ตอนที่ 173.2 คนผ่านทางที่เดินทางอย่างรีบร้อน

บทที่ 173.2 คนผ่านทางที่เดินทางอย่างรีบร้อน
โดย

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าเคยอ่านเจอบันทึกในตำราโบราณ ขอแค่ผู้ฝึกลมปราณโยนมันลงไปในน้ำของแม่น้ำใหญ่ก็จะสามารถจับเจียวและมังกรได้ จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เดิมทีพวกเจียวและมังกรที่อยู่ในน้ำจะมีข้อได้เปรียบด้านชัยภูมิ ต่อให้ศัตรูที่พบเจอจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตสูงกว่าตัวเองสองขอบเขต แต่ก็ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน ทว่าหากฝ่ายตรงข้ามมีข้องราชามังกร ต่อให้ขอบเขตต่ำกว่าพวกเราหนึ่งหรือสองขอบเขตก็สามารถทำให้พวกเราถูกจับโดยละม่อมได้”

เด็กชายชุดเขียวก้าวถอยหลังออกห่างจากเฉินผิงอัน ไปนั่งยองอยู่ไกลๆ ตามจิตใต้สำนึก “ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก หากถูกจับเข้าไปในข้องราชามังกรก็ต้องรู้สึกไม่ต่างจากคนธรรมดาที่อยู่ท่ามกลางน้ำมันเดือด ต้องคอยทนรับความเจ็บปวดเหมือนถูกแล่เนื้อเถือหนังอยู่ตลอดเวลา นี่คือวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายของสำนักที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นสู่โบราณ พวกเขาสานข้องราชามังกรขึ้นมาเพื่อขายให้กับผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางมาไกลด้วยหวังจะจับเผ่าพันธ์ของพวกเราโดยเฉพาะ”

เสียงของเขาสั่น กำหมัดแน่นแล้วโบกไปมา “ข้องราชามังกรขนาดเท่านี้ก็สามารถจับข้าได้แล้ว”

เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมาเทียบขนาดตรงหน้าตัวเอง “แล้วถ้าใหญ่เท่านี้ล่ะ?”

คราวนี้อย่าว่าแต่เด็กชายชุดเขียวที่รู้ดีถึงความร้ายกาจของข้องราชามังกรเลย แม้แต่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยังตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก

เด็กชายชุดดำทำหน้ามู่ทู่ “นายท่าน อย่าถือสาเลยนะ แต่ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่ามีข้องราชามังกรที่ใหญ่ขนาดนั้น ท่านคงไม่ได้มีอยู่ใบหนึ่งหรอกนะ?”

เขาฝืนข่มกลั้นความวู่วามที่จะตัดใจจากหินดีงูก้อนที่สอง ถามหยั่งเชิงไปว่า “หากมีข้องราชามังกรที่ใหญ่ผิดธรรมดาแบบนั้นจริง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นบรรพบุรุษของเจียวที่มีอายุกี่พันปีก็จงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดีเถอะ นายท่าน เป็นเพราะท่านรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วขวดพวกนั้นไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ใช่ไหม? ไม่เป็นไร นายท่านเก็บเอาไว้เล่นก็ได้ หากไม่ชอบจริงๆ พอไปถึงบ้านเกิดนายท่านแล้วค่อยคืนมันให้กับข้า ส่วนหินดีงูก็ค่อยดูที่อารมณ์ของนายท่านว่าจะให้หรือไม่ให้…”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าไม่มีข้องราชามังกร ต่อให้มี พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”

มิน่าเล่าพอเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยซื้อปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรไปได้ถึงได้รู้สึกผิด นอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงหนึ่งแล้ว ยังมาแสดงคำขอบคุณที่เมืองหลวงต้าสุยด้วยตัวเองอีกด้วย

ตอนที่เห็นชายฉกรรจ์ถือข้องจับปลาขายปลาในเมืองเล็ก เฉินผิงอันก็รู้ถึงความไม่ธรรมดาเพียงแค่มองปราดเดียว เหตุใดออกจากน้ำมานานขนาดนั้นแล้ว ปลาหลีตัวนั้นถึงยังสะบัดตัวดีดดิ้นได้อย่างมีชีวิตชีวา แต่หนึ่งเพราะไม่มีเงินจริงๆ ชีวิตที่ขัดสนไม่มั่นคง ไหนเลยจะกล้าใช้เงินส่งเดช? หลังจากเป็นช่างเผาเครื่องปั้นก็พอจะเก็บรวบรวมเงินเหรียญทองแดงได้บ้างเล็กน้อย แต่เฉินผิงอันไม่เคยใช้จ่ายในสิ่งที่เกินความจำเป็น เพราะแค่ซื้อฟืน ข้าวสาร น้ำมันและเกลือก็ยากลำบากอย่างถึงที่สุดแล้ว

สองเพราะถูกเกาเซวียนและผู้เฒ่ามาขวางไว้ก่อน

เฉินผิงอันโยนหินก้อนหนึ่งลงในธารน้ำ ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ไม่ได้เศร้าเพราะสูญเสียโชควาสนาครั้งใหญ่ แต่เพราะรู้สึกว่าภูเขาเงินภูเขาทองหลายลูกได้เดินผ่านตนไปแล้ว

สรุปคือเสียดายเงินนั่นเอง

ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์คนนั้นก็คือหลี่เอ้อร์บิดาของหลี่ไหว หนึ่งในลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถว ตอนนั้นหลี่เอ้อร์ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดแล้ว ต่างจากคนเฝ้าประตูที่มีหน้าที่รับเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง หลี่เอ้อร์มีความรู้สึกที่ดีมากต่อเฉินผิงอัน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมตอนนั้นหลี่เอ้อร์ไม่มอบมันให้เฉินผิงอันโดยตรง นั่นเพราะมีหลักการที่ต้องปฏิบัติอย่างพิถีพิถัน คนที่เดินบนเส้นทางสายหยางเหล่าโถวอาจารย์ของเขาเลื่อมใสในคำว่า “ยุติธรรม” มาโดยตลอด ดังนั้นการที่หลี่เอ้อร์ตั้งราคามั่วๆ ขึ้นมาก็เพื่อให้เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงได้ต่อรองราคา ดูเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงมากกว่า

น่าเสียดายก็แต่มีองค์ชายสกุลเกาต้าสุยมาขวางไว้กลางทาง หลี่เอ้อร์ที่เดิมทีก็ทำผิดกฎอยู่แล้วพลันเกิดใจระแวดระวัง ไม่กล้าบังคับยัดเยียดโชควาสนาค้ำฟ้าให้แก่เฉินผิงอันอีก และหลังจบเรื่อง หยางเหล่าโถวก็ได้สั่งสอนหลี่เอ้อร์ไปแล้ว บอกให้เขารู้ถึงความจริงที่โหดร้ายว่าถ้าเฉินผิงอันรับข้องปลาและปลาหลีตัวนั้นไปจริงๆ เขาจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองเล็กได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่

คลื่นใต้น้ำที่เกิดขึ้นในเมืองเล็ก จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังรับรู้ไม่ทั้งหมด

บนมหามรรคา โชคดีมักจะมาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ เรื่องราวเรื่องหนึ่งจะเป็นมิตรที่เพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะ หรือเป็นศัตรูที่หยิบยื่นถ่านให้กลางหิมะ ไม่มีใครบอกได้ในเวลาสั้นๆ แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

คนทั้งสามออกเดินทางอีกครั้ง ยามค่ำคืนหยุดพักบนยอดเขา แม้เฉินผิงอันจะไม่จำเป็นต้องอยู่ยามแล้ว แต่เขาก็ยังเคยชินที่จะฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งก่อนเข้านอน ต้องเฝ้าอยู่หน้ากองไฟพักหนึ่งถึงจะนอนหลับได้

กลางดึกสงัด บนยอดเขาเงียบกริบไร้สรรพสำเนียง

ข้างกองไฟ เด็กชายชุดเขียวใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปในกองไฟ หันไปกระดิกนิ้วเรียกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “นังเด็กโง่ เจ้ามานี่สิ”

เด็กหญิงที่นั่งพิงหีบหนังสือซึ่งชุยตงซานทิ้งไว้อยู่ห่างไปไกลส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ไป”

เด็กชายชุดเขียวยิ้มตาหยี “ข้าไม่กินเจ้าหรอกน่า”

ตีให้ตายเด็กหญิงก็ไม่ยอมขยับเข้าใกล้

เด็กชายชุดเขียวโมโห “ถ้าไม่มา ข้าจะกินเจ้าจริงๆ แล้วนะ! เป็นอะไรของเจ้า พูดดีๆ ไม่ยอมฟัง อยากจะโดนตีก่อนหรือไง?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงได้แต่ปลุกความกล้าขยับเข้าไปนั่งตรงข้ามกับกองไฟ

เขาเอ่ยถาม “เจ้าว่านายท่านเป็นคนธรรมดาที่น่าเบื่อมากคนหนึ่ง ทำไมถึงมีลูกศิษย์ที่โหดร้ายน่ากลัวอย่างคนผู้นั้นได้?”

นางครุ่นคิด “นายท่านมีจิตใจเมตตา คนทำดีย่อมได้ดี”

เด็กชายหัวเราะหยัน “ทำความดีกินแทนข้าวได้หรือ?”

นางย่นคอ

เขาพูดแดกดัน “เสียแรงที่เป็นปีศาจมีตบะถึงขั้นห้า แถมยังพอจะมีความสามารถที่พิเศษอยู่บ้าง เจ้าช่วยมีความกล้าหาญหน่อยได้ไหม?”

คราวนี้นางมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ จึงโต้กลับไปเบาๆ “ตอนที่เจ้าถูกผู้อาวุโสไท่ซ่างของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ไล่ฆ่าไปสองพันลี้ ทำไมไม่เห็นเจ้ามีความกล้าบ้างเลย?”

หาได้ยากที่เด็กชายชุดเขียวไม่โมโห ยังคงอธิบายด้วยความอดทน “ข้าไม่ได้กลัวหญิงชราสูงวัยผู้นั้นสักหน่อย นางช่างน่าไม่อายจริงๆ อายุตั้งปูนนั้นแล้วยังจะโปะผงประทินโฉมลงบนหน้าหนาขนาดนั้น นายท่านอย่างข้าคือวีรบุรุษที่ยากจะต่อกรกับศัตรูด้วยสองมือ หากกินยายแก่ผู้นั้นก็เท่ากับสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนทั้งพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ ถึงเวลานั้นย่อมเดือดร้อนไปถึงสหายเทพวารีของข้า ข้าคงรู้สึกผิดมาก”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแอบหันหน้าไปเหลือกตามมองสูงทางอื่น

นางกล้าทำเพียงเท่านี้

เด็กชายชุดเขียวโมโหปรี๊ด “นังเด็กโง่เจ้าจะก่อกบฏงั้นรึ?! สามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา! อาศัยว่ามีนายท่านผู้เฒ่าของข้าให้ท้าย เลยไม่เห็นนายท่านใหญ่อย่างข้าอยู่ในสายตาใช่ไหม?”

นางตกใจจึงจะตะโกนเรียกเฉินผิงอัน

เด็กชายชุดเขียวรีบโบกมือบอกเป็นนัยไม่ให้นางวู่วาม เขาถอนหายใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อพูด “นายท่านผู้เฒ่าของเราเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสอง แม้จะบอกว่ามีฝีมือพอๆ กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามแล้ว แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้ดีว่ายังอ่อนด้อยอยู่มาก อีกอย่างดูจากการกินอยู่ คำพูดและการกระทำของเขาก็ไม่เหมือนเด็กที่มาจากตระกูลใหญ่ เขาจะมีภูเขาห้าลูกอยู่ที่บ้านเกิดจริงๆ หรือ? แล้วยังจะมีหินดีงูมากมายขนาดนั้นด้วย? เจ้าคนอำมหิตผู้นั้นจะแกล้งหลอกพวกเราหรือเปล่า? หรือเขาคิดจะพาพวกเราไปอยู่ในภูเขาลูกเล็กๆ?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูห่อตัว มองไปทางเปลวเพลิงที่นางคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิดด้วยความรู้สึกอบอุ่นสุขสบายไปทั้งร่าง ตอบเสียงแผ่ว “ข้ายังไงก็ได้ ลูกหลานสกุลเฉาสองรุ่นในจวนจือหลันล้วนมีจิตใจชั่วร้าย ทำผิดต่อการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่บรรพบุรุษของพวกเขาสร้างและรักษาไว้อย่างยากลำบาก เดิมทีข้าก็ไม่ชอบพวกเขาอยู่แล้ว กลับบ้านเกิดไปพร้อมกับนายท่าน ดีจะตายไป”

เด็กชายชุดเขียวตีหน้าเคร่ง ไม่ยิ้มหน้าเป็นไร้แก่นสารอย่างเวลาปกติ ทอดถอนใจเสียงเบา “สกุลเฉาเดินทางผิดจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ต้องทำอย่างนี้ ได้กลายเป็นเทพเซียน ใครบ้างที่ยังเต็มใจอ่านตำราเข้าร่วมการสอบ ประโยคที่ว่าเฝ้ารักษาคุณความดีแห่งตน เมื่อบรรลุผลอย่าหลงลืมส่งผ่านความดีงามสู่แผ่นดินอะไรนั่นเป็นแค่ประโยคที่อริยะลัทธิขงจื๊อเอามาหลอกผู้คนเท่านั้น อยู่ในแม่น้ำมานานขนาดนี้ ข้าได้เห็นความโชคร้ายของพวกบัณฑิตมามากมาย ไม่พูดถึงคนอื่น เอาแค่พวกผู้ว่าฯ หรือเจ้าเมืองที่เมื่อพบเจอกับสหายเทพวารีของข้า ก็ยังทำตัวเหมือนสุนัขรับใช้ยิ่งกว่าตอนเจอกับพวกขุนนางในเมืองหลวงเสียอีก ขอแค่มีผู้ฝึกตนทำผิดก็จะตรงดิ่งไปขอความช่วยเหลือจากสหายของข้าทันที หากสหายข้าอารมณ์ไม่ดีก็จะให้พวกเขารออยู่นอกศาลสองสามวัน ขุนนางเหล่านั้นไม่มีใครกล้าผายลมแม้แต่คนเดียว กระจอกชะมัด”

 เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูขยับปากแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายนางเลือกที่จะเงียบเสียง

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคัก “นายท่านผู้เฒ่านอนหลับแล้ว แต่นายท่านใหญ่ยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ค่ำคืนวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง…นังเด็กโง่ เจ้าลองมาเป็นเมียข้าดีไหมล่ะ?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพลันตาแดงก่ำ สบถด่า “เจ้าอันธพาลตัวเหม็น!”

เด็กชายชุดเขียวถลึงตากลับ “หมายความว่าไง? นี่คือวาสนาใหญ่เทียมฟ้า หลุมศพบรรพบุรุษเจ้ามีควันเขียวลอยขึ้นแล้ว (เปรียบเปรยถึงลางดี) รู้หรือไม่?! เจ้าคิดว่าข้าชอบเจ้าจริงๆ หรือไง? หากไม่เป็นเพราะหวังในหินดีงูที่ยังไม่ได้มาอยู่ในมือของเจ้า…”

นางลุกขึ้นยืนทันที “ข้าจะไปฟ้องนายท่าน!”

เขาจึงได้แต่ยอมถอยให้อีกครั้ง โบกมือพัลวัน “อย่าทำแบบนี้สิๆ พวกเรามาสาบานเป็นพี่ชายกับน้องสาวกันดีไหม? เมื่อสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ของของเจ้าก็คือของของข้า ของของข้ายังคงเป็นของของข้า…”

คราวนี้นางสะพายหีบหนังสือเดินหนีเสียเลย

เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืน เท้าเอวหัวเราะเสียงดัง หลังหยุดหัวเราะแล้วก็เบ้ปาก พึมพำอย่างหมดสนุก “สมกับเป็นเด็กโง่จริงๆ”

เด็กชายชุดเขียวออกวิ่งไปทางริมหน้าผา แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง “คนเกิดมาบนฟ้าดิน เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนผ่านทางที่เดินทางอย่างเร่งร้อน! นายท่านใหญ่จะพาเด็กโง่ติดตามนายท่านผู้เฒ่ากลับบ้านแล้ว!”

มุมปากของเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไกลซึ่งเดิมทีควรหลับสนิทตวัดขึ้นเป็นรอยโค้ง แล้วถึงได้หยุดโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุด เริ่มนอนหลับจริงๆ

 —–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset