจี้ดาบตรงคอว่าได้หายไปอย่างแปลกประหลาด

 

ตู้ม!

 

การโจมตีของหางอสรพิษอันเกรี้ยวกราดได้กระแทกตามลงมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาหมดสติลงในทันที

 

ขณะเดียวกัน จี้รูปดาบของเขาได้กลืนหายเข้าไปในจุดตันเถียนอย่างลึกลับและสั่นไหวภายในนั้น พลังวิญญาณรอบตัวเขาถูกดูดซับเข้าร่างกายทันที ส่งผลให้เกิดหลุมดำขนาดเล็กก่อตัวขึ้นในช่องท้องของเขา มันทำการดูดพลังวิญญาณรอบตัวเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

 

พลังวิญญาณบางส่วนได้ไหลแทรกซึมผ่านร่างเข้าสู่จุดชีพจรในกายเขา แต่หลินเซวียนที่ไม่สามารถเปิดจุดชีพจรได้นั้น ย่อมได้รับความเจ็บปวดเมื่อมันไหลผ่านมากกว่าคนอื่นถึงสิบเท่า

 

ด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกดึงเส้นเอ็น เป็นผลให้หลินเซวียนสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ

 

ผ่านไปชั่วครู่ เขาได้เจอตัวการและมันคือจี้รูปดาบของตนเอง เวลานี้มันกำลังดูดกลืนพลังวิญญาณรอบตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง

 

พลังงานส่วนใหญ่ถูกดูดกลืนไปโดยจี้รูปดาบ ส่วนเศษเสี้ยวของพลังได้ไหลเวียนไปตามจุดชีพจรของเขา

 

“บ้าเอ้ย มันพุ่งพรวดไปถึงขั้นพลังกายระดับเก้าแล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป มันคงทะลุจุดชีพจรวิญญาณเป็นแน่!”

 

ในร่างของมนุษย์นั้นมีจุดชีพจรวิญญาณอยู่เก้าแห่งที่ไหลเวียนไปมา มีเพียงต้องเปิดจุดชีพจรเท่านั้นถึงจะเริ่มใช้พลังวิญญาณในกายได้

 

เนื่องด้วยพลังวิญญาณที่เอ่อล้นในกาย มันทำให้ขั้นพลังของเขาทะยานขึ้นสู่ระดับเก้าอย่างน่าตกใจ ตอนนี้เขาจึงทนกัดฟันแน่นเพื่อเตรียมตัวทะลวงจุดชีพจรอีกครั้ง

 

หลินเซวียนตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่ มือของเขาจิกแน่นขณะรวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมดในการพุ่งทะลวงจุดชีพจร

 

ตู้ม!

 

มันราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นปิดกั้นเส้นพลังวิญญาณของเขาไว้ ทันทีที่เขาคิดจะทะลวงจุดชีพจร พลังงานวิญญาณที่รวบรวมมาได้แตกสลายออกไปทันที มันทำให้ขั้นพลังของเขาลดวูบไปยังระดับสามอีกครั้ง

 

“อีกแล้ว!” หลินเซวียนอุทานออกมาอย่างไม่เต็มใจ เขาพยายามจะทะลวงจุดชีพจรถึงสองครั้ง แต่ก็ล้มเหลวถึงสองครั้ง มันเหมือนจะมีพลังลึกลับบางอย่างปิดผนึกจุดชีพจรของเขาอยู่

 

“เอาอีก!” หลินเซวียนทำใจเชื่อในโชคร้ายของตนไม่ได้ เขารวมพลังวิญญาณทั้งหมดอีกครั้ง

 

ตู้ม!

 

พลังทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นในร่างของหลินเซวียน ทันใดนั้นเขาตกใจและอาเจียนออกมาเป็นเลือดท่วมนอง

 

อันที่จริงมันคือพลังการรักษในร่างกายของหลินจือเพลิงเมื่อครู่ โชคดีที่เขากลืนมันไว้ก่อนล่วงหน้า มิเช่นนั้นคงไปนอนในยมโลกแล้ว

 

ยังไงก็ตาม พลังวิญญาณยังคงโคจรต่อในร่างของหลินเซวียนอย่างไม่หยุดยั้ง มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส

 

“บัดซบ! เจ้ายังจะดูดพลังต่ออีกหรือ พอได้แล้ว!” เวลานี้ หลินเซวียนสามารถเห็นทุกอย่างในร่างกายได้อย่างชัดเจน จี้ดาบในตัวเขายังคงดูดซับพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังไม่สนใจหลินเซวียนแม้แต่น้อย

 

ด้วยพลังวิญญาณอันมหาศาลตอนนี้ มันเพียงพอที่จะให้เขาทะลวงจุดชีพจร หลินเซวียนจึงตัดสินใจที่จะลองดูอีกครั้ง แต่หากครั้งนี้ล้มเหลว ชีวิตของเขาจะจบลงที่ขั้นกลั่นพลังกายไปตลอดชีวิต

 

“ยังไงก็ต้องลองดู ต่อให้มีความหวังอยู่ริบหรี่ข้าก็จะพยายาม!” หลินเซวียนไม่ยอมแพ้แม้จะเป็นครั้งสุดท้าย

 

เวลานี้ พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลได้หลอมรวมกับเพลิงโทสะในกายเขา มันพุ่งตรงไปยังจุดชีพจรที่ปิดสนิท

 

ตู้ม! เสียงระเบิดดังก้องราวกับฟ้าผ่า ทันใดนั้น ได้เกิดคลื่นพลังสีดำภายในร่างของหลินเซวียน คลื่นพลังเหล่านี้หมุนวนรอบจุดชีพจรวิญญาณของเขา มันเริ่มก่อตัวเป็นรูปดอกบัวสีดำ

 

มันดูลึกลับและแปลกประหลาดอย่างมาก ดอกบัวสีดำลอยเคว้งอยู่ตรงหน้าจุดชพจร อีกทั้งยังแผ่พลังงานสีดำออกมาปิดกั้นพลังวิญญาณทั้งหมด

 

“นี่มันอะไรอีก?” หลิวเซวียนมองไปยังดอกบัวสีดำพร้อมเอ่ยกับตัวเอง “มีสิ่งนี้ในตัวเราได้ยังไง?”

 

เขาคาดเดาอย่างคลุมเครือว่า การที่ไม่สามารถเปิดจุดชีพจรวิญญาณได้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับดอกบัวสีดำลึกลับนี้ “เราต้องเป็นเบี้ยล่างให้พวกศิษย์เหล่านั้นไปตลอดชีวิตงั้นหรือ? มันคงไม่มีหนทางอื่นแล้ว…”

 

หลินเซวียนรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เขาเกลียดชะตาชีวิตตนและดอกบัวสีดำนั่น เขาเกลียดที่ต้องให้ชะตาชีวิตไปอยู่กำมือของผู้อื่น

 

หึม!

 

จี้ดาบเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหลินเซวียนจนมันเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง ตัวดาบได้เปล่งแสงและพุ่งออกไปราวกับดาวตก มันเข้าตัดดอกบัวสีดำเป็นสองซีกทันที

 

นี่มัน….

 

หลินเซวียนไม่คาดคิดว่าจี้ดาบจะทรงพลังถึงขนาดตัดดอกบัวสีดำลึกลับนั้นได้ เมื่อเห็นฉากนั้น เขาพยายามรวบรวมพลังวิญญาณรอบตัวอีกที และโคจรไปยังจุดชีพจร

 

เมื่อปราศจากการปิดกั้นพลังของดอกบัวสีดำ หลินเซวียนได้ทำการทะลวงจุดชีพจรที่ปิดอยู่อย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณที่เอ่อล้นได้วิ่งผ่านร่างกายราวกับสายน้ำเชี่ยว มันก่อตัวเป็นวงจรที่สมบูรณ์แบบในร่างของเขา

 

ขณะเดียวกันจี้ดาบได้หยุดดูดกลืนพลังวิญญาณ และลอยอย่างสงบภายในร่างของหลินเซวียน

 

ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ

 

หลินเซวียนค่อย ๆ หายใจเข้าออก จิตวิญญาณในตัวของเขาเริ่มผ่อนคลายลง เมื่อนึกถึงฉากอันน่าเหลือเชื่อก่อนหน้านี้ มันทำให้เขาแทบจะทำใจเชื่อไม่ลง

 

“ดอกบัวสีดำนั้นคืออะไร เหตุใดมันถึงมาอยู่ในร่างของเรา?” หลินเซวียนไม่สามารถไขข้อสงสัยนี้ได้ อีกทั้งยังมีจี้ดาบอยู่ในนั้น ‘มันเข้าไปในร่างของเราได้ยังไง? อีกทั้งยังดูเหมือนจะลึกลับเสียยิ่งกว่าดอกบัวสีดำ’

 

จี้ดาบนี้ถูกมอบให้เขาโดยบิดา มันช่วยเขาทำลายดอกบัวสีดำ และช่วยให้เขาทะลวงจุดชีพจรได้สำเร็จ ดังนั้นหลินเซวียนจึงคิดจี้ดาบนี้คงจะไม่ใช่อะไรที่คิดร้ายกับตน

 

หลินเซวียนตรวจสอบร่างกายและพบว่าบาดแผลได้รับการฟื้นฟูหมดแล้ว ขั้นพลังวิญญาณของเขาเข้าสู่ขั้นเปิดชีพจรระดับหนึ่ง และยังดูเหมือนจะพุ่งไปยังระดับสองในไม่ช้านี้

 

“อย่างไรก็ตาม เราได้ทะลวงจุดชีพจรสำเร็จแล้ว ในอนาคตเราจะบ่มเพาะพลังและฝึกฝนได้เสียที เราจะต้องกลับไปยังคฤหาสจอมดาบเพื่อทำให้ความปรารถนาของท่านพ่อเป็นจริง!”

 

แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นคนของคฤหาสน์จอมดาบ จากนั้นก็ได้ถูกขับไล่ออกมา เมื่อทราบว่าสามารถบ่มเพาะพลังวิญญาณได้แล้ว หลินเซวียนจึงคิดอยากจะกลับไปทวงทุกอย่างที่เคยสูญเสียไปกลับมา

 

“หากเข้าเป็นศิษย์สำนักซวนเทียนได้ การกลับไปยังคฤหาสน์จอมดาบคงไม่ใช่เรื่องยากอีก” เมื่อหลินเซวียนทำการตัดสินใจเสร็จ เขารีบลุกขึ้นโดยพลันเพื่อจะกลับไปยังสำนัก สำนักซวนเทียนนั้นมีลำดับขั้นที่เข้มงวดอย่างมาก ศิษย์ของที่นี่จะถูกแบ่งเป็นศิษย์ชั้นนอก ศิษย์ชั้นใน และศิษย์สายตรง มันจึงดูไม่ง่ายที่หลินเซวียนจะโดดเด่นได้ท่ามกลางศิษย์วัยเดียวกัน

 

 

“มันมีการสอบเข้าทุกเดือน เราสามารถกลายเป็นศิษย์ชั้นนอกได้หากผ่านการทดสอบนี้” หลินเซวียนมาอยู่ที่นี่ได้สามเดือน มันจึงพอจะทำให้เขาเข้าใจรายละเอียอยู่บ้าง

 

……

 

ภายในป่า ชายหนุ่มในชุดขาวสองสามคนกำลังวิ่งหนีอย่างอลหม่าน เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูใสสะอาดเต็มไปด้วยรอยเลือดและดินโคลน

 

“บัดซบ ข้าเกือบจะตายที่นี่แล้ว!”

 

“หากเจ้างูยักษ์นั่นไม่ส่งเสียงรบกวนสัตว์อสูรตัวอื่น พวกเราคงไม่รอดแน่!”

 

กลุ่มที่หนีมาอย่างหัวซุกหัวซุนคือจางปิ่นและพรรคพวกอีกไม่กี่คน พวกเขารอดชีวิตมาได้ แต่ก็เหลือกันอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น

 

“มันเป็นเพราะไอ้ขี้ข้าดาบหลินเซวียนที่ทำให้พวกเราต้องกลับสำนักมือเปล่า!”

 

“ข้าไม่ทราบว่ามันตายแล้วหรือยัง ข้าหวังว่ามันคงยังไม่ตาย เพราะข้าอยากจะทำให้มันรู้ว่าอะไรคือความทรมานยิ่งกว่าตาย!”

 

“ฮึ่ม สวะขั้นพลังกายระดับสามโดนโจมตีแบบนั้นคงตายไปนานแล้ว มันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง? รีบกลับกันก่อนเถอะ ขี้ข้าดาบตายไปหลายคน พวกเราต้องรีบกลับไปแจ้งหาคนใหม่”

 

หลังจากพักหายใจเรียบร้อย พวกเขาได้รีบวิ่งกลับไปยังสำนักทันที

 

“อ๊ะ พี่เฟิง ดูนั้นสิ!” ชายหนุ่มอุทานขึ้น

 

เฉินเฟิงและจางปิ่นหันไปมองตาม ในระยะสายตาของพวก มันมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เสื้อผ้าคลุกเคล้าไปด้วยดินโคลน ชายคนนั้นกำลังวิ่งตรงไปยังสำนักซวนเทียน

 

“ไอ้หนูนั่น มันยังไม่ตาย!” เฉินเฟิงกล่าวขึ้นเสียงดัง “ไอ้ระยำ มาดูกันว่าข้าจะฆ่ามันยังไง!”

 

“ไปเถอะ ไปสั่งสอนมันหน่อยว่าหลินจือเพลิงนั่นไม่ได้อร่อยอย่างที่คิด!” จางปิ่นกล่าวพร้อมใบหน้ามืดดำ

 

ฟิ้ว!

 

ชายทั้งสี่วิ่งไปทางหลินเซวียนอย่างรวดเร็ว

 

 

เมื่อดักทางได้สำเร็จ ทั้งสี่ได้กรู่เข้าล้อมหลินเซวียนอย่างไม่รีรอ “ไอ้หนู ไม่คาดคิดเลยว่าเอ็งจะยังมีชีวิตอยู่ ดีมาก ข้าจะทรมานเจ้าอย่างช้า ๆ !”

 

“อย่าเพิ่งรีบฆ่ามันล่ะ มันกินหลินจือเพลิงเข้าไป โลหิตในตัวมันคงจะเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดี เราต้องพามันกลับไปเพื่อสูบเลือดทั้งตัวจากมันจะดีกว่า” จางปิ่นกล่าวด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยเจตนาร้าย

 

หลินเซวียนสูดหายใจลึกก่อนจะวางมือลงไปที่ด้ามจับดาบ ‘สำนักซวนเทียนอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะถูกดักทางไว้แบบนี้’

 

ความแข็งแกร่งของจางปิ่นอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับสาม ส่วนคนที่เหลืออยู่ระดับหนึ่งเท่ากับหลินเซวียน กล่าวได้ว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาแทบไม่มีโอกาสจะชนะ

 

แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงสงบนิ่ง มือของเขาจับไปที่ด้ามดาบอย่างมั่นคง ดวงตาคู่นั้นมองไปยังเฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าสุด

 

เวลานี้เขาอยู่ใกล้กับสำนักมาก หากสามารถฝ่าเข้าไปยังเขตสำนักได้ เขาก็จะปลอดภัย

 

คนเหล่านี้กำลังดูถูกพลังของเขาจนไม่คิดจะระวังตัว ซึ่งมันโอกาสอันดีที่เขาจะลงมือ

 

เมื่อนึกได้เช่นนั้น ภายในใจของหลินเซวียนได้ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาฝึกฝนกระบวนท่าดาบพื้นฐานมาสามปี เมื่อมีพลังวิญญาณแล้วมันจะทรงพลังมากแค่ไหนกัน?

 

“หักขาของมันก่อนกันไม่ให้หนี!” เฉินเฟิงชักดาบออกมาและกวาดไปยังขาดของหลินเซวียน

 

ทันใดนั้น หลินเซวียนได้ขยับตัวอย่างรวดเร็วพร้อมชักดาบออกมา เขาทะยานขึ้นฟ้าก่อนจะพุ่งลงมาราวกับดาวตก

 

ฉับ!

 

เพียงชั่วพริบตา เขาวิ่งปรี่เข้าไปยังสำนักโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีก ทิ้งไว้เพียงสายตาอันตกตะลึงของบรรดาศิษย์ชุดขาว

 

“อ๊าก!!! มือข้า!” ขณะเดียวกัน เฉินเฟิงได้จับแขนของตนพร้อมกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เลือดสดที่พวยพุ่งออกมากลบพื้นจนแดงฉาน

ดาบพิโรธสวรรค์

ดาบพิโรธสวรรค์

ดาบพิโรธสวรรค์
Score 7.9
Status: Ongoing Released: N/A
อ่านนิยายเรื่อง ดาบพิโรธสวรรค์หลินเซวียนถูกผนึกจุดชีพจรจากพลังลึกลับ ทำให้เขาไม่สามารถเปิดพลังวิญญาณเข้าสู่การบ่มเพาะพลังได้ ชีวิตที่ต้องทนลำบากจากการถูกดูหมิ่น เย้ยหยัน เหยียดหยาม ด้วยความมุ่งมั่นพยายาม มันทำให้ชีวิตของเขาได้พบจุดเปลี่ยน! … หนึ่งดาบทะลวงดารา! หนึ่งดาบสะเทือนฟ้าดิน! หนึ่งดาบพิโรธสวรรค์!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset