ตอนที่ 208 ไปล่ะ

บทที่ 208 ไปล่ะ
โดย

เฉินผิงอันหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

บุรุษไม่ได้สวมงอบแล้ว

เฉินผิงอันเหม่อมองบุรุษผู้นี้พลันพูดอะไรไม่ออก

สองบ่าวชุนสุ่ยและชิวสือสะดุ้งโหยง รู้สึกโมโหที่คนผู้นี้ทำตัวเหลวไหลไม่ยอมทำตามกฎ

เรือคุนก็คือ ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ แห่งหนึ่งจึงมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นห้ามต่อสู้กันเอง หากมีข้อพิพาทจำเป็นต้องแจ้งให้แก่ผู้ดูแลเรือคุนทราบ ไม่สามารถใช้เวทคาถาได้โดยพลการ หากมีมนุษย์ธรรมดาขึ้นมาบนเรือ ห้ามรังแกตามใจชอบ เป็นต้น กฎเกณฑ์แต่ละข้อล้วนยิบย่อย เพียงแต่ว่าสำนักที่มีศักยภาพมากพอให้ซื้อตั๋วขึ้นเรือคุนเพื่อทำการค้าข้ามทวีปล้วนเป็นกองกำลังบนภูเขาอันดับต้นๆ โดยทั่วไปแล้วบนเรือทุกลำจะต้องจัดให้มีนักพรตและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวระดับสูง ขณะเดียวกันก็จ้างผู้ฝึกตนอิสระที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามาไว้เป็นจำนวนมาก นี่คือสิ่งสำคัญในสำคัญอีกที เพราะหากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว กฎเกณฑ์นั้นตายตัว หมัดต่างหากถึงจะมีชีวิตจริง

ด้วยเหตุนี้ในระเบียงแต่ละเส้น บนผนังแต่ละด้านจึงมีการเอากิ่งไม้ใบไม้มาประดับตกแต่งเพื่อให้เป็นที่พักพิงของวัตถุวิเศษชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่าจักจั่นกาลเวลา มันไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนได้ทั้งวันและคืน สามารถจับภาพเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้ได้ และริ้วคลื่นลมปราณที่เล็กละเอียดที่สุดก็ล้วนหนีไม่พ้นการรับสัมผัสของพวกมัน หากจักจั่นกาลเวลาถูกคนฆ่าตายก็จะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนบาดหู ดังนั้นเรือคุนจึงใช้มันในการจับตามองพวกโจรขโมยต่างๆ

ต้องรู้ว่าในบรรดาผู้ฝึกลมปราณก็มีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกัน อีกทั้งการฝึกตนนี้ ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจมักจะขยายกว้างไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีวิชาคาถาชั้นดีแบบถูกต้องตามหลักช่วยในการสงบจิตใจก็มักจะเดินไปในเส้นทางที่สุดโต่งเสมอ ได้แต่อาศัยความชื่นชอบของตัวเองในการลงมือทำเรื่องต่างๆ อย่างกำเริบเสิบสาน บวกกับที่เดิมทีการฝึกตนก็เป็นเหมือนถ้ำที่ไร้ก้น แม้จะมีภูเขาเงินภูเขาทองก็ถูกผลาญได้เกลี้ยงอยู่ดี หากคนไม่มีช่องทางทำเงินเพิ่มเติมย่อมไม่มีทางรวย อีกอย่างก็คือหลักการแสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดคนที่มีจิตใจชั่วร้าย

เฉินผิงอันร้องหึหนึ่งที จากนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุข

เขาก็คืออาเหลียง

บุรุษมีท่าทางมอมแมม เปลือยเท้า ชายแขนเสื้อม้วนขึ้น สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่สายตาเป็นประกายเจิดจ้า พลังอำนาจเปี่ยมล้น

นี่แตกต่างไปจากบุรุษที่จูงลาพกดาบไม้ไผ่ในเวลานั้นอย่างมาก ตอนนั้นบุรุษที่เรียกตัวเองว่าอาเหลียงเอ้อระเหยลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัย ชอบพูดเย้าแย่ ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาเป็นคนขี้โม้ อาศัยพึ่งพาอะไรไม่ได้ แต่เวลานี้บุรุษไม่ได้สวมงอบเหมือนตอนที่เดินทางในยุทธภพ ไม่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงิน แม้แต่ดาบไม้ไผ่ก็ยังไม่มี เมื่อเขามาโผล่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันกะทันหัน ตอนอยู่ขอบเขตสอง เฉินผิงอันมองตื้นลึกหนาบางของอาเหลียงไม่ออก ถึงขั้นรู้สึกว่าจูเหอก็อาจจะประมือกับอาเหลียงได้

แต่เมื่อเปลี่ยนจากขอบเขตสองมาเป็นขอบเขตสาม ต่างกันแค่ขอบเขตเดียว พอมามองอาเหลียงอีกครั้ง เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับท่านปู่ของชุยฉานในเรือนไม้ไผ่ที่ทรงพลังน่าเกรงขาม อาเหลียงที่อยู่ตรงหน้ามีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีด้อยกว่า แต่ก็เพราะอาเหลียงลงมือน้อยครั้ง เฉินผิงอันจึงยังคงมองอะไรไม่ออก

แต่นี่จะสำคัญตรงไหนล่ะ? ได้พบกับอาเหลียงอีกครั้งเร็วขนาดนี้ เฉินผิงอันหัวเราะแล้วก็…อยากจะดื่มเหล้ายิ่งนัก

อาเหลียงยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง เห็นคู่พี่น้องฝาแฝดชุนสุ่ยชิวสือแล้วดวงตาก็เปล่งประกายวาบ รีบเอนตัวพิงราวระเบียง วางท่าที่ตัวเองคิดว่าสง่างามมากที่สุด เอามือข้างหนึ่งทาบบนหน้าผาก จากนั้นก็ปัดเส้นผมขึ้นด้านบน “แม่นางทั้งสอง สวัสดี ข้าชื่ออาเหลียง ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

ชุนสุ่ยมีนิสัยหนักแน่นมั่นคงจึงไม่ได้เอ่ยอะไรโต้ตอบ แต่น้องสาวชิวสือกลับมีนิสัยที่ค่อนข้างใจร้อนโผงผาง อีกอย่างชายตรงหน้าผู้นี้ก็ทำผิดกฎก่อน เด็กสาวที่มีชื่อว่า ‘ชิวสือ’ แต่กลับมีเรือนกายเพรียวบางขมวดคิ้วถามด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร บนเรือคุนลำนี้ของพวกเรา นอกจากเจอเหตุการณ์คับขันกลางทะเลเมฆ หาไม่แล้วก็ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารคนใดใช้เวทคาถา ยิ่งไม่อนุญาตให้บุกเข้ามาในห้องคนอื่นโดยพลการ!”

กล่าวจบเด็กสาวก็หัวเราะพรืด “ยังจะบอกว่าชื่ออาเหลียง ทำไม เจ้าก็คือเทพเซียนใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้าคนนั้นน่ะหรือ หากใช่จริงๆ เจ้าจะยอมรับข้าเป็นลูกศิษย์หรือไม่? ข้าขอร้องเจ้าล่ะ”

อาเหลียงหัวเราะชั่วร้าย “ข้าเดินทางอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยรับลูกศิษย์อย่างจริงจังสักคน ช่วยไม่ได้ เวทกระบี่สูงเกินไปก็ย่อมทำให้คนอื่นละอายใจที่สู้ไม่ได้ ถึงขนาดไม่กล้ามีความคิดจะกราบข้าเป็นอาจารย์ แม่นางน้อย เจ้าเป็นคนแรกที่พูดตรงขนาดนี้ ข้าชอบ!”

ชิวสือกำลังจะพูดเสียดสีต่อ แต่ถูกพี่สาวชุนสุ่ยจับข้อมือเบาๆ จะอย่างไรแล้วชิวสือก็เป็นบ่าวของเรือนอักษรเทียนที่ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แม้จะโมโหที่ชายตรงหน้าไม่รักษากฎและพูดจาลื่นไหลส่งเดช แต่สุดท้ายก็ยังหยุดคำพูดที่มารออยู่ตรงปากเอาไว้ ชุนสุ่ยละเอียดรอบคอบกว่าชิวสือมาก จะอย่างไรซะบุรุษตรงหน้าก็เป็นสหายของแขกสูงศักดิ์อย่างเฉินผิงอัน อีกทั้งยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อฟ้าดิน เรือคุนแห่งภูเขาต่าเจี้ยวของพวกนางต้องรักษากฎก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นคร่ำครึตายตัว หาไม่แล้วกิจการที่ได้น้ำร้อนน้ำชามาเป็นกอบเป็นกำนี้คงถูกคนอื่นแย่งชิงไปนานแล้ว เมื่อออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ปรองดองก่อเกิดทรัพย์คือหลักการที่ใช้ได้ดีเสมอ

ชุนสุ่ยหันไปมองเฉินผิงอันก่อน นางถามยิ้มๆ ว่า “คุณชาย ท่านผู้นี้…อาเหลียงคือเพื่อนของท่านใช่ไหม? เป็นแขกที่อาศัยอยู่ห้องอื่นบนเรือหรือเปล่า?”

ตอนที่พูดว่าอาเหลียง ชุนสุ่ยรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย

ส่วนข้อที่ว่าอาเหลียงผู้นี้ก็คืออาเหลียงคนนั้น ตีให้ตายชุนสุ่ยก็ไม่เชื่อ ก็เหมือนกับว่าหากวันหนึ่งมีคนยากจนจากตรอกเน่าเหม็นเต็มไปด้วยขี้หมาซึ่งมีชื่อเดียวกับเศรษฐีอันดับหนึ่งของหนึ่งทวีปเดินขึ้นเรือมา ใครจะรู้สึกว่าเขาก็คือเศรษฐีอันดับหนึ่งที่สูงส่งเกินจะป่ายปีนผู้นั้น?

เฉินผิงอันตอบแค่ว่า “เขาคือเพื่อนของข้า”

เมื่อเห็นว่าชุนสุ่ยยังรอคำตอบของคำถามที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง เฉินผิงอันพลันเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมาจึงตอบยิ้มๆ ว่า “และเขาก็เป็นเพื่อนของเว่ยป้อเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีพวกเราเช่นกัน”

ปริศนาที่ค้างคาอยู่ในใจของเด็กสาวทั้งสองพลันคลายตัว

ที่แท้เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลีในแจกันสมบัติทวีปก็เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ให้นี่เอง มิน่าเล่าขนาดภูเขาต่าเจี้ยวก็ยังต้องให้หน้า

เนื่องจากต้าหลีฮุบพื้นทางทิศเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป แสดงท่าทางของผู้พิชิตจอมเผด็จการ ต่อให้เป็นที่อุตรกุรุทวีปก็ยังได้ยินข่าวเรื่องนี้ บวกกับที่ก่อนหน้าที่ท่าเรือจะถูกสร้างขึ้นบนภูเขาอู๋ถงของต้าหลี เรือคุนก็เคยเดินทางผ่านเหนือพื้นที่ของต้าหลีมาก่อน ชุนสุ่ยและชิวสือคือเด็กสาวที่ภูเขาต่าเจี้ยวให้การอบรมปลูกฝังอย่างตั้งใจ แม้จะไม่ใช่ในด้านของการฝึกตน แต่ในฐานะหนึ่งในหน้าตาของภูเขาต่าเจี้ยวซึ่งสามารถปฏิบัติต้อนรับผู้คนได้อย่างดีไม่มีข้อบกพร่อง ผูกสัมพันธ์ที่ดีกับคนมากมาย ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจถูกตาต้องใจเทพเซียนบนภูเขาคนใด หากถูกรับเป็นภรรยา สำนักของสองฝ่ายก็เท่ากับมีสัมพันธ์ควันธูปต่อกัน และนี่ก็เป็นหนึ่งในความตั้งใจเดิมของภูเขาต่าเจี้ยว

ดังนั้นชุนสุ่ยจึงค่อนข้างจะเข้าใจสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าหลีเป็นอย่างดี

สำหรับน้ำหนักของเทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลี ไม่เพียงแต่ชุนสุ่ยเท่านั้นที่รู้หนักเบา ชิวสือน้องสาวของนางที่นิสัยเปลี่ยนแปลงไวก็รู้ชัดเจนดีเช่นกัน

ในเมื่อมีความสัมพันธ์ชั้นนี้อยู่ ถ้าอย่างนั้นกฎเกณฑ์ของเรือคุนที่เดิมทีก็มีความยืดหยุ่นมากอยู่แล้วจึงผ่อนคลายได้อีก ชุนสุ่ยรีบดึงให้ชิวสือยอบตัวคารวะอย่างอ่อนช้อยทันที จากนั้นก็แยกตัวไปที่ห้องโถงหลัก ทิ้งเฉินผิงอันกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญให้อยู่บนหอชทมทัศนียภาพ หลังจากเดินข้ามธรณีประตูห้องหนังสือไปแล้ว ชิวสือก็เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านพี่ ต้องบอกให้ผู้ดูแลทราบสักหน่อยหรือไม่?”

ชุนสุ่ยส่ายหน้า “ไม่ต้อง อย่าวาดงูเติมหาง หากผู้ดูแลรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้เอามาใช้ประโยชน์ได้ต้องทำให้เรื่องราวใหญ่โตแน่นอน หากชายผู้นั้นเป็นเพื่อนของเทพขุนเขาเหนือต้าหลีจริงๆ ก็อาจจะพูดคุยได้ถูกคอกับนายท่านเจ้าของเรือ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะรังเกียจที่พวกเราสองคนไม่รู้ความ เจ้าคิดดูสิ ใครที่ชอบพูดจาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง?”

ชิวสือฟังความนัยจากประโยคนี้ออก จึงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านพี่ ท่านอยากไปจากภูเขาต่าเจี้ยวหรือเปล่าล่ะ?”

สายตาของชุนสุ่ยอ่อนโยน บิดหูเล็กบางของน้องสาวยิ้มๆ “น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ คนต้องเดินขึ้นสู่ที่สูง วันหน้าเมื่อตัวเองได้ดิบได้ดีแล้วถึงจะสามารถตอบแทนพระคุณเลี้ยงดูของสำนักได้ หาไม่แล้ววันๆ เอาแต่ยกน้ำส่งชา พับผ้านวมซักผ้าให้กับคนประหลาดก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควร หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าพวกเราก็เป็นผู้ฝึกลมปราณเหมือนกัน”

สีหน้าชิวสือกลัดกลุ้ม นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ท่านพี่ เอาเป็นว่าข้าเชื่อฟังท่าน ข้าคร้านจะคิดอะไรมากมายขนาดนั้น”

ชุนสุ่ยโน้มตัวไปกระซิบข้างหูน้องสาว ไม่รู้ว่าเป็นถ้อยคำที่น่าอึดอัดใจอะไรถึงทำให้ชิวสือหน้าแดงแปร๊ดทันที นางอับอายจนยืดตัวขึ้นตรง ยื่นมือไปจี้เอวพี่สาว พี่น้องสองคนจึงแกล้งกันสนุกสนาน แต่ก็คอยหันไปมองทางห้องสมุดเป็นระยะ หลีกเลี่ยงไม่ให้คุณชายเฉินผู้นั้นเห็นพวกนางเล่นกันเป็นเด็ก ต่อให้เผยอารมณ์ที่แท้จริง พี่น้องสองคนนี้ก็ยังมีท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนดุจสายน้ำ

ทางฝั่งหอชมทัศนียภาพ

อาเหลียงยื่นหน้าไปทางประตูคล้ายมองหาเรือนกายที่มีเสน่ห์ของพี่น้องคู่นั้น มือไม่ได้แตะต้อง มองด้วยสายตาก็ยังดี

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เอ่ยถาม “ทะเลาะกับคนอื่นมาหรือ?”

อาเหลียงอืมรับหนึ่งที “ใช่สิ คือเจ้าคนหน้าด้านคนหนึ่ง เป็นตะพาบเฒ่าในลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่ต่อสู้เก่งที่สุดเว้นจากมรรคาจารย์เต๋า ข้าล่ะอยากจะถุย ก็แค่อาศัยว่าฟ้าช่วยดินอำนวยและมีอาวุธคุ้มกันกายเท่านั้น ไม่เป็นไร ข้าจะกลับไปต่อยเขาคืนหมัดหนึ่งเดี๋ยวนี้แหละ!”

คำพูดในใจมากมายที่เฉินผิงอันเก็บสะสมมานานล้วนถูกกลืนกลับไปด้วยความตกใจ

อาเหลียงดึงสายตาลับๆ ล่อๆ กลับมา เดินมาหยุดอยู่ข้างราวระเบียง มองประเมินเฉินผิงอันแล้วจุ๊ปากพูด “ไอ้หนู ไม่ได้เจอหน้ากันแค่ไม่กี่วันก็เกือบจะมีมาดหนึ่งในพันส่วนของข้าอาเหลียงแล้ว! ใช้ได้ๆ ร้ายกาจๆ!”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร คิดอยู่นานกว่าจะหลุดประโยคตามมารยาทออกมาได้ว่า “มีเวลาว่างก็ลงมาเล่นบ่อยๆ สิ”

อาเหลียงสะอึกอึ้ง ก่อนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านปู่เจ้าเถอะ…”

ไม่มีใครเขาไม่เห็นดีในตัวข้าอาเหลียงอย่างเจ้าหรอกนะ ทำไม ในใจของเจ้าแล้วมีแต่ข้าอาเหลียงเท่านั้นหรือที่จะถูกตี? เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ตาเฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นสวมชุดขนนกผู้นั้นถูกข้าต่อยไปหนึ่งหมัดจนกระเด็นไปชนให้ปีศาจฟ้านอกโลกจำนวนนับไม่ถ้วนตายไป เรื่องวงในพวกนี้ ข้าอาเหลียงไม่สะดวกให้พูด เพราะอย่างไรซะหมัดเมื่อครู่นี้ก็แพ้แล้ว เขาอาเหลียงไม่ใช่ซิ่วไฉเฒ่าที่หน้าด้านพูดเอาดีเข้าตัว ทุกอย่างรอให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ก่อนค่อยว่ากัน

ถึงเวลานั้นจะพูดกับเจ้าประโยคเดียวว่า นึกถึงปีนั้นที่ข้าต่อยให้นักพรตเฒ่าเจ้าลัทธิคนหนึ่งขี้ราดเยี่ยวราด เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ นะ ข้าอาเหลียงไม่เคยพูดโม้

จะว่าไปแล้วนักพรตเฒ่าหน้าด้านคนนั้นสมกับเป็นลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ได้รับฉายาว่า ‘ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง’ จริงๆ เขาอาเหลียงไม่ชอบขี้หน้าก็ส่วนไม่ชอบขี้หน้า แต่พอสู้กันขึ้นมากลับหาข้อบกพร่องของอีกฝ่ายไม่ได้เลย เห็นว่าเขาอาเหลียงไม่ได้พกกระบี่ อีกฝ่ายก็ยอมสละอาวุธเทพหนึ่งในสี่กระบี่เซียนใหญ่ คนทั้งสองใช้หมัดและคาถาอาคมสู้กันล้วนๆ อยู่บนจุดสูงของใต้หล้ามืดสลัว พวกเขาทะเลาะกันเองพลางสังหารปีศาจฟ้าไปด้วย สาแก่ใจจริงๆ!

สักวันหนึ่งเขาจะต้องทำให้นักพรตเฒ่าจมูกวัวคนนั้นยอมรับว่าตัวเอง ‘ไม่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง’ ให้จงได้

อาเหลียงปรายตามองน้ำเต้าสีชาดที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเฉินผิงอันแล้วหัวเราะร่า “โอ้โห ตอนนี้รู้จักดื่มเหล้าแล้วรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยังดื่มไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ทุกครั้งได้แต่ดื่มทีละนิด”

อาเหลียงเหลือบตามองไปบนฟ้า “เฉินผิงอัน พวกเรายังคุยกันได้อีกครู่หนึ่ง เจ้าเลือกเรื่องที่สำคัญมาพูดได้เลย”

จากนั้นเฉินผิงกันก็เล่าสถานการณ์ล่าสุดคร่าวๆ ให้ฟัง

อาเหลียงชูนิ้วโป้ง “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็เดินทางลงใต้ให้สบายใจ เดินทางในยุทธภพครั้งนี้จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ดี รีบทำตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้น วันหน้าขึ้นไปเที่ยวบนฟ้าบ้าง โลกมนุษย์ดีก็จริง แต่บนฟ้าของบนฟ้ามีศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายดุจป่าไม้ ตระการตามากเหมือนกัน!”

เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “อาเหลียง แม้ว่าข้าจะสะพายกระบี่แล้ว แต่ข้ายังไม่ได้เริ่มฝึกกระบี่อย่างเป็นทางการเลย”

อาเหลียงยิ้มกว้าง “ฝึกหมัดให้ถึงจุดสูงสุดก็เท่ากับว่ากำลังฝึกกระบี่ ไม่ต้องรีบร้อน!”

เฉินผิงอันจะพูดแต่ก็ไม่พูด

อาเหลียงตบไหล่เฉินผิงอัน “อย่าคิดแบบนี้ เรื่องกระบี่โบราณตรงสะพานหินโค้ง ช่วงแรกเริ่มสุดฉีจิ้งชุนเป็นคนแอบส่งข่าวมาให้ข้าก็จริง แต่ภายหลังเขาเปลี่ยนใจ บอกว่าหาคนที่เหมาะสมกว่าข้าเจอแล้ว ข้าไม่ได้โกรธหรอก ฉีจิ้งชุนมีนิสัยอย่างไร ใต้หล้านี้ข้ารู้ดียิ่งกว่าใคร ถึงแม้จะไม่โกรธ แต่ข้าก็ประหลาดใจมากว่าเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายไหน ถึงสามารถทำให้คนดึงดันอย่างฉีจิ้งชุนเกิดรู้จักพลิกแพลงขึ้นมาได้ ดังนั้นภายหลังพวกเราถึงได้พบกัน และหลังจากนั้นข้าก็ปล่อยวางได้เสียที เพราะข้าเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว นั่นก็คือต่อให้ข้าได้เดินไปบนสะพานหินโค้งในเมืองเล็กของพวกเจ้า นางก็ไม่มีทางเลือกข้าอยู่ดี ตอนนั้นที่ข้าพูดกับเจ้าบนเนินเขาว่า ‘เป็นของที่อยู่ในกระเป๋า’ ของข้านั้น ข้าอาเหลียงโม้กับเจ้าเองแหละ!”

เฉินผิงอันอึ้งค้าง

อาเหลียงก็รู้จักคุยโวด้วยหรือ?

อาเหลียงยิ้มตาหยีจนใบหน้าย่นเข้าหากันคล้ายแสงอาทิตย์อบอุ่นที่ถูกพับครึ่ง เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ทำไม ข้าจะคุยโม้สักครั้งก็ไม่ได้งั้นหรือ? ก็เหมือนกับคราวนี้ที่ข้าถูกคนต่อยร่วงลงมาบนโลกมนุษย์ น่าอายหรือไม่? น่าอายจะตายอยู่แล้ว! แต่ข้าอาเหลียงก็ยังมาหาเจ้าเฉินผิงอันไม่ใช่หรือ? เพราะอะไร?”

เฉินผิงอันตามไม่ทัน “เพราะอะไร?”

อาเหลียงชี้ไปที่ท้องฟ้า “ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ว่าไร้ศัตรูหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่อให้แพ้อย่างอเนจอนาถแค่ไหนก็อย่าให้ตาย และทุกครั้งก็ต้องลุกยืนให้ได้ ปล่อยหมัดชักกระบี่ออกไปอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง!”

อาเหลียงชี้ไปทางทิศใต้ หัวเราะเฮอๆ “ข้ามภูเขาห้อยหัวของตาเฒ่าจมูกวัวนั่นไป ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น ข้าอาเหลียงฝึกขัดเกลาวิถีกระบี่อยู่ที่นั่นมานานหลายปี เจ้านึกว่าข้าจะมีหน้ามีตา ไร้เทียมทานไปเสียทุกครั้งอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่แน่นอน จำนวนครั้งที่ถูกคนอื่นซ้อมจนสภาพเทียบกับหมาไร้บ้านไม่ได้ก็มีถมเถไป! แน่นอนว่าหากสู้กันตัวต่อตัว ข้าอาเหลียงไม่เคยกลัวใคร หากทนพวกตาเฒ่าปีศาจใหญ่หน้าไม่อายพวกนั้นรุมซ้อมไม่ไหว สมควรวิ่งหนีข้าก็หนี สมควรด่าข้าก็ด่า กว่าจะหนีรอดแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข้าก็จะแอบกลับไปสังหารพวกเขาทีหลัง ตัดหัวมาได้ก็เผ่นกลับ เอาหัวของปีศาจใหญ่ไปโยนใส่ไอ้พวกลูกกระจ๊อกที่อยู่แถวกำแพงเมือง ไม่ต้องให้ข้าอาเหลียงพูดอะไร พวกมันแต่ละคนก็ร้องคร่ำครวญกันแล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าแม่นางน้อยและสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามของที่นั่นมีดวงตาที่สามารถกินคนได้เลยนะ! ก็ไม่แปลกที่ข้าจะลำบากใจ…”

เฉินผิงอันอดพูดขัดไม่ได้ “ที่พูดมาแรกๆ ข้าเชื่อหมด แต่ท่อนสุดท้ายนี่ ข้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่”

อาเหลียงกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “จับไต๋ได้ก็ไม่เห็นต้องพูดแฉเลยนี่นา”

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มเงียบงัน

อาเหลียงหันหน้าไปมองรูใหญ่บนม่านฟ้าทางทิศตะวันตกที่ปริอ้าซึ่งกำลังประสานตัวเข้าหากันช้าๆ

เฉินผิงอันพลันถามเสียงดัง “อาเหลียง ดื่มเหล้าหรือไม่?!”

อาเหลียงตะลึง ก่อนหัวเราะฮ่าๆ “ติดไว้ก่อน!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ วันไหนเจ้าไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว หากมีไอ้ลูกหมาคนไหนเอาเรื่องนี้มาหัวเราะเยาะข้า เจ้าจงบอกเขาไปว่า ข้าอาเหลียงรับรองว่าอีกไม่นานจะต่อยให้เจ้าเฒ่ารองของลัทธิเต๋าผู้นั้นร่วงลงมาจากใต้หล้ามืดสลัวทั้งตัวให้ได้!”

อาเหลียงตวาดเบาๆ “ไปล่ะ!”

ภายใต้แรงสั่นสะเทือนรุนแรง เรือคุนลดระดับลงต่ำช้าๆ ไปหลายสิบจั้งกว่าจะหยุดนิ่งได้อย่างยากลำบาก

บนท้องฟ้ามีเสียงครืนครั่นดังมาเป็นระลอก จากนั้นลำแสงเส้นนั้นก็ทะยานขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ผู้ฝึกลมปราณบนเรือคุนมองไม่เห็น ระเบิดเสียงที่ดังน่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าเดิม เป็นเหตุให้ทะเลเมฆในรัศมีหลายร้อยลี้แตกยับเหลือเพียงความว่างเปล่า อาเหลียงหายตัวไปอย่างสิ้นเชิง นาทีถัดมาก็มาปรากฎตัวอยู่เหนือมหาสมุทรระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีป เสียงกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง เงาร่างหนึ่งพุ่งผ่านชายหาดมหาสมุทรบูรพาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและภูเขาสุ้ยซ่านที่ตระหง่านเสียดฟ้าไปในรวดเดียว มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สวมเกราะทองผู้หนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศลืมตาขึ้น และตอนที่ผ่านนครจักรพรรดิขาวท่ามกลางทะเลเมฆรายล้อมนอกถ้ำสวรรค์หวงเหอก็มีบุคคลยิ่งใหญ่ของฝ่ายมารผู้หนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองเงาร่างที่พุ่งผ่านไป

เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะทะยานขึ้นสูงสู่รูโหว่บนม่านฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่ม่านฟ้าจะประสานตัวแน่นสนิท อาเหลียงก็แหวกอากาศกลับไปยังที่ที่จากมาอีกครั้ง

เฉินผิงอันยืนอยู่บนหอชมทิวทัศน์ ไม่ยอมขยับเท้าเป็นนาน

อาเหลียงไร้เทียมทานหรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่ความสง่างามนั้นคือเรื่องจริงแท้แน่นอน

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset