ตอนที่ 192.2 ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย

บทที่ 192.2 ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย
โดย

ตัวอักษรของหลี่ซีเซิ่งเป็นระเบียบอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับรูปแบบที่ ‘เรียบง่ายน่าเบื่อ’ บนเทียบยาสองสามแผ่นของนักพรตเต๋าลู่เฉินแล้ว แม้จะคล้ายคลึงกัน แต่ความศักดิ์สิทธิ์กลับไม่เหมือนกัน

ทว่าเฉินผิงอันเองก็อธิบายไม่ถูกว่าไม่เหมือนกันอย่างไร เพียงแค่สัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์อย่างไร้คำบรรยายเท่านั้น

หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็เขียนแต่ละประโยคที่ตัวเองคิดว่าเป็นบทกลอน คำสอนของอริยะปราชญ์ แก่นแท้ในตำราลัทธิเต๋าและความรู้ของร้อยสำนักที่ ‘งดงาม’

หากเป็นตำแหน่งสูง หลี่ซีเซิ่งจะเขย่งปลายเท้าขึ้นเขียน หากเป็นตำแหน่งต่ำจะก้มตัวลง เดี๋ยวๆ ก็ขยับเท้า เดี๋ยวๆ ก็เป่าลมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ปลายพู่กัน ขณะที่กำลังเขียนอย่างเพลิดเพลินก็ถึงกับบอกให้ชุยชื่อเด็กรับใช้ลงจากเรือนไปหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่มา แล้วตัวเองก็ยืนบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ตวัดพู่กันเขียนอย่างฮึกเหิม หรือไม่ก็นั่งลงบนพื้นเขียนอย่างสง่างามเปี่ยมไปด้วยความเป็นตัวของตัวเอง

เขาเขียนประโยคที่กล่าวว่าไม่กล้าเอ่ยเสียงดัง เพราะกลัวว่าจะรบกวนเทพเทวดาบนสวรรค์ เขาเขียนประโยคที่บอกว่าคิดจะทำลายรังโจรนั้นง่าย แต่คิดจะทำร้ายด้านมืดในจิตใจคนนั้นยาก

เขียนประโยคที่บอกว่ามนุษย์คือพระพุทธรูปที่ยังไม่ตื่น พระพุทธรูปคือมนุษย์ที่ตื่นแล้ว เขาเขียนประโยคบรรยายเสียงแจวเรือที่ดังมาจากน้ำสีเขียวมรกต และยังเขียนประโยคที่ว่าวิถีของอาจารย์ก็คือความซื่อสัตย์

เมื่อเฉินผิงอันยังไม่พูดว่า ‘ข้าเข้าใจแล้ว’ หลี่ซีเซิ่งก็เขียนไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ทุกตัวอักษรล้วนเขียนเสร็จอย่างว่องไว เขียนเสร็จแล้วจะมีแสงสีทองเปล่งวาบบนผนังไม้ไผ่หนึ่งทีแล้วสลายหายไป แต่ความหมายของมันคงอยู่ยาวนาน สืบสานไม่ขาดสาย

เด็กชายชุดเขียวกระโดดลงมาจากราวระเบียงแล้ว เขาเดินมากระซิบถามเบาๆ ข้างหูเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “เขาเขียนอะไร?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกดเสียงเบาตอบกลับ “ข้ารู้ตัวอักษร แต่ไม่เข้าใจความหมาย มัน…ยิ่งใหญ่เกินไป”

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ “ก็เจ้าโง่นี่นา”

ชุยชื่อหันมาถลึงตาใส่ ทั้งยังพูดสั่งสอน “ห้ามรบกวนตอนอาจารย์เขียนตัวอักษร!”

เด็กชายชุดเขียวเบ้ปาก “ที่นี่คือบ้านของข้า หากเจ้ายังพูดมากอีก ระวังข้าจะทำให้เจ้าต้องหอบเสื่อไสหัวกลับบ้าน”

ชุยชื่อกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้ามีตาแต่ไม่มีแวว ถึงได้มองไม่เห็นความลำบากของอาจารย์ข้า”

เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนกอดอก เอนหลังพิงราวระเบียง เอ่ยเย้ยหยัน “แล้วเจ้ายุ่งอะไรกับข้าด้วย? นายท่านข้าต่างหากที่ถึงจะมีสิทธิ์มาสั่งสอนข้าเรื่องพวกนี้”

หลี่ซีเซิ่งเขียน เฉินผิงอันอ่าน ทั้งสองต่างก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงทะเลาะเบาๆ ที่ดังขึ้นด้านหลัง

ฟ้ามืดแล้ว หลี่ซีเซิ่งมายืนอยู่สุดปลายทางของระเบียงอีกด้านแล้ว เวลานี้เขาถึงหยุดมือ ถามยิ้มๆ “เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเจื่อน

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร พวกเราลงไปข้างล่างกัน”

ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงพากันลงมาที่ชั้นล่างของหอไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกับเด็กหนุ่มชุยชื่อช่วยถือเทียนไขส่องสว่างให้กับตัวอักษร

แม้ว่าปากของเด็กชายชุดเขียวจะบ่นพึมพำไม่หยุด แต่กลับมองตาไม่กะพริบอย่างตั้งใจ

ขงจื๊อทอดถอนใจอยู่ข้างลำน้ำ “เวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่าน ทั้งวันและคืนไม่มีเคยหยุดพัก”

วันเวลาของวันนี้ก็คือเช่นนี้เอง

ชุยชื่อพลันสะบัดมือที่ถือเทียน ที่แท้เทียนไขก็เผาไหม้หมดแล้วจึงลามมาถึงนิ้วมือของเขา

เด็กหนุ่มหน้าตางามประณีตเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่อย่างเงียบเชียบ

เมื่อหลี่ซีเซิ่งเขียนถึงสี่คำว่า ‘เผาจดหมายทำลายตราประทับ’ เฉินผิงอันก็หลุดปากพูดว่า “ไม่ถูก”

หลี่ซีเซิ่งหยุดเขียน หันมามองเฉินผิงอันแล้วหัวเราะฮ่าๆ  “นี่สิถึงจะถูก!”

ใบหน้าของบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อซีดขาวเล็กน้อย ความอ่อนล้าฉายชัดอยู่ทั่วไปหน้า แต่สายตาของเขากลับเป็นประกายวาววับ

หลี่ซีเซิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยืดแขนบิดขี้เกียจ ยื่นพู่กันที่อยู่ในมือส่งให้กับเด็กหนุ่ม “เฉินผิงอัน เหล็กหมาดลมหิมะด้ามนี้ ข้ามอบให้เจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ดูถูกมัน”

เวลานี้เฉินผิงอันถึงนึกถึงปมปัญหาขึ้นมาได้ “ข้าไม่อาจฝึกตน เป็นผู้ฝึกลมปราณไม่ได้ การเขียนยันต์จำเป็นต้องใช้ปราณวิญญาณช่วยเสริม แล้วข้าจะเขียนยันต์วิเศษสักแผ่นหนึ่งได้อย่างไร?”

หลี่ซีเซิ่งเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยการอธิบายช้าๆ พร้อมรอยยิ้ม “ภาพยันต์ที่ข้าจะมอบให้เจ้าหลังจากนี้มียันต์วิเศษหลากหลายชนิดก็จริง แต่ระดับกลับไม่สูงมากนัก ดังนั้นยันต์หลายแบบจึงมีข้อเรียกร้องต่อปราณวิญญาณไม่สูงมาก แต่ก็มีข้อเรียกร้องต่อช่องโพรงลมปราณที่เกี่ยวข้องในระดับหนึ่งแน่นอน การวาดยันต์ของเจ้าก็เหมือนกับการฝึกวรยุทธ์ที่แค่ใช้วิธีการแตกต่างไปจากเดิม ผู้ฝึกยุทธ์เองก็มีลมปราณที่แท้จริง แล้วก็เพราะว่ามันตรงข้ามกับต้นทุนโชคชะตาของผู้ฝึกลมปราณอย่างสิ้นเชิง ยันต์ทุกแผ่นที่เขียนจึงกลายมาเป็นการทดสอบสั้นๆ ครั้งหนึ่ง คือการปะทะกำลังทหารบนสมรภูมิรบในช่วงสั้นๆ เมื่อเจอกันบนเส้นทางคับแคบ ผู้กล้าจึงเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจำเป็นต้องรวบรวมลมปราณเฮือกหนึ่งเขียนยันต์หนึ่งแผ่นด้วยความเร็วที่มากที่สุดและมั่นคงที่สุด หาไม่แล้วต่อให้พลาดไปแค่จุดเล็กๆ ก็ยังไม่สามารถเขียนยันต์ได้สำเร็จอยู่ดี ขอแค่เจ้ายืนหยัดตั้งมั่น นานวันเข้า น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน การวาดยันต์ก็จะไม่ใช่แค่การวาดยันต์อีกต่อไป แต่จะช่วยเจ้าหล่อหลอมเรือนกาย ฝึกปรือจิตวิญญาณโดยที่เจ้ามองไม่เห็น”

เฉินผิงอันรับพู่กันมาพลางผงกศีรษะรับ “เข้าใจแล้ว!”

ม่านราตรีมืดดำ

หลี่ซีเซิ่งหันหน้าออกไปมองข้างนอก “จากลากันครั้งนี้…”

หลี่ซีเซิ่งไม่ได้พูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาจนหมด เพียงขับไล่ความกลัดกลุ้มเล็กน้อยนั่นออกไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เดิมทีข้าก็อยากออกไปดูโลกภายนอกอยู่แล้ว ก็แค่ไปเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่ได้เลวร้ายอะไร”

หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็ไม่ได้เลือกค้างคืนที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่พาเด็กหนุ่มชุยชื่อเดินลงเขาไปตอนกลางคืนนั้นเลย

บัณฑิตหนุ่มถึงขั้นไม่ยอมให้เฉินผิงอันไปส่งที่ตีนเขาด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันยืนอยู่นอกเรือนไม่ไผ่ รู้สึกเศร้าใจกับการจากลา

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคัก “นายท่าน เจ้าหมอนี่ไม่เลวเลยจริงๆ มรรคาถาสูงส่ง มีคุณธรรม มีน้ำใจ ข้าชอบ! เขามีคุณสมบัติจะกลายมาเป็นสหายของข้า”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายินดี แล้วเขาล่ะยินดีไหม?”

เด็กชายชุดเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงโอหัง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่ไม่เต็มใจเป็นสหายของข้าอีก? เขาโง่ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เขาโง่หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าโง่หรือไม่”

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะเสียงดังอย่างลำพองใจ “นายท่าน แน่นอนว่าข้าต้องฉลาดล้ำเลิศ”

สายตาที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันไปมองเพื่อนร่วมเดินทางทอประกายเวทนา ก่อนหน้านี้แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีพฤติกรรมดุร้าย นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิด แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับรู้สึกว่าแท้จริงแล้วเขาโง่อย่างมาก

เด็กชายชุดเขียวสัมผัสได้ถึงสายตาของนางอย่างเฉียบไวจึงเอ็ดตะโรขึ้นมา “นังเด็กโง่ เจ้าไม่เห็นด้วยรึ? พวกเรามาสู้กันตัวต่อตัวเลย!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไปหลบอยู่ข้างหลังเฉินผิงอัน

นางไม่ได้โง่สักหน่อย

……

แสงจันทร์ขมุกขมัว หลี่ซีเซิ่งพาเด็กหนุ่มเดินลงจากภูเขาไปช้าๆ หลังเดินออกจากขอบเขตของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็แวะวักน้ำล้างหน้าตรงริมลำธารแห่งหนึ่งเพื่อช่วยปลุกสติให้แจ่มชัด เพราะอย่างไรซะทุกครั้งที่ตวัดพู่กันก็ล้วนต้องรวบรวมสมาธิในการเขียน ซึ่งเผาผลาญแรงกายแรงใจไปมาก

หลี่ซีเซิ่งเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าฝั่งตรงข้ามลำธารมีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังยืนสูบยาคำใหญ่

หลี่ซีเซิ่งจึงลุกขึ้นยืน คารวะพลางกล่าวว่า “หลี่ซีเซิ่งคารวะท่านผู้เฒ่าหยาง”

ผู้เฒ่าเบี่ยงตัวหลบการคารวะจากบัณฑิตหนุ่มอย่างไม่กระโตกกระตาก

รอจนหลี่ซีเซิ่งยืดตัวขึ้นตรงแล้ว หยางเหล่าโถวจากร้านยาถึงกล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยทำนายชะตาให้เฉินผิงอัน จะได้หรือไม่?”

หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับโดยไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา”

หยางเหล่าโถวอืมรับหนึ่งที “หลังจบเรื่องข้าย่อมมีค่าตอบแทนให้”

หลี่ซีเซิ่งไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพียงให้คำตอบโดยตรงว่า “เดินตรงบนมหามรรคา มีภูเขาเปิดภูเขา มีน้ำข้ามน้ำ ให้ดีควรรีบเดินทางไกล ทิศแห่งชัยอยู่ที่ทักษิณ”

หยางเหล่าโถวพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้า”

แม้หลี่ซีเซิ่งจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

หยางเหล่าโถวปรายตามองยันต์ไม้ท้อตรงเอวบัณฑิตหนุ่มด้วยสีหน้าซับซ้อน แสงเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็สลายหายไปตามควัน ที่แท้ผู้เฒ่าก็เป็นเพียงควันสีม่วงกลุ่มหนึ่ง

คนทั้งสองออกเดินทางต่ออีกครั้ง

ชุยชื่อเอ่ยถาม “อาจารย์ หากท่านต้องเดินทางไกล พาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้ม “ได้สิ”

เด็กหนุ่มตื่นตะลึงอย่างยิ่ง “หา?”

เดิมทีนึกว่าการจะทำให้อาจารย์รับปากเรื่องนี้นั้นยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ไม่เคยคิดเลยว่าจะง่ายยิ่งกว่าเดินลงภูเขาซะอีก?

หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเบาๆ “เพราะมีคนต้องการให้เจ้าติดตามข้า ส่วนตัวข้าเองก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ดี”

เด็กหนุ่มเงียบงันไปนาน เขาก้มหน้าลง อารมณ์ค่อนข้างห่อเหี่ยว “อาจารย์ ข้าอยากรู้ว่าข้ามาจากที่ไหน”

หลี่ซีเซิ่งถอนหายใจ “แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สู้ลองไตร่ตรองให้ชัดเจนว่าจะไปที่ไหนก่อนดีกว่า”

เด็กหนุ่มพลันอารมณ์ดี “ข้ายังจะไปที่ไหนได้อีก ก็แค่ติดตามท่านอาจารย์ไปอย่างเดียวเท่านั้น อาจารย์ไปไหนข้าก็ไปนั่น!”

หลี่ซีเซิ่งเพียงแต่ยิ้มให้เขา ไม่เอ่ยอะไร

แสงจันทร์ส่องสกาว แสงดาวพราวพร่าง อารมณ์เบิกบานแจ่มใส การได้พบท่าน นับเป็นเรื่องงดงาม

เด็กหนุ่มสัมผัสถึงอารมณ์ของอาจารย์ได้อย่างชัดเจน เขาจึงอารมณ์ดีตามไปด้วย ระหว่างเดินลงจากเขา ฝีเท้าของเขาแผ่วเบาว่องไว เปี่ยมไปด้วยความลิงโลด

……

เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งคืน ภูเขาลั่วพั่วก็ถูกกดทับให้ยุบลงมาช้าๆ หนึ่งฉื่อกว่า

เว่ยป้อยืนอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งในบริเวณใกล้เคียง จับตามองภูเขาลั่วพั่วที่ลดระดับลงทีละนิดอย่างไม่คลาดสายตา

ที่แท้บนโลกก็มีตัวอักษรที่หนักอึ้งได้ถึงเพียงนี้

เว่ยป้อกล่าวยิ้มๆ “ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ ขนาดข้ายังรู้สึกใคร่รู้ หลี่ซีเซิ่งเจ้าเป็นเทพเจ้าจากไหนกันแน่ ต้นอบเชยของสกุลเฉินต้นนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเป็นใครไปได้?”

ในขณะช่วงเปลี่ยนผลัดระหว่างกลางคืนและกลางวัน เว่ยป้อทอดสายตามองไปทางเรือนไม้ไผ่อีกครั้งอย่างอดไม่ได้

แสงจันทร์และแสงอาทิตย์ตัดสลับส่องแสง ขับดุนจุดเด่นของกันและกัน

……

นอกเรือนไม้ไผ่ ในเมื่อไม่รู้สึกง่วง เฉินผิงอันสามคนจึงนั่งเรียงกันบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รอให้ฟ้าสางไปพร้อมๆ กัน

เฉินผิงอันพลันหันไปถามเด็กชายชุดเขียว “หินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งแลกกับหนึ่งหมื่นตำลึงเงินจากเจ้า ขายแพงเกินไปหรือไม่?”

เด็กชายชุดเขียวสีหน้าอึ้งค้าง

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบายใจนัก “แพงไปหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวเต้นผาง “แค่หนึ่งหมื่นตำลึง? นายท่าน ท่านกำลังดูหมิ่นข้าอยู่งั้นหรือ?!”

เฉินผิงอันค่อยโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หนึ่งหมื่นหนึ่งพันตำลึง?”

เด็กชายชุดเขียวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นายท่าน หากท่านยังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะหนีออกจากบ้านจริงๆ แล้ว!”

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง เพียงถามอย่างใคร่รู้ “เวลาที่คนฝึกตนบนภูเขาแลกเปลี่ยนกัน ใช้เงินอะไร?”

เด็กชายชุดเขียวหัวเราะหึหึ “นายท่าน ท่านรอก่อน ข้าจะให้ท่านได้ดูเงินทองที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กัน สมบัติข้ามหาศาลนักล่ะ!”

เด็กชายชุดเขียวโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง วัตถุฟางชุ่นที่เขาพกติดตัวก็แสดงความลี้ลับให้เห็น เสียงพรวดๆๆ ดังเหมือนเสียงฝนตกได้พักหนึ่ง บนพื้นก็มีแต่เพชรนิลจินดากองกันเป็นภูเขา ทั้งหมดล้วนถูกแกะสลักให้มีลักษณะเหมือนเหรียญทองแดง หลักๆ แล้วมีอยู่ประมาณสามรูปแบบ ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันออกไป

เขานั่งยองบนพื้น เริ่มอธิบายความเป็นมา รวมไปถึงความต่างด้านมูลค่าของอัญมณีแต่ละชนิดให้เฉินผิงอันฟัง

นี่ก็คือเงินที่เทพเซียนใช้กัน!

เฉินผิงอันทาสเฝ้าทรัพย์ (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบเงินทองเป็นชีวิต) รีบลุกจากเก้าอี้มานั่งยองอยู่ข้างภูเขาเงิน ตั้งใจฟังเด็กชายชุดเขียวอธิบายอย่างละเอียด

สุดท้ายเฉินผิงอันโพล่งประโยคหนึ่งออกมา “ข้าอยากจะยกภูเขาเป่าลู่ให้แม่นางหร่วน พวกเจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาปริบๆ อย่างทำตัวไม่ถูก

เด็กชายชุดเขียวคุกเข่าลงบนพื้นดังตุ้บ “นายท่าน ท่านไม่เสียดายหรือ? ต้องหักห้ามใจ ต้องหักห้ามใจให้ได้! ข้าขอร้องนายท่านโปรดอย่าได้วู่วามเด็ดขาด แม่นางซิ่วซิ่วคือแม่นางที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว ข้อนี้ข้าไม่ปฏิเสธ  แต่จะอย่างไรซะนายท่านก็ยังไม่ได้แต่งนางเข้าบ้านนะ!”

เฉินผิงอันไม่ถือสาคำพูดเหลวไหลเรื่องแต่งไม่แต่งอะไรที่อีกฝ่ายพูดถึง เพียงส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่เสียดาย”

เด็กชายชุดเขียวคร่ำครวญหวนไห้ “แต่ข้าเสียดายนี่นา!”

 —–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset