ตอนที่ 171.2 เด็กสาวผู้อ่อนโยนบอบบาง

บทที่ 171.2 เด็กสาวผู้อ่อนโยนบอบบาง
โดย

ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แกร่งไปทั้งตัวเดินออกจากสำนักศึกษาบนภูเขาตงหัว เดินไปตลอดทางจนกระทั่งพบบ้านเงียบสงบหลังหนึ่งที่แวดล้อมไปด้วยความวุ่นวาย แล้วเริ่มเคาะประตู

ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

บ้านหลังนี้ปล่อยให้เช่านานแล้ว เวลาปกติจะมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มาอาศัยอยู่อย่างสันโดษ แทบไม่เคยปรากฏตัวข้างนอก แต่การต่อสู้ของเทพเซียนที่ลุ้นระทึกคืนนั้นทำให้คนที่มีความคิดละเอียดลออตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือถิ่นที่งูและมังกรขดตัวอยู่

แม้ว่าการประมือครั้งนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวที่เรียกตัวเองว่าเป็นบรรพบุรุษตระกูลชุยซึ่งลงมือจากยอดเขาตงหัวจะได้เปรียบมากกว่า เพราะขว้างสมบัติอาคมออกไปมั่วซั่วตลอดทั้งคืน เรียกได้ว่าพร่างพราวตระการตา ทว่าการรับมือแต่ละอย่างของผู้เฒ่าร่างกำยำก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ขอบเขตสูงมากพอก็ยังยอมรับว่าหากตัวเองไปยืนในตำแหน่งเดียวกับผู้เฒ่า เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มชุดขาวที่โยนสมบัติอาคมราวกับโยนผักกาดขาวเน่าทิ้งผู้นั้น ก็คงไม่มีทางยืนหยัดได้จนฟ้าสางแน่นอน

ชายฉกรรจ์ถีบประตูให้เปิดออกแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน เห็นผู้เฒ่าร่างกำยำที่สีหน้ามืดดำสุดขีด เขาก็คือไช่จิงเสินผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบ เขายืนอยู่ในลานบ้าน บนโต๊ะวางเหล้าไว้หนึ่งกา มีกับแกล้มที่ปรุงอย่างพิถีพิถันเตรียมไว้เป็นจำนวนมาก สำหรับเขาที่เป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปแล้ว การดื่มด่ำกับความสุขที่ดีกว่าไม่มีอะไรให้ดื่มด่ำเลยเช่นนี้ ช่างเล็กน้อยจนไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง

ศึกใหญ่ในวังหลวงเมื่อวานนี้ ไช่จิงเสินคือหนึ่งในผู้ชม เวลานี้เมื่อได้เห็นชายฉกรรจ์จากต่างถิ่นที่เลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์แล้ว เขาก็ไม่เหลือความมั่นใจใดๆ อีก แต่ไม่เหลือความมั่นใจไม่ได้หมายความว่าก้มหัวค้อมเอว จึงถามด้วยสีหน้าที่ไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่เย่อหยิ่ง “ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เจ้าพังประตูบุกเข้ามา มีธุระอะไร?”

หลี่เอ้อร์มองไช่จิงเสิน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าที่ไม่ทันตั้งตัวกระเด็นเข้าไปในห้อง ชนข้าวของในห้องล้มระเนระนาด นอนกระอักเลือดคำโตอยู่ตรงมุมกำแพงใต้กรอบป้ายของห้องโถงหลัก ลุกขึ้นมาไม่ไหวอีก

หลี่เอ้อร์หมุนกายจากไป

ไช่จิงเสินอึ้งงันเล็กน้อย ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับกำแพง เดิมทีนึกว่าจะอย่างไรก็ต้องพูดกันสักคำสองคำแล้วค่อยลงมือ ประโยคที่ว่าพูดไม่เข้าหูก็ลงมือต่อยตี อย่างน้อยก็ยังต้อง “พูด” กันก่อนไม่ใช่หรือ? ไหนเลยจะไร้เหตุผลเหมือนชายฉกรรจ์ผู้นี้? นี่ไม่ใช่ว่าอาศัยอำนาจรังแกคนที่อ่อนแอกว่าหรือไร? ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบผู้ยิ่งใหญ่ บุรพาจารย์ตระกูลไช่ผู้ทรงอำนาจแห่งต้าสุยผรุสวาทเสียงดังอย่างอดไม่ไหว “แน่จริงก็มาสู้กันอีกครั้งสิ!”

จากนั้นชายฉกรรจ์ที่เดินไปหนึ่งหน้าประตูซึ่งไม่เหลือบานประตูแล้วก็เดินกลับเข้ามาในลานบ้านอีกครั้ง ยืนอยู่ตรงนั้น มองไช่จิงเสินที่อยู่ในห้อง

ผู้เฒ่ากลืนน้ำลาย “ข้าพูดกับเจ้าเด็กหนุ่มชุดขาวที่สู้กันวันนั้น ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

หลังคำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก ผู้เฒ่าก็อยากจะขุดรูมุดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด

ตรงเอวของชายฉกรรจ์ห้อยกาเหล้าเปล่าหนึ่งใบ ถามคำถามที่พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง “เหล้าที่อยู่บนโต๊ะของเจ้ากานั้นซื้อมาเท่าไหร่?”

ผู้เฒ่าร่างบึกบึนเส้นผมขาวโพลนมึนงงเล็กน้อย จากนั้นในใจก็ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าสลด คิดว่าคนเราเมื่ออยู่ใต้ชายคาคนอื่นก็จำต้องก้มหัว จึงตอบไปตามตรง “ไม่รู้ราคาที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยก็น่าจะประมาณสามสิบสี่สิบตำลึงเงินกระมัง”

หลี่เอ้อร์ครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกดขอบเขตให้เหลือแค่ขั้นแปด พวกเรามาสู้กันอีกครั้ง”

ไช่จิงเสินเดือดดาลสุดขีดแล้ว ข้าผู้อาวุโสแค่ดื่มเหล้าก็ถือว่าหาเรื่องเจ้าแล้วงั้นหรือ?

ผู้เฒ่าไม่ได้มีนิสัยปล่อยให้คนอื่นรังแกโดยไม่ตอบโต้ ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะนิสัยฉุนเฉียวขี้โมโห พลังการต่อสู้ล้ำเลิศของเขาถือเป็นที่ยอมรับของนักพรตในต้าสุย เขาจึงลุกขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “สู้ก็สู้สิ ใครแม่งกลัวกันล่ะ!”

ครู่หนึ่งต่อมาหลี่เอ้อร์ก็ออกจากลานบ้าน ย้อนกลับไปยังสำนักศึกษา

ผู้เฒ่านอนอยู่ในลาน แม้จะไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส แต่เป็นที่แน่นอนว่ายังไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เร็วๆ นี้

ผู้เฒ่ามองท้องฟ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอัดอั้นตันใจและขมขื่นขนาดนี้ รู้สึกว่าไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว

ผู้เฒ่าแซ่ไช่ก็จริง แต่ไม่ได้เขียนว่าไช่ที่แปลว่ากับแกล้มแอ้มเหล้าเสียหน่อย

รอพักฟื้นหายดีเมื่อไหร่ ผู้เฒ่าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่วังหลวง จะไปจากภูเขาตงหัวเฮงซวยแห่งนี้ อยู่ให้ไกลจากสำนักศึกษาซานหยา แม้แต่เมืองหลวงต้าสุยเขาก็จะไม่อยู่ต่ออีกแล้ว

……

หลี่เอ้อร์บอกว่าจะไปเดินเล่นในสำนักศึกษาเพียงลำพังสักหน่อย หลี่ไหวจึงกลับไปก่อน พบว่าหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอีต่างก็อยู่กันครบ คนทั้งสองเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน หลี่เป่าผิงกำลังคุยเล่นกับมารดาของหลี่ไหว “ท่านป้า พวกท่านจะอยู่ที่สำนักศึกษานานเท่าไหร่? อยากให้ข้าพาพวกท่านไปเดินเล่นในเมืองหลวงหรือไม่? ข้าศึกษาแผนที่เมืองหลวงต้าสุยมาอย่างละเอียดแล้ว ใช้เวลาเป็นครึ่งๆ วันกว่าจะหาแผนที่นี้เจอในหอหนังสือ พวกท่านอยากไปที่ไหนล่ะ ข้ารู้เส้นทางทั้งหมดเลยนะ”

พอมาถึงสำนักศึกษา สิ่งแรกที่หลี่เป่าผิงทำก็คือทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ยิบย่อยในสำนักศึกษาเสียก่อน เพื่อให้รู้ว่าทำอะไรแล้วถูกลงโทษอย่างไร เรื่องที่สองก็คือไปหาแผนที่เมืองหลวงต้าสุย เผื่อว่าวันหน้าอาจารย์อาน้อยมาหานางที่สำนักศึกษา นางจะได้พาเขาไปเดินเล่น

สตรีแต่งงานแล้วแย้มยิ้มชื่นชม “เป่าผิงน้อยฉลาดจริงๆ โชคดีที่หลี่ไหวของพวกเรามีเจ้าอยู่ข้างกาย เขาถึงได้ไม่ถูกคนรังแกมากนัก”

หลี่ไหวเบิกตากว้างจนดวงตาแทบจะถลนออกมา ตลอดทางมานี้คนที่รังแกเขามากที่สุดก็คือหลี่เป่าผิงนี่แหละ ไม่พูดถึงตอนอยู่กับอาเหลียงที่เขาเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน เรียกพี่เรียกน้องกับอีกฝ่าย ต่อให้ตอนอยู่กับเฉินผิงอัน เขาก็ไม่เคยต้องเสียเปรียบมาก่อน

 อีกอย่างตอนที่อยู่ในโรงเรียนของบ้านเกิด หลี่เป่าผิงถอดกางเกงตนโยนขึ้นไปบนแขวนบนต้นไม้อย่างไร ท่านแม่ท่านไม่รู้เลยหรือ? ตอนนั้นท่านยังลากข้าไปที่ถนนฝูลวี่ กะว่าจะทะเลาะกับผู้อาวุโสในบ้านของหลี่เป่าผิงสักรอบ เพียงแต่ว่าพอเห็นสิงโตตัวใหญ่คู่นั้นก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเคาะประตูบ้านตระกูลหลี่

หลี่เป่าผิงกับมารดาของเขาคุยกันไม่แล้วไม่เลิก สรุปคือหลี่ไหวฟังจนปวดหัวไปหมด คนทั้งสองเหมือนเป็ดที่คุยกับไก่ (คุยกันคนละเรื่อง คุยกันคนละภาษา) แต่ทำไมยังคุยกันได้ถูกคออย่างนี้? คนหนึ่งถามว่า เป่าผิง จวนหลังใหญ่บนถนนฝูลวี่ของเจ้ามีเรือนกี่หลังกันแน่ อีกคนหนึ่งตอบว่าหอพักในสำนักศึกษามีเยอะมากเลยล่ะ เยอะกว่าเรือนในจวนของนางซะอีก…

เด็กสาวหลี่หลิ่วถูกน้องชายตอแยจนทนไม่ไหว ได้แต่รับปากว่าจะรีบเย็บรองเท้าผ้าคู่ใหม่ให้ นางนั่งเงียบๆ อยู่ริมขอบเตียง กำลังเย็บพื้นรองเท้าทีละเข็มอย่างละเอียดลออแน่นหนา บางครั้งก็เอียงศีรษะกัดเส้นด้ายให้ขาด แล้วจึงคลี่ยิ้มมองไปทางมารดาและน้องชายยิ้ม หากสบสายตากับหลินโส่วอี นางก็จะพยักหน้าให้ยิ้มๆ เด็กหนุ่มก็จะหน้าแดง ในใจขัดเขินไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดมาอธิบายอย่างไร

นี่เป็นครั้งที่สองหลังจากที่เด็กหนุ่มดื่มเหล้าในน้ำเต้าของอาเหลียงแล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่เลือกออกจากเมืองเล็ก ติดตามเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงมาศึกษาต่อ

หลี่เอ้อร์กลับมาถึงที่พัก หลี่เป่าผิงกำลังจะกลับพอดี พอเห็นชายฉกรรจ์แม่นางน้อยที่ไปไหนมาไหนว่องไวดุจสายลมก็พลันหยุดชะงัก ยิ้มทักทาย “ท่านลุงหลี่สวัสดี!”

หลี่เอ้อร์ที่พูดไม่เก่งรับคำว่าจ้าๆๆ ติดกันด้วยความดีใจ ตอนอยู่ในเมืองเล็ก เขาเคยไปที่โรงเรียนอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นหลี่ไหวมักจะบ่นที่บิดาอย่างเขาทำให้ขายหน้า หลี่เอ้อร์จึงไม่กล้าไปอีก ทว่าแม่นางน้อยที่มักจะสวมชุดสีแดงสดตลอดทั้งปีคนนี้กลับเป็นนักเรียนคนเดียวที่พอเจอเขาแล้วเรียกเขาว่าท่านลุงหลี่

แม่นางน้อยถอนหายใจ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาความคิดของนางบรรเจิดล่องลอยไปไกลอยู่แล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยขออภัยอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ “ท่านลุงหลี่ ข้าขอโทษนะ”

หลี่เอ้อร์ซื่อแต่ไม่โง่ เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความคิดของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงได้ทันที นางต้องรู้สึกว่าตัวเองดูแลหลี่ไหวได้ไม่ดีแน่ๆ ชายฉกรรจ์จึงรีบส่ายหน้า “อย่าได้พูดแบบนี้”

หลี่เป่าผิงกล่าวจริงจัง “ท่านลุงหลี่ ตอนนี้หลี่ไหวตั้งใจเรียนยิ่งกว่าข้าเสียอีก อาจารย์เคยบอกว่าความขยันหมั่นเพียรสามารถชดเชยในส่วนที่ขาด คนเก่งก็ต้องใช้เวลากว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นท่านอย่าผิดหวังในตัวหลี่ไหวเลย เรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ไปชั่วชีวิต ไม่ควรรีบร้อน!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ แม่นางน้อยก็ชูกำปั้น พูดเน้นเสียง “ไม่ควรรีบร้อน!”

หลี่เอ้อร์อารมณ์ดีสุดๆ แม่นางน้อยที่เป็นแบบนี้ช่างทำให้คนชื่นชอบและเอ็นดูมากจริงๆ ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “หลี่ไหวเรียนหนังสือ ข้าไม่รีบร้อน”

ทว่าในใจของชายฉกรรจ์กลับพูดว่า แต่ข้ากลับมีเรื่องหนึ่งที่ทำได้ สุดท้ายแล้วบุตรชายจะสามารถก้าวเดินไปได้ถึงขั้นไหนก็อยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว

หลี่เป่าผิงยิ้มกว้างแล้วห้อตะบึงจากไป

คล้ายนกขมิ้นที่ร่าเริงตัวหนึ่ง

หลี่เอ้อร์ยืนปักหลักมองแผ่นหลังของแม่นางน้อย รอจนลับหายไปจากสายตาแล้วถึงหมุนกายเดินต่อไปด้วยรอยยิ้ม

มาถึงหน้าประตูก็เจอกับหลินโส่วอีที่กำลังจะออกจากห้องพอดี เด็กหนุ่มเรียกเขาคำหนึ่งว่าท่านลุงหลี่แล้วก็บอกลาจากไป

เมื่อเผชิญหน้ากับคนอื่น ต่อให้เป็นบิดาของเด็กสาวหลี่หลิ่ว หลินโส่วอีก็ยังไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้นอย่างไร

หลี่เอ้อร์เดินเข้าไปในห้อง สตรีแต่งงานแล้วกำลังคอยดึงหูเข้ากระซิบกระซาบสั่งสอนบุตรชาย “แม่นางน้อยคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว แค่นิสัยโผงผางไปสักหน่อย ไม่เหมือนคนที่รู้จักดูแลคนอื่น ข้าว่าคนที่ชือสือชุนเจียนั่นดีมาก แม้ตระกูลจะไม่ร่ำรวยสูงศักดิ์เท่าตระกูลของหลี่เป่าผิง แต่ก็ยังมีร้านใหญ่เป็นของตัวเองหนึ่งร้าน พอจะถือว่ามีฐานะใกล้เคียงกับพวกเราอย่างกล้อมแกล้ม หลี่ไหวแต่งงานกับสือชุนเจีย วันหน้าก็ไม่ต้องถูกคนดูหมิ่น นังหนูสือชุนเจียผู้นั้น แค่มองก็อารมณ์ดี มัดผมเปียสองข้าง…”

หลี่เอ้อร์หัวเราะเฮอๆ “ข้าชอบแม่นางหลี่มากกว่า”

หลี่ไหวกล่าวอย่างระอาใจ “ท่านพ่อท่านแม่ ทำไมพวกท่านถึงไม่คิดบ้างว่าพวกนางจะชอบข้าด้วยหรือไม่?”

สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะไม่ชอบได้อย่างไร? แม่นางน้อยสองคนนั่นไม่ได้โง่สักหน่อย!”

หลี่ไหวตบศีรษะตัวเอง “ท่านแม่ของข้า คำพูดแบบนี้ห้ามเอาไปพูดกับคนนอกเด็ดขาดเชียว หาไม่แล้วข้าต้องถูกหลี่เป่าผิงตีจนตายทั้งเป็นจริงๆ แน่ แม้ว่าสือชุนเจียจะไม่กล้าตีข้า แต่ด้วยเล่ห์อุบายที่มีอยู่เต็มท้องน้อยๆ ของนาง ต้องทำให้นางอาฆาตข้าไปตลอดชีวิตแน่ นางเจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุดเลยล่ะ ดึงผมเปียนางแค่ครั้งเดียว นางเอาไปฟ้องอาจารย์ฉีถึงสิบครั้ง ทุกครั้งต้องพูดเป็นจริงเป็นจัง อย่างเช่นว่าวันนี้หลี่ไหวไม่ทำการบ้านมา เลยถูกท่านอาจารย์ตีฝ่ามือ พอเห็นว่าข้าหัวเราะเขา เขาเลยกระตุกเปียข้า หรือไม่ก็วันนี้หลี่ไหวมาสาย ข้าเตือนเขาด้วยความหวังดีแค่ไม่กี่คำ เขาก็ดึงเปียข้า ยังมีหลี่ไหวสู้หลี่เป่าผิงไม่ได้เลยมาดึงเปียข้า…คุณพระช่วย หากยายเด็กสือชุนเจียผู้นี้แต่งมาเป็นเมียข้า ข้าคงต้องร้องไห้จนตายแน่”

 สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเย้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากได้เมียแบบไหนล่ะ?”

หลี่ไหวหยุดคิด “แต่งเมียยุ่งยากจะตาย ข้าว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า วันหน้าโตขึ้นแล้วได้เจอกับผู้หญิงที่ถูกใจค่อยว่ากันอีกที”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มตาหยีถาม “ถ้าถึงเวลานั้นแม่ถูกเมียของเจ้ารังแก เจ้าจะช่วยใคร?”

หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “ก็ต้องช่วยเมียข้าน่ะสิ ท่านก็มีท่านพ่อช่วยอยู่แล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วแสร้งทำเป็นโกรธ “เจ้าเด็กใจดำ!”

สตรีแต่งงานแล้วยื่นมือออกไปหมายบิดหูลูกชาย หลี่ไหววิ่งพล่านหลบไปทั่วห้อง

สตรีแต่งงานแล้วปรายตามองชายฉกรรจ์ “ไปไหนมา?”

หลี่เอ้อร์ตอบเบาๆ “ปวดฉี่เลยไปเข้าห้องน้ำมา”

สตรีแต่งงานแล้วสายตาแหลมคม เพียงครู่เดียวก็มองเห็นกาเหล้าตรงเอวของชายฉกรรจ์จึงขยับเข้าไปดมใกล้ๆ แล้วพูดเสียงกระโชกโฮกฮาก “ไปฉี่ต้องนานขนาดนี้เลย? เจ้าตกลงไปในหลุมส้วมหรือไง? อีกอย่างในหลุมส้วมไม่มีฉี่มีอึ แต่กลับมีเหล้าใส่เอาไว้แทนงั้นรึ?”

หลี่เอ้อร์พูดไม่ออก หันหน้าไปมองบุตรชาย หวังให้อีกฝ่ายช่วยคลี่คลายสถานการณ์

หลี่ไหวซ้ำเติมไม่ไว้หน้า “ท่านพ่อต้องไปพบนางปีศาจจิ้งจอกน้อยสวยเพริศพริ้งมาแน่นอน”

“ดูท่าทางวัวสันหลังหวะของเจ้าสิ”

สตรีแต่งงานแล้วค้อนใส่ชายฉกรรจ์ที่ขวัญผวาหนึ่งที ไม่ได้ซักไซ้เอาเรื่องให้ถึงที่สุดอย่างหาได้ยาก นางนั่งลงข้างกายบุตรสาว ลูบเส้นผมของหลี่หลิ่วแล้วถอนหายใจ “พวกเจ้าต่างก็เติบโตแล้ว พ่อแม่ก็แก่แล้ว”

หลี่หลิ่ววางรองเท้าลง กุมมือมารดาเบาๆ

หลี่ไหวพูดประจบ “ท่านแม่ ท่านน่ะหรือจะแก่ ตอนที่ให้กำเนิดข้าท่านเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมเป๊ะ! หากท่านออกไปนอกบ้านพร้อมกับหลี่หลิ่ว รับรองว่าคนอื่นต้องคิดว่าพวกท่านเป็นพี่น้องกันแน่”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มดุจบุปผาบาน “ไป๊ๆๆ  คำพูดแบบนี้เก็บไว้พูดกับเมียเจ้าในอนาคตเถอะ”

หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าอยากซื้อชาดทาหน้าสักหนึ่งตลับ”

แม้ว่าสตรีแต่งงานแล้วจะบ่นไม่หยุดว่าบุตรสาวเป็นลูกล้างลูกผลาญ แต่ก็ยังลุกขึ้นพาลูกสาวออกไปจากที่พักด้วยกัน

ในห้องเหลือแค่สองพ่อลูก หลี่เอ้อร์ถามยิ้มๆ “ลูกชาย อยากดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพ่อบ้างไหม?”

หลี่ไหวเบิกตากว้าง “ดื่มได้หรือ?”

ดื่มเหล้าไปได้แค่ครึ่งถ้วย หลี่ไหวก็มึนเมา เพียงไม่นานก็ฟุบคว่ำบนโต๊ะนอนหลับไป

หลี่เอ้อร์ยื่นมือไปกุมข้อมือของหลี่ไหว สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาลงแล้วท่องในใจ “องค์เทพเปิดภูเขาสร้างถ้ำสวรรค์!”

……

ตอนที่สตรีแต่งงานแล้วกับหลี่หลิ่วลงจากภูเขาไปพร้อมกันได้เดินสวนกับเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งใต้ซุ้มประตูหินตรงตีนเขา

เด็กสาวหันหน้ากลับไปมองจึงประสานสายตากับเด็กหนุ่มพอดี

วินาทีนั้นเด็กสาวผู้มีภาพลักษณ์อ่อนโยนบอบบางมาโดยตลอดหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว แล้วแอบหันไปทำท่าตักเตือนแบบลึกลับแต่น่าพรั่นพรึงใส่ราชครูต้าหลีที่นางได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานตั้งแต่อยู่ในเมืองเล็ก

นั่นคือใช้ฝ่ามือเรียวบางของตัวเองปาดลำคอ

ชุยตงซานที่เดิมทีก็จงใจมาที่นี่เพื่อพบหน้านางจุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ตัวประหลาดมีมาให้เห็นทุกปี แต่ปีนี้มากเป็นพิเศษแหะ”

 —–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset