ตอนที่ 105.2

บทที่ 105.2 จอกแหนไร้ราก
โดย

คุยเล่นกันมาตลอดทาง หนึ่งก้านธูปต่อมาก็มาถึงจุดพักม้าเจิ่นโถว ไม่นานก็มีนักการของจุดพักม้าเดินมาจูงลาขาวและม้าไป เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าได้จัดหาที่พักไว้ให้พวกเขาจริงอย่างที่บอกไว้ มีทั้งระดับหนึ่งและระดับสอง เขาไม่ได้ตัดสินใจเองโดยพละการ แต่ให้ยกห้องพักทั้งห้าให้แก่จูเหอ ให้พวกเขาตัดสินใจกันเอาเอง

ภายใต้การจัดการของเฉินผิงอัน หลี่เป่ากับจูเหอพักในห้องพักชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม จูเหอเองก็พักในห้องพักชั้นหนึ่งห้องหนึ่ง เขากับหลี่ไหวและหลินโส่วอีต่างก็พักอยู่ในห้องพักระดับสอง หากอาเหลียงกลับมาก็สามารถเลือกพักห้องใดห้องหนึ่งก็ได้ แน่นอนว่าด้วยนิสัยของอาเหลียงคงต้องถามว่าขอเลือกห้อกของจูลู่ได้หรือไม่ คาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นจูลู่คงค้อนใส่เขาตาคว่ำ

ท่ามกลางแสงสายัณห์ หลังจากทุกคนนำสัมภาระของตัวเองไปเก็บเรียบร้อยแล้วก็มารวมตัวกันในห้องพักชั้นหนึ่งที่กว้างขวางของจูเหอ เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้านำจดหมายจากทางบ้านปึกหนึ่งมาส่งให้อย่างรวดเร็ว หลังจากส่งมอบเรียบร้อยก็จากไปด้วยรอยยิ้ม บอกว่าหากมีธุระก็เรียกหาเขาได้เลย ยังบอกอีกด้วยว่าตลาดกลางคืนของเมืองหงจู๋ค่อนข้างมีชื่อเสียงทางทิศใต้ของค้าหลี มีโอกาสมาแล้วก็ควรจะไปเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย

หลินโส่วอีได้รับจดหมายหนึ่งฉบับ หลี่เป่าผิงได้รับมากที่สุด นั่นคือสามฉบับ แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังได้รับหนึ่งฉบับ หลี่ไหวสองมือว่างเปล่า สุดท้ายจึงไปหาจูลู่ที่สภาพการณ์พอๆ กันแล้วเด็กชายก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเราสองคนหัวอกเดียวกันเลยเนอะ”

จูลู่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปหยุดอยู่ใกล้หน้าต่าง จุดพักม้าเจิ่นโถวขนาดเล็กตั้งอยู่ในถิ่นกันดารห่างไกล แต่กลับสร้างให้มีกลิ่นอายของสวนหลังบ้านของตระกูลสูงศักดิ์ได้ถึงเพียงนี้ มองไปจากมุมนี้จะเห็นทะเลสาบขนาดเล็กที่ให้ความรู้สึกกับคนมองว่ามันน่าจะใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ ด้านในเลี้ยงปลาหลีสีเหลืองสีแดงตัวอ้วนพีไว้มากมาย

จดหมายจากทางบ้านของหลินโส่วอีมีเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ตัวอักษรมีอยู่แค่ไม่กี่ตัว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากสอดจดหมายกลับเข้าไปในซองแล้วก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้ามืดทะมึน นิ้วมือทั้งห้ากำจดหมายฉบับนั้นไว้แน่น นอกจากจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรสิงซูตวัดลวกๆ สามสิบกว่าตัวแล้ว ด้านในซองจดหมายยังมีตั๋วเงินขนาดใหญ่สุดของต้าหลีนั่นคือสองร้อยตำลึงเงินอยู่อีกสามแผ่น

เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ กลับเข้ามาในโรงเตี๊ยม ปิดประตูลงเบาๆ วางจดหมายไว้บนโต๊ะ สีหน้าเขียวคล้ำ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด

เฉินผิงอันเลือกตำแหน่งเงียบสงบแล้วนั่งลง หลี่เป่าผิงวิ่งมาหา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาจึงยิ้ม “หากตัวอักษรไหนข้าไม่รู้จัก จะถามเจ้า”

หลี่เป่าผิงถึงได้ย้อนกลับไปที่โต๊ะ แกะซองจดหมายออก จดหมายจากทางบ้านสามฉบับ แบ่งออกเป็นของบิดา พี่ใหญ่และพี่รอง

หลี่เป่าผิงไล่แกะไปทีละฉบับ ในจดหมายของหลี่หงบิดานางเขียนทักทายถามไถ่ความเป็นอยู่ ไม่มีมาดของบิดาผู้เข้มงวดเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เนื้อความส่วนใหญ่ล้วนกำชับถึงเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นอากาศหนาวต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกไม่ต้องกลัวเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วก็บอกว่าทุกครั้งที่ผ่านจุดพักม้าจะต้องเขียนจดหมายมาให้พ่อกับแม่ บ่นจู้จี้ไปอย่างนี้จนจบกระดาษห้าหกแผ่น หลี่เป่าผิงถอนหายใจหนึ่งที มองจูเหอที่นั่งดื่มชาอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “เมื่อไหร่ท่านพ่อท่านแม่ถึงจะเลิกมองข้าเป็นเด็กสักที”

จูเหออดยิ้มไม่ได้ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาดื่มชาของตัวเองต่อไป

หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายฉบับที่สอง หลานคนโตของตระกูลหลี่ พี่ชายใหญ่ของนางเป็นคนเขียนมาให้ ตอนนี้เขากำลังศึกษาตำราและคัมภีร์อยู่ที่บ้าน เตรียมจะเข้าสอบเคอจวี่ปีหน้า เนื้อหาในจดหมายกระชับแต่ได้ใจความ ตัวอักษรข่ายถี่เป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับเต็มไปด้วยท่วงทำนองของอาจารย์ที่นั่งนิ่งอย่างสำรวม ขีดอักษรทุกขีดล้วนเผยให้เห็นถึงความระมัดระวังรอบคอบอย่างจริงจัง ทั้งฉบับล้วนมีแต่หลักการของมหาปราชญ์ บอกกับนางว่าห้ามเพิกเฉยละเลยต่อพ่อลูกจูเหอจูลู่ ห้ามมองพวกเขาเป็นเพียงบ่าวที่เกิดในตระกูล ให้นางเชื่อฟังคำพูดของเฉินผิงอันจากตรอกหนีผิงให้มาก ต้องอดทนต่อความยากลำบาก อย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพียงแต่ว่าช่วงท้ายของจดหมาย พี่ชายใหญ่ที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมาตั้งแต่เด็กบอกกับนางว่า ปูตัวที่นางจับมาจากธารน้ำแล้วเอากลับมาบ้าน ตอนนี้เขาตั้งใจเลี้ยงมันเป็นอย่างดี ขอให้นางวางใจ

หลี่เป่าผิงชูจดหมายในมือ ฟ้องจูเหอว่า “พี่ชายใหญ่ไม่รักข้าที่สุดเลย”

จูเหอข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ในใจคิดว่าคุณหนู เจ้ายังจะพูดอีกหรือ ตลอดทั้งบนและล่างทั่วตระกูลหลี่ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่รักเจ้าที่สุด นั่นคือหนอนหนังสือที่พอพูดถึงหลักการขึ้นมาเมื่อไหร่แม้แต่ท่านบรรพบุรุษก็ยังปวดหัว ดื่มเหล้าครั้งแรกกลับเป็นฝีมือของน้องสาวที่แอบเปลี่ยนจากน้ำชาเป็นเหล้าต้มดอกท้อวสันต์ที่ตระกูลหมักเอง ทำเอาคุณชายใหญ่โกรธจนเกือบจะหลุดมาด พอพ่อแม่มาเห็นเข้าต่างก็กลัดกลุ้ม ไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อมอะไรสักอย่าง ได้แต่วิ่งตามไปด้านหลังบุตรชายที่แล่นไปเอาเรื่องน้องสาว กลัวว่าบุตรชายที่เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างคร่ำครึผู้นี้จะโมโหถึงขั้นลงมือสั่งสอนเป่าผิงน้อย

คาดไม่ถึงว่าเมื่อเขาเห็นแม่หนูคนนั้นยืนเอามือสองข้างเท้าเอวอยู่นอกประตูลานบ้านอย่างไม่ยี่หระกับความตาย เขากลับต้องมาโมโหตัวเองที่ไม่อาจตัดใจด่านางได้ลง โกรธจนสะบัดหน้าเดินหนี อารมณ์ไม่ดีอยู่หลายวัน ภายหลังปีนั้นเขาก็ฝังเหล้าต้มดอกท้อวสันต์ลงไปในลานบ้านตัวเองหนึ่งไห พอน้องสาวถามจึงบอกว่าเตรียมจะให้นางแต่งออกเรือนไป ทำเอาเด็กหญิงตกใจจนต้องแอบหนีออกจากบ้านไปเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่แถวธารน้ำหลงซวีคนเดียวตลอดทั้งวัน และนางก็เกือบจะเข้าไปหลบอยู่ในภูเขาแล้วด้วย

รอจนคนตระกูลหลี่รู้ว่าหลี่เป่าผิงหายตัวไป ท่านบรรพบุรุษก็พิโรธหนัก ระดมคนทั้งหมดออกตามหาเด็กโง่คนนั้น สุดท้ายยังคงเป็นคุณชายใหญ่ที่ทำความดีลบล้างความผิด หานางเจอในวัดเล็กฝั่งตรงข้าม เด็กน้อยที่น่าสงสารนอนหลับอยู่บนม้านั่งตัวยาว จึงแบกนางขึ้นหลังกลับบ้าน

แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพลันคลี่ยิ้ม “แต่ว่าข้าก็ยังชอบพี่ใหญ่ที่สุด”

จดหมายฉบับสุดท้ายหนาเป็นปึก เป็นคุณชายรองที่เขียนมาหาน้องสาวของตัวเอง บรรยายให้ฟังถึงประสบการณ์ระหว่างที่เขาเดินทางไปเมืองหลวงต้าหลี ล้วนเป็นเรื่องแปลกพิศดารที่เห็นกับตาตัวเองหรือไม่ก็ได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟัง ถ้อยคำที่ใช้สวยงามดุจร้อยแก้ว เปี่ยมล้นไปด้วยพื้นฐานความชำนาญ ประหนึ่งปรมาจารย์ด้านกาพย์กลอนที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากสวรรค์ ในตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ คุณชายรองคนนี้ได้รับความนิยมชมชอบมากกว่าพี่ชายใหญ่ของเขา เขาหน้าตาหล่อเหลา สุภาพอ่อนโยน แต่กลับพูดจาสนุกสนานน่าสนใจ ชอบอ่านตำราทหาร ตั้งแต่เด็กมาก็ชอบให้ข้ารับใช้และสาวใช้ในจวนรวมตัวกันสร้างค่ายกล “สังหาร” เทียบกับคุณชายใหญ่ที่เคร่งขรึมคร่ำครึแล้ว บ่าวรับใช้ของจวนชอบที่จะคบค้าสมาคมกับคุณชายรองที่นิสัยร่าเริงเปิดกว้างมากกว่า ทุกช่วงปีใหม่หรืองานเทศกาล เวลาที่คุณชายรองพบเจอคนก็จะโยนถุงผ้าปักลายใบเล็กหนังอึ้งให้เป็นเงินรางวัล หากใครพูดจาเป็นมงคลได้น่าฟัง เขาก็จะเพิ่มให้อีกถุง

หลี่เป่าผิงอ่านอย่างรวดเร็ว ตอนที่อ่านมาถึงสองหน้าสุดท้ายก็เงยหน้ามองจูลู่ “พี่รองของข้าพูดถึงเจ้าด้วย บอกว่าไฟไท่ผิงของปล่องส่งสัญญาณต้าหลีที่เขาเคยเล่าให้เจ้าฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งเขานอนพักค้างคืนอยู่บนยอดเขา เลยได้เห็นสัญญาณควันไฟที่ทางชายแดนรายงานความสงบเรียบร้อยให้ทางเมืองหลวงทราบกับตาตัวเอง มองไกลๆ เหมือนกับมังกรเพลิงตัวยาว ยิ่งใหญ่อย่างมาก”

จูลู่เดินเร็วๆ กลับมานั่งข้างโต๊ะ ถามว่า “คุณหนู คุณชายรองยังพูดอะไรอีกเจ้าคะ?”

หลี่เป่าผิงจึงยอดจดหมายทั้งปึกให้กับจูลู่ จะอย่างไรซะพี่ชายรองของนางก็เล่าแต่แค่เรื่องขนบธรรมเนียมพื้นบ้าน นิทานภูตผีสัตว์ประหลาด ไม่มีเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้

จูลู่รับจดหมายมา ถามว่า “ข้าเอากลับไปค่อยๆ อ่านได้หรือไม่?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “แค่อย่าทำหายก็พอ”

ใบหน้าของจูลู่เต็มไปด้วยความปิติยินดี จากไปพร้อมรอยยิ้ม

เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับถาดผลไม้สดใหม่หนึ่งถาด

ด้านหลังมีชายฉกรรจ์สวมงอบคนหนึ่งเดินตามมาด้วย

ไฟโทสะของหลี่ไหวพุ่งสูงสามจั้ง วิ่งเข้ามาเตรียมจะผลักเจ้าคนสารเลวใจดำผู้นี้ออกจากห้อง

อาเหลียงดันหลี่ไหวไปด้วยพลางเดินไปนั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “จูลู่เป็นอะไรไป ถึงได้ยิ้มหวานอ่อนโยนเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ ดูเหมือนจะสวยกว่าเวลาปกติหลายส่วน”

จูเหอหน้าดำไม่พูดไม่จา

หลินโส่วอีย้อนกลับมาอีกครั้ง นั่งใกล้กับเฉินผิงอัน อาเหลียงโยนน้ำเต้าสีเงินขนาดเล็กให้แก่หลินโส่วอี เด็กหนุ่มดึงจุกฝาเหล้าออกแล้วดื่มหนึ่งอึก

อาเหลียงหันหน้าไปถามขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้า “เมืองหงจู๋มีหาดน้ำตื้นอยู่แห่งหนึ่งใช่ไหม? ห่างจากท่าเรือขนส่งทางน้ำไม่ไกลเท่าไหร่?”

เฉิงเซิงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าประหลาด “มี”

อาเหลียงจุ๊ปากพูด “สถานที่ผลาญเงินทอง สถานที่ผลาญเงินทองจริงๆ”

เมืองหงจู๋มีหาดทรงพระจันทร์เสี้ยวอยู่แห่งหนึ่งที่สว่างไสวไปด้วยเรือทัศนาจรที่ประดับประดาอย่างสวยงามซึ่งมีเฉพาะในเมืองหงจู๋เท่านั้น ลำเรือยาวไม่เกินสองสามจั้ง รอบด้านห้อยไผ่ม่วงราคาแพงหรือไม่ก็ไผ่เขียวทั่วไป ระดับความหรูหราของการประดับประดาด้านในเรือขึ้นอยู่กับความร่ำรวยของเจ้าของเรือ โดยทั่วไปแล้วเรือทัศนาจรทุกลำจะมีผู้หญิงอยู่สองถึงสามคน ส่วนใหญ่มักจะเป็นสตรีแต่งงานแล้ว หรือไม่ก็เด็กสาวเยาว์วัยที่หน้าตางดงาม พิณ หมาก วาดภาพ ชงชา ชงสุรา อย่างน้อยต้องเชี่ยวชาญหนึ่งถึงสองชนิด นอกจากจะมีที่นั่งสำหรับชมทิวทัศน์สวยงามแล้ว ยังมีห้องนอนอีกหนึ่งห้อง เอาไว้สำหรับใช้ทำอะไรนั้น ไม่ต้องพูดก็พอจะรู้ได้

หญิงสาวบนเรือเหล่านี้คือคนจากตระกูลต่ำต้อยด้อยค่าของต้าหลีมาทุกยุคทุกสมัย เล่าลือกันว่าฮ่องเต้ต้าหลีเคยออกพระราชโองการสั่งห้ามไม่ให้ราษฎรของแคว้นเสินสุ่ยราชวงศ์ก่อนที่สิ้นชาติเหยียบขึ้นมาบนฝั่งอีกตลอดชีวิต ต้องการให้ลูกหลานของพวกเขาเป็นดั่งจอกแหนที่ไร้รากไปตลอดชาติตลอดภพ

ชาวบ้านเมืองหงจู๋เล่าลือสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นบอกว่า เทพเจ้าที่แห่งภูเขาฉีตุนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลจงรักภักดีต่อบ้านเมืองอย่างหาใดเปรียบ แต่แอบให้การปกป้องบรรพบุรุษของคนเหล่านี้ระหว่างทางที่หลบหนี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีพิโรธหนัก ลดขั้นเขาจากเทพภูเขามาเป็นเทพเจ้าที่ ออกคำสั่งให้ลูกหลานของคนแซ่สกุลเหล่านี้ลงมือทุบทำลายรูปปั้นร่างทองของเขาจนแตกหักแล้วโยนทิ้งลงก้นแม่น้ำ

เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง เลือกเรื่องราวที่จะไม่ทำลายภาพพจน์ความสง่างามของเมืองเล็กมาเล่าให้แขกผู้ทรงเกียรติเหล่านี้ฟัง

เมืองหงจู๋ไม่ถือเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงระหว่างเหนือและใต้ของต้าหลี แต่ก็มีท่าเรือขนส่งทางน้ำที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งเรือแล่นเร็วดุจกระสวย เป็นสถานที่รวบรวมสินค้าของแต่ละพื้นที่ มันคือจุดที่แม่น้ำสามสายมารวมตัวกัน แบ่งออกเป็นแม่น้ำชงตั้น แม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่ แต่มีเทพแม่น้ำอยู่แค่สองท่าน ริมฝังแม่น้ำล้วนสร้างศาลเทพแม่น้ำเอาไว้ รูปปั้นดินร่างทองขององค์เทพล้วนเป็นผู้บัญชาการทหารเรือผู้มีคุณูปการของต้าหลีที่ตายอยู่ในสนามรบบนน่านน้ำ

มีเพียงแม่น้ำชงตั้นเท่านั้นที่ไม่แต่งตั้งเทพแม่น้ำ ไม่มีศาลเจ้า ภายหลังมีศาลเจ้าแม่ที่ควันธูปถูกจุดขโมงแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่บูชาหญิงพรหมจรรย์คนหนึ่งของเมืองเล็กที่ยอมกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ผลกลับกลายเป็นว่าตั้งศาลได้ไม่นานก็ถูกราชสำนักต้าหลีกำหนดให้เป็นศาลที่ผิดหลักทำนองคลองธรรม ตอนนี้จึงหลงเหลือเพียงซากปรัก เศษกระเบื้องแหกหัก เป็นที่อยู่อาศัยของงูและหนูเท่านั้น

เมื่อได้ยินเรื่องราวของเทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุน หลี่ไหวก็เอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบา “ไม่นึกว่าเจ้าคนเลวผู้นั้นจะมีชื่อเสียงดีงามในเมืองหงจู๋ขนาดนี้”

หลินโส่วอีสีหน้าเฉยชา “ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์อ่านยากอยู่เล่มหนึ่ง” (เปรียบเปรยว่าทุกบ้านต่างก็มีเรื่องลำบากใจของตัวเอง)

เฉินผิงอันเก็บจดหมายที่หร่วนซิ่วส่งมาให้

ในจดหมายบอกว่าภูเขาลั่วพั่วที่เขาซื้อไว้ต้าหลีได้แต่งตั้งเทพภูเขาคนใหม่ที่จะช่วยพิทักษ์รวบรวมปราณวิญญาณของภูเขาลูกนั้นได้สำเร็จแล้ว เป็นรองแค่เขาพีอวิ๋นที่ไม่เข้าร่วมการซื้อขายและภูเขาเตี่ยนเติงที่อยู่ในมือของบิดานางเท่านั้น

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset