ตอนที่ 123.1

พบพานบนทางแคบ
โดย

ในมือของผู้เฒ่าตาบอดถือกระบี่ไม้ท้อ ปลายกระบี่ชี้ไปยังผีสาวสวมชุดแต่งงาน “เจ้าเป็นปีศาจหรือเป็นผีกันแน่?!”

ผีสาวสวมชุดแต่งงานสีแดงสดบิดด้ามพัดเบาๆ นางที่ยืนอยู่บนเส้นทางภูเขาห่างไกลเพียงลำพังให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยก ตลอดทางที่นางเดินมา ชายกระโปรงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินโคลน ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงไม่ใช้คาถาปีศาจ ร่ายปรานสกปรกไร้รูปลักษณ์ในภูเขาให้มารวมตัวกันเป็นอาภรณ์ที่สะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นเกาะ ชุดแต่งงานสีแดงสดของนางชุดนี้เห็นได้ชัดว่าทอจากผ้าแพรของจริง ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือของช่างตัดเย็บล่างภูเขา

ตอนนี้มือข้างเดิมของผีสาวค่อยๆ เอาหนังหน้าทั้งแผ่นที่นางปลดลงก่อนหน้านี้แปะกลับไปช้าๆ เผยให้เห็นดวงหน้าซีดขาวดังเดิม ดวงหน้าของนางงดงามดุจดรุณีในห้องหอ หากไม่เป็นเพราะสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนป่วย แท้จริงแล้วนางก็ไม่ต่างจากสตรีทั่วไปบนโลกมนุษย์ เมื่อนางขยับเข้ามาใกล้ในระยะประชิด แม้แต่นักพรตเต๋าชราก็ยังสัมผัสไม่ถึงกลิ่นอายปีศาจจากบนร่างของนาง

ปีศาจใหญ่ที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จประเภทนี้ เมื่อมาเดินอยู่ในหมู่คนธรรมดาก็แทบไม่มีอุปสรรคขัดขวางอะไรแล้ว ขอแค่ไม่เป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ศาลเทพอภิบาลเมืองหรือศาลบุ๋นบู๊สองแห่งก็ไม่มีทางถูกพลังอำนาจของกองกำลังใดในโลกมนุษย์สยบได้ แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ปีศาจใหญ่ประเภทนี้ต้องยินยอมเก็บปราณ ระงับดวงจิตที่กระหายการเข่นฆ่า ไม่สร้างเรื่องก่อราวในโลกมนุษย์เสียก่อน

ผีสาวกระตุกมุมปาก ริมฝีปากยังคงไม่ขยับแต่เสียงดังขึ้นได้เองดังเดิม

“ท่านนักพรตมีปณิธานว่าจะกำจัดมารปราบปีศาจ สั่งสมคุณความดีไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นเชี่ยเซินจึงเผยกายแล้ว และเชี่ยเซินก็ยิ่งตั้งตารอในวิชาห้าอสนีของท่านนักพรต”

ในใจนักพรตเฒ่ายิ่งตกตะลึง เข็มทิศพลิกกลับที่ทั้งด้านในด้านนอกนับรวมกันได้สี่ชั้น แบ่งเป็นสอดคล้องกับภูตผีปีศาจ สัตว์ประหลาด สิ่งชั่วร้ายและเทพภูเขาเทพแม่น้ำกำลังหมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง นอกจากชั้นของสัตว์ประหลาดแล้ว ที่เหลืออีกสามชั้นต่างก็หมุนคว้างสั่นสะเทือนรุนแรง นี่หมายความว่าสถานะของสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ซับซ้อนมาก มีความเป็นไปได้มากว่าตอนมีชีวิตอยู่อาจจะเป็นปีศาจใหญ่ที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ เมื่อตายไปแล้วก็กลายมาเป็นผีร้ายที่อาละวาดอยู่ในพื้นที่แถบหนึ่ง ทว่าก่อนหน้าที่ตกสู่วิถีแห่งกัณหธรรมอย่างสิ้นเชิงได้มีคุณสมบัติที่จะเลื่อนขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำภูเขาและแม่น้ำเสียก่อน

นักพรตเฒ่าตาบอดร้องคร่ำครวญในใจไม่หยุด เทียบกับผีภูเขาตัวอันตรายในภูเขาซานจือนั่นแล้ว นี่รับมือยากกว่าไม่ใช่แค่ระดับสองระดับเท่านั้นเลย? ผู้เฒ่าพยายามรักษาสีหน้าให้ไม่แปรเปลี่ยนและไม่ให้หัวใจเต้นแรงเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกผีสาวสัมผัสได้ถึงความร้อนตัวของตัวเอง เขาค่อยๆ เก็บกระบี่ไม้ท้อโดยการพลิกปลายแหลมลงเบื้องล่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาดี แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แม้ว่าคุณหนูท่านนี้จะมีปราณปีศาจเปี่ยมไพศาล มีกลิ่นอายของผู้ที่เฝ้าพิทักษ์ครอบครองของพื้นที่แถบนี้ ช่างเป็นเกียรติที่นักพรตผู้ต่ำต้อยได้ใช้ใจมองท่าน เห็นได้ชัดว่าบนร่างของคุณหนูมีปราณสังหารน้อยมาก ทำบาปไม่มาก ต่อให้มีความอาฆาตล้อมวนอยู่รอบกาย แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนตกค้างของเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง นักพรตผู้ต่ำต้อยเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับคุณหนูครึ่งตัว เพราะน้ำเชี่ยวจึงชนปะทะวังพญามังกร (เปรียบเปรยว่าคนกันเอง ไม่ยอมรอมชอม จนต้องมาปะทะกันให้เกิดความเสียหาย) รบกวนการฝึกตนของคุณหนูแล้ว ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว”

ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่เงยหน้ามองไปบนร่มกระดาษน้ำมันอยู่ตลอดเวลาพลันถอนสายตากลับมาจ้องนักพรตเฒ่าที่เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้าเขม็ง คราวนี้นางขยับปากพูดโดยตรง “คุณหนู? ไม่เห็นชุดของข้าหรือไร? เรียกข้าว่าฮูหยิน!”

สี่คำสุดท้ายผีสาวชุดแต่งงานแทบจะคำรามออกมา

พริบตานั้นฝนก็พลันเทกระหน่ำ ลมภูเขาพัดหวีดหวิวรุนแรง

เสียงฟุ่บดังขึ้นหนึ่งครั้ง

ผีสาวหุบร่มกระดาษน้ำมัน มือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งลูบไปบนตัวร่มปาดน้ำฝนออกอย่างอ่อนโยน แต่ใบหน้าที่มองไปยังอาจารย์และศิษย์สามคนกลับบิดเบี้ยวไม่หยุด “เป็นคนตาบอดจริงๆ ด้วย เจ้าเฒ่าตาบอด! เจ้าสามารถใช้ใจมองได้ใช่หรือไม่ เชี่ยเซินจะพาเจ้าไปที่จวนพอดี ให้ตาเฒ่าจมูกสุนัขจิตใจต่ำช้าอย่างเจ้าได้รู้ซะบ้างว่าอะไรคือความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน”

นักพรตเฒ่าพยายามคลายบรรยากาศตึงเครียด ถอนหายใจกล่าวว่า “เหตุใดฮูหยินต้องบีบคั้นกันถึงเพียงนี้เล่า? เรื่องนี้ไม่ถึงขั้นไร้หนทางให้แก้ไขไม่ใช่หรือ?”

ผีสาวเริ่มเดินไปข้างหน้าช้าๆ เหยียบลงกลางดินโคลนบนเส้นทางสายเล็กทีละก้าว มือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งยกชายกระโปรงเผยให้เห็นรองเท้าปักลายดอกไม้ทั้งคู่ที่ทั้งเปียกชื้นและสกปรก นางยิ้มบางๆ “เวทคาถาไม่ลึกล้ำ แต่จองหองเจตนาชั่วร้าย ตายไปก็ดี ตายไปก็ดี วันหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นตัวถ่วงการเล่าเรียนของหลางจวิน จะได้ไม่เป็นตัวถ่วงการสอบของเขา…”

พูดมาถึงช่วงท้าย น้ำเสียงของผีสาวแผ่วเบา สายตาอ่อนโยน ราวกับว่านั่นคือคำกระซิบกระซาบที่กำลังเอ่ยใครบางคน เมื่ออยู่ท่ามกลางลมฝนที่ซัดกระหน่ำก็ถูกกลบทับไปเสียสิ้น

ผู้เฒ่าตาบอดหัวเราะเสียงเย็น “ฮูหยินท่านนี้ คิดจะให้พังพินาศกันไปทั้งสองฝ่ายจริงๆ หรือ?”

เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นว่าสถานการณ์อยู่ในขั้นไม่ตายไม่ยอมเลิกราแล้ว เขาเองก็ท่องพเนจรมาหลายสิบปี เดินทางไปเกือบครึ่งหนึ่งของบุรพแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่คนขี้กลัวอะไร จึงตวาดเบาๆ ว่า “เจ้าเป๋น้อย ขอแค่ครั้งนี้สามารถร่วมมือกันต้านศัตรูให้ถอยไปได้ นักพรตผู้ต่ำต้อยรับปากเจ้าว่าจะไม่ให้จิ่วเอ๋อร์น้อยต้องกรีดเลือดวาดยันต์น้ำพุอีกหนึ่งปีเต็ม”

เด็กหนุ่มขาเป๋พยักหน้ารับ ยื่นมือไปจับธงเรียกวิญญาณ “ปราบปีศาจจับผี กำจัดมารผดุงคุณธรรม” แล้วเอ่ยเสียงหนัก “พร้อมแล้ว”

ผู้เฒ่าตาบอดกระทืบลงไปบนพื้นแรงๆ หนึ่งครั้ง สิบนิ้วประกบทำท่าเวทกระทบี่ของลัทธิเต๋า ท่องคาถากระบี่ในใจอย่างรวดเร็วหนึ่งจบ สุดท้ายจบด้วยประโยคว่า “ข้าขออัญเชิญมา ณ บัดนี้”

เห็นเพียงว่าธงกวักวิญญาณที่ปักอยู่บนพื้น หน้าธงที่เดิมทีม้วนเข้าด้วยกันพลันสะบัดออกส่งเสียงพึ่บพั่บเหมือนรับลม อักษรแปดตัวด้านบนเปลี่ยนมาเป็นซีดจาง คล้ายนายทหารแปดคนสวมเสื้อเกราะสีเงินบนสมรภูมิรบที่เริ่มฟังคำบัญชาจากแม่ทัพ วิ่งไปวิ่งมาบนหน้าธง เข้าแถวจัดเรียงกันเป็นค่ายกลรบ

จากนั้นตัวอักษรสี่คำว่า “ปราบปีศาจจับผี” ก็วิ่งเลียบมาตามหน้าธง ท่อนไม้ กล้ามเนื้อช่วงแขนและไหล่ของเด็กหนุ่มขาเป๋ปูดนูนไล่ขึ้นมาเบื้องบนอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแยกย้ายกันไปที่หูและจมูกสี่รูทวารของเด็กหนุ่ม

ดวงตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวในชั่วพริบตา ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้าออก ทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าล้วนมีควันดำล้อมววน

เด็กหนุ่มขาเป๋กำหมัดทั้งสองข้างแน่น แหงนหน้าร้องคำราม ควันดำซัดตลบไปทั่วร่าง เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่อยู่ห่างจากศีรษะเขาไปสามชื่อถึงขนาดระเหยกลายเป็นไอน้ำในชั่วเสี้ยววินาที

เมื่อเทียบกับผีสาวที่เก็บปราณมืดดำไว้ในร่างแล้ว เด็กหนุ่มขาเป๋กลับคล้ายภูตผีปีศาจที่กินคนไม่เลือกหน้ามากยิ่งกว่า

ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวมองประเมินแม่นางน้อยหน้ากลมอยู่ตลอดเวลา รอจนเด็กหนุ่มเริ่มวิ่งตะบึงเข้ามาหานาง นางถึงได้หันไปมองผู้เฒ่าตาบอดที่ทำท่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ช่างทำให้เชี่ยเซินผิดหวังยิ่งนัก ไม่แม้แต่จะใช่วิชาข้างเคียง ก็แค่พวกนอกรีตปลายแถวเท่านั้น โจรร้องจับโจร ไม่ควรตาย แต่ควรอยู่ไม่สู้ตายมากกว่า”

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะพลันวิ่งมาถึงด้านหน้าผีสาวแล้วกระโดดตัวขึ้นสูง เหวี่ยงเท้าเตะเข้าที่ศีรษะของฝ่ายหลัง

ผีสาวชุดแต่งงานทั้งไม่หลบเลี่ยง แล้วก็ไม่ยกมือขึ้นบัง มือทั้งสองข้างของนางกำชายกระโปรงเอาไว้ตลอดเวลา เรือนกายอรชรนั้นเอาแต่เดินมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว

เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว

ทั้งศีรษะของผีสาวถูก “ถอนรากถอนโคน” ปลิวกระเด็นไปด้านล่างภูเขาไม่รู้ว่าไปตกอยู่ตรงไหน

เพียงแต่ว่าผีสาวหัวขาดกลับยังคงเดินหน้าต่อไป

เด็กหนุ่มที่เท้าแตะพื้นกวาดขาออกไปอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ช่วงเองของผีสาวไร้หัว

มือข้างที่ถือร่มของผีสาวทำเพียงแค่ใช้หลังมือสกัดกั้นพละกำลังที่หนักอึ้งนับพันชั่งของเด็กหนุ่ม

ทว่าเท้านั้นของเด็กหนุ่มกลับไม่สามารถทำให้หลังมือของผีสาวขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย

เด็กหนุ่มอาศัยแรงดีดกลับมหาศาลขุมนั้นพลิกตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบเข้าที่หัวใจของผีสาวสวมชุดแต่งงาน กล่าวเสียงหนัก “ปราบปีศาจ!”

คำว่าปราบปีศาจสีเงินสองคำลอยมาปรากฏบนหลังมือของเด็กหนุ่ม จากนั้นขีดอักษรแต่ละขีดก็แยกตัวจากกันโดยอัตโนมัติ สุดท้ายมารวมตัวกันเป็นกระบี่สั้นสีเงินที่เปี่ยมไปด้วยปราณสังหารเล่มหนึ่งซึ่งบินหลุดออกจากมือเด็กหนุ่มไปพร้อมแสงสีดำตัดขาว บินแทงตรงไปยังหัวใจของผีสาว

ผีสาวใช้สองนิ้วคว้ากระบี่บินแหลมคมที่เกือบจะกรีดชุดเจ้าสาวสีแดงสดของนางขาด

กระบี่บินที่ยาวแค่หนึ่งชุดสั่นสะท้านไม่หยุดส่งเสียงดังวึงๆ

เสียงของผีสาวดังขึ้นมาเนิบนาบ “ศีรษะไม่เอาก็ได้ ทว่าอาภรณ์ชุดนี้ห้ามเสียหายเด็ดขาด หากสกปรก สามารถซักให้สะอาด แต่หากขาดแล้วต้องมาปะชุนทีหลังย่อมไม่งาม หาไม่แล้วหลางจวินคงหัวเราะเยาะอาภรณ์ของข้า…”

หลังจากส่งฝ่ามือหนึ่งออกไป เด็กหนุ่มขาเป๋ก็ปล่อยหมัดซ้ำแทบจะในเวลาเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ตะโกนคำว่า “จับผี” ออกมา แต่กระนั้นบนหมัดก็มีตัวอักษรของผืนธงผุดขึ้นมาแล้วก่อตัวขึ้นเป็นกระบี่บิน เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มที่ท่าทางทึ่มทื่อกลับไม่ได้ซื่อบื้ออย่างที่แสดงออกภายนอกจริงๆ

ลงมือสังหารศัตรู ควบคู่ร่วมมือประสาน

เสียงตวาดหนึ่งดังขึ้นกึกก้อง “เจ้าผีต่ำช้า ครั้งนี้นักพรตผู้ต่ำต้อยจะต้องทวงความยุติธรรมแทนสวรรค์ ไม่มีหัวแล้ว แต่ข้าก็ยังจะให้เจ้ารับอานุภาพของห้าอสนี!”

กลางอากาศเหนือจากเส้นทางภูเขาไปหลายสิบจั้ง สายฟ้าสีขาวเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมา

ผีสาวยังคงใช้มือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้คีบกระบี่บิน “ปราบปีศาจ” เล่มแรกเอาไว้ตวัดขึ้นเบาๆ ใช้นิ้วนางกับนิ้วก้อยรับกระบี่บิน “จับผี” เล่มที่สอง

จากนั้นใช้ศอกถองไปที่หน้าผากของเด็กหนุ่มด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ฝ่ายหลังปลิวหวือไปทั้งร่าง หลังจากหล่นกระแทกลงบนทางสายเล็กที่เต็มไปด้วยดินโคลนแล้วยังไถลไปด้านหลังอีกหนึ่งจั้งกว่า

ผีสาวชูมือข้างที่ถือร่มขึ้นแล้วกางออกเบาๆ ดังพรึ่บ

สายฟ้าสีขาวกระแทกลงบนยอดร่มกระดาษน้ำมัน เกิดประกายแสงระเบิดพร่างพราว

ผีสาวที่ยืนอยู่ใต้ร่มเพิ่มแรงบนนิ้วทั้งสี่เล็กน้อย กระบี่บินสองเล่มก็หักคานิ้วมือของนาง พอร่วงลงบนพื้นก็กลายมาเป็นกองของเหลวสีเงินยวงสองกอง และเพียงไม่นานก็ก็ปะปนรวมกับดินโคลน

มือหนึ่งยกขึ้นกวัก ศีรษะก็บินกลับมาประกบบนลำคอใหม่อีกครั้ง เลือดเนื้อเชื่อมติด ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

ผีสาวสวมชุดแต่งงานยมือข้างที่ว่างขึ้นปัดหญ้าสองต้นที่ติดบนผมทิ้ง

“มาอีก!”

ผู้เฒ่าตาบอดใจสั่น รู้ดีว่าควรต้องมองความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ปล่อยความสามารถทั้งหมดที่มีออกมา ดังนั้นหลังจากสูดลมหายใจเข้าหนักๆ หนึ่งครั้ง สีหน้าที่เคร่งเครียดเต็มไปด้วยบารมีอำนาจของเขามีแสงสีเหลืองจางๆ ชั้นหนึ่งแผ่ปกคลุม

ผู้เฒ่ายกเท้าข้างหนึ่งเหนือพื้น มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดทุบหนักๆ ลงตรงหน้าท้อง มืออีกข้างหงายฝ่ามือขึ้นฟ้า ถลกชายแขนเสื้อขึ้น บนแขนเผยให้เห็นอักขระยันต์สีชาดเรียงกันเป็นทอด

ผู้เฒ่ากล่าวเสียงหนัก “ถอนหายใจกลายเป็นเมฆและฝน แผดเสียงหัวเราะดุจอสนีคำราม! เหนือเมฆพร่างพราว เซียนชี้นำแนวทาง!”

มุมปากของผีสาวที่ถือร่มกระดาษน้ำมันกระตุก เดินผ่านเด็กหนุ่มขาเป๋ที่บาดเจ็บไม่เบาก็รังเกียจที่เขาเกะกะขวางทางจึงเท้าขึ้นเตะหนึ่งที เด็กหนุ่มขาเป๋จึงปลิวไปด้านล่างภูเขา ทว่าระหว่างที่ร่างของเขาลอยลิ่วกลับหายวับไปกลางอากาศเสียก่อน

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset