ตอนที่ 108.1

ล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ
โดย

ประตูเมืองของด่านเหย่ฟูชายแดนต้าหลีเปิดอ้าให้ทหารม้าติดอาวุธเบาจำนวนไม่มากที่เลือกเดินทัพในตอนกลางคืนซึ่งเกิดขึ้นน้อยครั้งทะยานออกไป แม้ว่าม้าจะมีแค่พันตัว แต่เมื่อเสียงกีบเหล็กของม้าศึกเหยียบย่ำลงบนพื้นดินอย่างเป็นระเบียบก็ยังคงทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน ประหนึ่งเสียงรัวกลองถี่กระชั้น ส่งผลให้เลือดร้อนๆ ของผู้คนเดือดพล่าน

ริมทางของทางเดินม้า ขุนพลบนหลังม้าผู้หนึ่งดึงบังเหียนหยุดม้า สีหน้าเคร่งเครียด

รองแม่ทัพหนุ่มที่บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นดุร้ายรีบควบม้าตามมา หลังจากชะลอฝีเท้าม้าแล้วก็ยืนเคียงไหล่อยู่กับแม่ทัพ ถามเสียงเบา “แม่ทัพหัน การบุกโจมตีขึ้นเหนือในครั้งนี้ มีจุดประสงค์อะไร? ด่านเหย่ฟูทางเหนือของต้าหลีเรามีขอบเขตกว้างใหญ่ จะมีโจรบนหลังม้ากลุ่มใหญ่บุกมาโจมตีได้อย่างไร? อีกอย่างต่อให้มีจริงก็คงไม่ถึงขั้นต้องให้กองทหารม้าของพวกเรออกหน้าเองกระมัง?”

แม่ทัพร่างหนาใหญ่เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าได้ถาม”

ขุนพลหนุ่มแสยะปาก แล้วก็ไม่ถามอะไรอีกจริงๆ

แม่ทัพกองทหารม้าด่านเหย่ฟูผู้นั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ อาจเป็นเพราะตัวเองเก็บงำไว้ก็เลยรู้สึกอึดอัดใจ หลังจากใคร่ครวญพักหนึ่งจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่เพียงแต่กองทัพจำนวนน้อยนิดของด่านเหย่ฟูเรา กองทัพพิทักษ์หน้าด่านทั้งหมดของชายแดนทิศใต้ก็ต้องระดมกองกำลังมาเกือบครึ่งหนึ่ง และคืนนี้ก็ออกเดินทางพร้อมกันหมดแล้ว”

ขุนพลหนุ่มอึ้งตะลึง “ล่าสัตว์สี่ฤดูกาลที่สี่ปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง? แต่ยังไม่ถึงเวลานี่นา เมื่อปีก่อนพวกเราเพิ่งจะเข้าร่วมการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิไป ปีนี้ต่อให้มีงานใหญ่ระดับนี้ก็ควรต้องเป็นช่วงฤดูร้อนสิถึงจะถูก”

แม่ทัพเอื้อมมือไปลูบแผงคอม้าตัวของตนอย่างนุ่มนวลโดยไม่รู้ตัว “ไปถึงค่ายพักชั่วคราวเมื่อไหร่ กรมกลาโหมของราชสำนักย่อมออกคำสั่งถัดไปเอง พวกเราอย่าได้คิดอะไรส่งเดชเลย”

……

จากเมืองหงจู๋มุ่งไปทางทิศตะวันตกสองร้อยกว่าลี้ พื้นที่ตอนบนของแม่น้ำซิ่วฮวาที่กว้างใหญ่ กลางน้ำมีเกาะเล็กเกาะหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถูกชาวบ้านในพื้นที่เรียกอย่างดูแคลนว่าภูเขาหมั่นโถว บนภูเขามีศาลเทพเจ้าที่หลังหนึ่ง ควันธูปไม่เคยขาดสาย เล่าลือกันว่าศักดิ์อย่างถึงที่สุด ขอบุตรได้บุตร ขอเงินได้เงิน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันถ้วนทั่ว เป็นสถานที่ที่เหล่าปัญญาชนนิยมพายเรือมาเที่ยวชม ทว่าชาวบ้านในท้องถิ่นกลับแทบไม่เคยมาจุดธูปไหว้พระที่นี่มาก่อน

สีสันยามรัตติกาลเยียบเย็นวังเวง น้ำของแม่น้ำกลิ้งซัดครืนๆ จากไป ละอองคลื่นสาดกระเซ็นสี่ทิศ พอจะมองเห็นได้รำไรว่ากลางแม่น้ำมีปลาหลีสีเขียวยาวประมาณสามฉื่ออยู่ตัวหนึ่ง มันกำลังว่ายน้ำพุ่งจากชายฝั่งมุ่งไปยังภูเขาเล็กโดดเดี่ยวลูกนั้นอย่างว่องไว ที่น่าประหลาดก็คือบนสันหลังของมันมีเด็กชายชุดแดงผู้หนึ่งนั่งอยู่ ร่างของเขาสูงไม่เกินฝ่ามือ มือทั้งคู่กำหนวดสองข้างของปลาหลีสีเขียวไว้แน่นคล้ายดึงเชือกบังเหียนเวลาขี่ม้า เมื่อปลาหลีดำผุดดำว่ายอยู่ในแม่น้ำ เด็กชายก็เปียกโชกไปทั้งตัว สีหน้าของเขาซีดขาว ปากผรุสวาทฟ้าดิน ด่าพ่อล่อแม่ใครสักคนอยู่ตลอดเวลา

ปลาหลีสีเขียวว่ายมาถึงชายฝั่งก็พลันหยุดชะงัก แล้วสลัดเด็กชายชุดแดงขึ้นไปบนฝั่ง ร่างของเด็กชายจึงม้วนตลบกลิ้งขลุกๆ ไปรอบหนึ่ง หัวหูเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน หันไปอ้าปากด่าใส่ปลาหลีสีดำที่ว่ายกลับไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างเนิบช้าเสียงดัง “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง เจ้านายของเจ้าคือหญิงแพศยาดอก…”

ปลาหลีพลันหมุนตัวขวับกลับมาจ้องเด็กชายชุดแดงบนชายฝั่งเขม็ง ฝ่ายหลังตกใจจนขี้หดตดหาย หลังจากทิ้งประโยคหนึ่งว่าบุรุษที่ดีไม่ทะเลาะกับสตรีเอาไว้ก็วิ่งปรู๊ดไปทางศาลเทพเจ้าที่ทันที

ศาลเล็กยังไม่ปิดประตู กว่าเด็กน้อยจะปีนป่ายมาถึงธรณีประตูได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากพลิกตัวข้ามมายืนอีกฝั่งได้แล้วก็เงยหน้ามองรูปปั้นดินเหนียวที่สีหลุดลอกไปมากจนดูน่าขัน เท้าเอวตะโกนด่าอย่างขุ่นเคือง “นายท่านเกือบจะจมน้ำตายอยู่ในแม่น้ำแล้ว เจ้ายังไม่รีบวิ่งมาคุกเข่ารับราชโองการอีกรึ?! เชื่อหรือไม่ว่าแค่นายท่านกล่าวโทษว่าเจ้าไม่ให้ความเคารพ หัวของเจ้าก็หลุดออกจากบ่าแล้ว?”

เสียงปังดังขึ้นหนึ่งที

เด็กชายชุดแดงถูกคนผู้หนึ่งเตะปลิวออกไปนอกศาลเทพเจ้าที่เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง

ชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยล่ำผู้หนึ่งนั่งแปะลงบนธรณีประตู ปากแผดเสียงด่าดังขรม “เจ้าก็แค่กุมารควันธูปที่ถือกำเนิดในศาลผุๆ พังๆ แห่งหนึ่ง ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่านายท่านต่อหน้านายท่านอีกรึ?”

ไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ไม่เดินเข้าประตูบ้าน

เด็กชายชุดแดงผู้นั้นวิ่งกลับมาพร้อมเสียงหอบดังฮักๆ หลังจากปีนขึ้นไปนั่งบนธรณีประตูได้อย่างยากลำบากก็แยกเขี้ยวยิงฟัน สายตาฉายแววเสียใจและขุ่นเคือง

ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วถาม “มีเรื่องอะไร?”

เด็กน้อยพึมพำ “หิวนิดหน่อย”

ชายฉกรรจ์ยกมือขึ้นทำท่าจะตี กุมารชุดดำกุมหัว ตะโกนดังลั่น “ข้าแอบได้ยินข่าวหนึ่งมาจากวัดเทพอภิบาลของในเมือง บอกว่ากรมพิธีการและสำนักโหราศาสตร์ของราชสำนักออกคำสั่งลับสองอย่าง บอกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในภูเขาและแม่น้ำทั้งหมดในรัศมีพันลี้รอบเมืองหงจู๋รอคำสั่งอยู่ที่เดิม ห้ามออกจากหน้าที่โดยพลการ ห้ามปิดด่าน เรียกเมื่อไหร่ต้องไปถึงเมื่อนั้น หากตอนที่เรียกชื่อไม่อาจปรากฎตัวได้ทันเวลามีโทษประหารซึ่งหน้าทันที! นายท่านใหญ่อย่างเจ้า หากไม่มีข้าเอาข่าวมาบอกให้ ด้วยนิสัยเกียจคร้านอย่างเจ้าคงถูกคนใช้แผนยืมมีดฆ่าคนตายไปแล้ว…อ้อ ลืมไปว่าเจ้าไม่ใช่คน…”

คราวนี้เด็กน้อยถูกฝ่ามือตบหน้าทิ่มเข้าไปในศาล

ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน มองไปทางเมืองหงจู๋ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ในกระถางธูปเหลืออาหารไว้ให้เจ้าเล็กน้อย จำไว้ว่ากินประหยัดหน่อย”

“ถือว่าเจ้ายังมีน้ำใจอยู่บ้าง ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าใช้ชีวิตอยู่มาได้อย่างไร แมลงน่าสงสารที่เป็นเทพเจ้าที่มายาวนานที่สุดในทวีปแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานย่ำแย่ก็ยังพอทำเนา แต่นี่แม้แต่กองทัพกุ้งปูปลาในแม่น้ำซิ่วฮวาก็ยังไม่เห็นเจ้าในสายตา เจ้าว่าทำไมข้าถึงได้ซวยขนาดนี้ ดันมาเกิดในกระถางของเจ้า? เฮ้อ ชาติหน้าควรจะไปเกิดในกระถางดีๆ สักหน่อย…” ปากของกุมารชุดแดงบ่นพึมพำไม่หยุด แต่กลับไม่ถ่วงการปีนขึ้นไปบนโต๊ะบูชาอย่างคุ้นเคยของเขาให้ล่าช้าลง พอปีนไปถึงก็พุ่งเข้าไปในกระถางธูปทองแดงที่มีธูปเจ็ดแปดก้านปักกระจัดกระจายทันที

……

บนทางที่ย้อนกลับมายังจุดพักม้าเจิ่นโถว เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าค้นพบว่าเด็กชายข้างกายเดี๋ยวก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดี๋ยวๆ ก็ถอนหายใจเฮือก คล้ายกำลังตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย

และในที่สุดหลี่ไหวก็หยุดเดิน ปลุกระดมความกล้าถามว่า “เหล่าเฉิง บนร่างข้ามีเงินอยู่สามสิบอีแปะ เรากลับไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือก่อนหน้านี้ได้ไหม? หนังสือที่ถูกที่สุดของที่นั่นราคาเท่าไหร่? ยังพอจะเหลือเงินให้ข้าอีกนิดหน่อยได้ไหม?”

ชายที่ถูกเรียกว่าเหล่าเฉิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตอบอย่างจริงจัง “ยาก หนังสือของร้านนั้นคือราคาที่คนในเมืองหงจู๋ของพวกเราเห็นพ้องต้องกันว่าแพงมาก หากไม่ใช่พวกบัณฑิตที่มีงานอดิเรกชอบเก็บสะสมหนังสือดีหนังสือหายากแล้ว โดยทั่วไปก็ไม่มีใครไปซื้อหนังสือที่นั่น หากเจ้าอยากซื้อหนังสือจริงๆ ข้ารู้ว่าทางฝั่งทิศตะวันออกมีร้านหนังสือใหญ่อยู่สองร้าน คัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ รวบรวมบทความเมธี นิทานเรื่องประหลาดพิสดารล้วนมีหมด และไปที่นั่นข้าก็สามารถช่วยเจ้าต่อรองราคาได้”

เด็กชายจอมดื้อรั้นส่ายหน้า “ไม่ได้ ต้องเป็นร้านหนังสือเมื่อครู่นี้เท่านั้น!”

นี่เป็นเงินเหลือใช้ทั้งหมดที่หลี่ไหวแอบสะสมมาแล้ว ส่วนใหญ่ขโมยมาจากบ้านลุง ส่วนน้อยคือเงินเก็บส่วนตัวของหลี่หลิ่วพี่สาวของเขา

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ร้านหนังสือ เจ้าคนยากจนที่สวมรองเท้าแตะสานทั้งปีทั้งชาติผู้นั้นทั้งไม่ได้แสร้งทำเป็นร่ำรวยซื้อหนังสือเฮงซวยราคาเกือบสิบตำลึงเงินมาทันทีทันใด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธซึ่งๆ หน้าว่าจะไม่ยอมจ่ายเงินมากมายขนาดนี้ให้เขา

แต่ถามเขาว่าเมื่อซื้อมาแล้วเขาจะอ่านหนังสือเล่มนั้นหรือไม่

นี่ทำให้หลี่ไหวแปลกใจอย่างมาก แม้ตอนนั้นเขาพูดว่าจะอ่าน แต่หลังจากซื้อมาแล้ว แม้เขาจะอ่านก็จริง แต่ก็คงแค่พลิกเปิดผ่านๆ ฆ่าเวลาเท่านั้น เพราะอันที่จริงหลี่ไหวไม่ค่อยสนใจหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ นี่เท่าใดนัก

แต่ตอนนั้นมีคนเต็มใจควักเงินสิบตำลึงเพื่อตน ทำให้หลี่ไหวรู้สึกดีใจอย่างมาก

หลี่ไหวไม่โง่ คนอื่นดีหรือเลวใส่เขา เด็กชายรู้ชัดเจนอยู่แก่ใจ

รองเท้าแตะหลายคู่ และยังมีหีบหนังสือที่ยังทำไม่เสร็จ บวกกับหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนี้ ติดค้างคนอื่นเขามากมายขนาดนี้ หลี่ไหวจึงรู้สึกว่าหากไม่ทำอะไรเพื่อเฉินผิงอันสักอย่าง ตนคงรู้สึกเกรงใจ ในใจย่อมไม่สบายนัก

อันที่จริงหลี่ไหวไม่ชอบจูลู่ แม้แต่หลินโส่วอีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาก็ยังไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่ กลับเป็นหลี่เป่าผิงที่มักจะรังแกตนตอนอยู่โรงเรียนบ่อยๆ ต่างหากที่เขารู้สึกว่าไม่เลว

หลี่ไหวชอบอาเหลียงที่เอ้อระเหยลอยชายที่สุด

ส่วนเจ้าคนยากจนที่มาจากตรอกหนีผิงผู้นั้น หลี่ไหวรู้สึกกลัวเขาเล็กน้อย

เวลานี้เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าก้มหน้าลงมองเด็กชายที่มีสีหน้าจริงจัง ในใจคิดว่าไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งคนผู้นั้นกล่าวว่ามีพรสวรรค์ในการเป็นเซียน เรื่องบางเรื่องนั้นจำเป็นต้องอาศัยโชควาสนาถึงจะทำให้สติปัญญาเปิดกว้างอย่างแท้จริง เขาข่มกลั้นรอยยิ้ม คิดว่าพอดีเลย ตนจะผลักเรือไปตามน้ำ ช่วยเด็กคนนี้สักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจได้ผูกกุศลบุญใหญ่เทียมฟ้า ดีต่อชาวบ้านธรรมดาหนึ่งพันคนไม่สู้ผูกบุญสัมพันธ์กับเซียนหนึ่งคน นี่คือสิ่งที่เขาเคยเห็นมากับตา ได้ยินมากับหู จริงแท้แน่นอน

เฉิงเซิงจึงพาเด็กชายเดินไปยังตรอกเล็กตรงกลางระหว่างสองถนน ชายหนุ่มเจ้าของร้านผู้นั้นนั่งอยู่บนธรณีประตูมองมาที่พวกเขาพอดี ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังรอการมาถึงของพวกเขา

และเวลานี้อีกมุมหนึ่งของตรอกเล็กก็มีชายชราหลังค่อมถือโคมไฟเดินมาในทิศทางตรงข้ามกับหลี่ไหว

คุณชายหนุ่มลุกขึ้นยืนช้าๆ โบกมือมาทางเฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้า “วันนี้ร้านหนังสือปิดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยพาเด็กนี่มาซื้อหนังสือใหม่”

เฉิงเซิงขุนนางผู้ดูแลจุดพักม้าไม่พูดไม่จาก็ลากหลี่ไหวหมุนตัวเดินจากไป

พอคนทั้งสองออกไปจากตรอกเล็กแล้ว คุณชายหนุ่มท่วงท่าสุภาพสง่างามก็ไม่มีท่วงท่าผ่อนคลายอย่างก่อนหน้านี้อีก เปลี่ยนมาเป็นสำรวมนอบน้อม กุมมือประสานพลางเอ่ยเสียงเบา “หลี่จิ่นแห่งแม่น้ำชงตั้นคารวะใต้เท้าหลางจง”

มือหนึ่งของผู้เฒ่าผมขาวโพลนไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือโคมไฟ พยักหน้ารับแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในร้านหนังสือโดยตรง ชายหนุ่มที่เบี่ยงกายเปิดทางให้ตามติดไปด้านหลัง ผู้เฒ่าเสียบด้ามจับโคมไฟไว้ตรงปลายล่างสุดของตำราที่วางไว้บนชั้นหนังสือสูง หันหน้ากลับมามองชายผู้มีสีหน้านุ่มนวลดุจหยก กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เมื่อสี่สิบปีก่อนเจ้าและข้าได้พบกันเป็นครั้งแรก เจ้าก็มีหน้าตาเช่นนี้ วันนี้พบกันอีกครั้ง ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”

ชายหนุ่มกำด้ามพัดแน่น แต่ใบหน้ากลับยิ้มบางๆ “สำหรับตัวประหลาดอย่างพวกเราแล้ว สามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ถึงจะเป็นความโชคดีเทียมฟ้า”

ผู้เฒ่าพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยโต้แย้ง

ชายหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ “คนกลุ่มนั้นมาพักที่จุดพักม้าเจิ่นโถวได้ เพราะการจัดการของใต้เท้า?”

ผู้เฒ่าเงียบงันไม่ตอบคำถาม

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset