ตอนที่ 219.1 นักพรตเต๋าขับบทกวี

นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน จัดระเบียบเสื้อผ้า ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในลานกว้างของหอซิ่วโหลวด้วยท่าทางใจกว้างเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกท่านโปรดฟังนักพรตน้อยอย่างข้าสักคำ!”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันหันมามองนักพรตต่างถิ่นคนนี้ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป นักพรตเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่ตรงเอวมีเชือกสีดำขดห้อยเอาไว้ พอเห็นนักพรตจางซานเฟิงสีหน้าก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ปลดเชือกลงมาแล้วโยนออกไป เชือกก็กลายมาเป็นเหมือนงูวิเศษตัวหนึ่งที่คลายตัวออกเองอยู่กลางอากาศ พริบตาเดียวก็รัดพันร่างนักพรตหนุ่ม จางซานเฟิงเฟิงที่ถูกมัดเหมือนบ๊ะจ่างยืนโงนเงนจะล้มมิล้มเหล่ กว่าจะยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพหัวเราะเสียงเย็น “ทำไมต้องฟังคำพูดเหลวไหลจากเจ้าด้วย? นักพรตตัวปลอมที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนหนึ่ง หากยังกล้าปากมาก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปข้างนอกเสียเลย”

นักพรตจางซานเฟิงกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าผู้เป็นนักพรตมีแซ่จางนามซานเฟิง มาจากกุรุทวีป อาจารย์คือหั่วหลงเจินเหรินจากพรรคหลิงเซียว (เมฆที่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า) และข้าผู้เป็นนักพรตก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ชื่ออยู่ในทำเนียบสามารถตรวจสอบได้! ออกเดินทางไกลมาขัดเกลาจิตใจที่แจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ ก็เพื่อทำการทดสอบของภูเขามังกรพยัคฆ์ให้สำเร็จ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับคืนสู่บ้านเกิดก็จะได้กลายเป็นนักพรตในบัญชีลำดับวงศ์ตระกูลของจวนเทียนซือ! สำนักโองการเทพของพวกเจ้าช่างมีบารมียิ่งใหญ่นัก ถึงขนาดกล้าหมิ่นเกียรติคนตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์!”

เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่มีประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอมึนงงเล็กน้อย ความเกรี้ยวกราดโอหังหายไปชั่วขณะ

เห็นได้ชัดว่าเขาตกตะลึงกับคำกล่าวที่ว่า ‘จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์’ เพราะหากจะให้สำนักโองการเทพไปงัดข้อกับพวกเขา สำนักโองการเทพก็ไม่มีความมั่นใจนั้นจริงๆ

ชื่อเสียงของคนประดุจเงาที่ตามติด สำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงแจกันสมบัติทวีปไม่มีสักคนที่รับมือได้ง่าย

ภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่อยู่ในอาณัติของสายใดในสามลัทธิของสำนักเต๋า คือระบบเต๋าของพื้นที่แห่งหนึ่งที่ก่อตั้งสำนักขึ้นมาเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพได้ยินชื่อเสียงของพวกเขามานานแล้ว แต่ก็ถูกจำกัดอยู่แค่ที่ตำนานในเรื่องเล่าจากเกร็ดพงศาวดารเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนฟังมาจากชาวบ้านความรู้ตื้นเขินที่เล่าลือกันปากต่อปาก ขนาดผู้ฝึกลมปราณทั่วไปบนภูเขายังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่รับฟังเหมือนฟังเรื่องตลก แต่ถึงอย่างไรสำนักโองการเทพก็ถือเป็นตระกูลเซียนที่ได้ใช้คำว่าสำนัก จึงเข้าใจรากฐานที่แท้จริงของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มากกว่าคนอื่นๆ เทียนซือตระกูลจางมือหนึ่งถือตราประทับ มือหนึ่งถือกระบี่เซียน มรรคกถายิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด พลังการสังหารไร้ขอบเขต นั่นคือเซียนห้าขอบเขตบนที่สามารถเลื่อนขั้นสู่สิบอันดับแรกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยบุคคลระดับอัจฉริยะอย่างแท้จริง นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตำแหน่งอันโดดเด่นของฉีเจินที่เป็นทั้งเจ้าสำนักโองการเทพ แล้วก็เป็นทั้งเจินจวินแห่งแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นสำนักโองการเทพจึงสามารถเข้าใจถึงกลิ่นอายความเป็นเซียนที่ท่วมเทียมฟ้าของภูเขามังกรพยัคฆ์ได้เป็นอย่างดี

นักพรตจางซานเฟิงฉวยโอกาสโจมตี จ้องเขม็งไปยังนักพรตเฒ่าที่เป็นผู้นำซึ่งมีสายตามืดทะมึนด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “หยางหว่างเป็นอดีตลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะคำว่ารักคำเดียว ต่อให้ข้าที่เป็นคนนอกมาเห็นเข้าก็ยังรู้สึกชื่นชมสรรเสริญ แทบหลั่งน้ำตาให้กับความรักของพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ได้ ในฐานะผู้นำระบบเต๋าของแจกันสมบัติทวีป คิดๆ ดูแล้วสำนักโองการเทพก็น่าจะมีน้ำใจและจิตใจประมาณเดียวกันนี้ถึงจะถูกไม่ใช่หรือ?”

เด็กน้อยของสำนักโองการเทพที่อายุน้อยที่สุดซึ่งในมือถือไม้โบราณชิ้นยาวกระตุกชายแขนเสื้อของนักพรตที่เป็นเด็กสาวเบาๆ ถามเสียงค่อย “ศิษย์พี่หญิง ข้ารู้สึกว่าที่จางเซียนซือคนนี้พูดมาก็ถูกนะ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

เด็กสาวที่ตรงเอวมีแส้ไม้ไผ่สีเขียวสลับเหลืองส่ายหน้า “ก็แค่คำพูดเลื่อนเปื้อนไม่รู้จริงเท็จ อย่าได้คิดเป็นจริง”

เฉินผิงอันเหมือนได้เปิดโลกกว้าง

แต่ขณะเดียวกันนั้นหางตาเขาก็เหลือบไปเห็นทางสันหลังคาของหอซิ่วโหลว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

นักพรตจางซานเฟิงอยากจะยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตเฒ่าเพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับคำพูดของตัวเอง แต่กลับพบว่าตัวเองถูกมัดไว้แน่นจนกระดุกกระดิกไม่ได้ เลยกระโดดดึ๋งไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แค่นเสียงหัวเราะหยัน “แล้วนับประสาอะไรกับที่ในอดีตท่านเซียนซือผู้เฒ่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกันกับหยางหว่าง มีมิตรภาพเพราะฝึกตนด้วยกันมานานหลายปี ตอนนี้กลับมาพบกันอีกครั้งก็เหมือนคนบ้านเดียวมาเจอกัน เหตุใดถึงต้องยกอาวุธเข้าห้ำหั่น ไม่ใช่ร่ำสุราพูดคุยกันอย่างสำราญ? เทียนซือของตระกูลจางข้า ไม่ว่าจะอยู่ในบัญชีรายชื่อหรือเป็นแค่ลูกศิษย์ในนาม ขอแค่พบหน้ากันขณะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศก็เกิดความสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่เหตุใดสำนักโองการเทพของพวกเจ้าถึงไม่มีบรรยากาศเช่นนี้? อีกอย่างถึงแม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่เดินขึ้นเขาเพื่อฝึกตน แต่กลับรู้หลักการตื้นเขินอย่างข้อที่ว่ากฎหมายไม่มีทางเกินกว่าความรู้สึกของคนเป็นอย่างดี”

สุดท้ายนักพรตหนุ่มเปลี่ยนน้ำเสียงมาเป็นหัวเราะคิกคัก “ท่านเซียนผู้เฒ่าคงไม่ได้มีความแค้นเก่ากับหยางหว่าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจหน้าตาของสำนัก คิดจะบีบให้สามีภรรยาคู่นี้ตายให้ได้หรอกกระมัง? แต่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก เพราะแค่มองก็รู้แล้วว่าท่านเซียนผู้เฒ่าเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเรื่องนี้จบลง นักพรตจางซานเฟิงจะต้องช่วยนำชื่อเสียงของท่านเซียนผู้เฒ่าและสำนักโองการเทพไปบอกต่อ ต่อให้ในอนาคตได้ไปถึงภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นปฐมสำนักแล้ว ขอแค่พูดถึงสำนักโองการเทพก็จะยังยกนิ้วโป้งชื่นชม!”

ผู้เฒ่าที่ยืนเอาสองมือไพล่หลังเพียงหรี่ตายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

นักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่บนกำแพงพลันเอ่ยภาษาอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ นักพรตจางซานเฟิงมึนงงเล็กน้อย แล้วจู่ๆ นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ถือกระพรวนคนนั้นก็เปลี่ยนกลับมาพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป หลุบตาลงมองจากที่สูง ยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตจางซานเฟิง กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนโกหก ข้าถามเจ้าด้วยภาษาทางการของกุรุทวีป ทำไมเจ้าถึงตอบไม่ได้สักคำถามเดียว?! บังอาจสวมรอยเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์อยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปก็เท่ากับละเมิดกฎของระบบเต๋าในทวีป เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักโองการเทพก็ยังมีสิทธิ์จับตัวเจ้าอยู่ดี?! ยังไม่รีบคุกเข่ายอมรับผิดอีกรึ!”

คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับคนสารเลวที่พูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหลได้เก่งกว่าตน นักพรตจางซานเฟิงโมโหหนัก เริ่มใช้ภาษาทางการของกุรุทวีปที่แท้จริงด่านักพรตหนุ่มคนนั้นกลับไป จากนั้นถึงหันกลับมาพูดภาษาของแจกันสมบัติทวีป “พูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริง กลับดำเป็นขาว สำนักโองการเทพตัวดี เจ้าลัทธิเต๋าแห่งแจกันสมบัติทวีปตัวดี!”

คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มบนกำแพงจะไม่สนใจนักพรตจางซานเฟิงเลยสักนิด เขาหันหน้าไปมองผู้เฒ่า เสนอความคิดด้วยรอยยิ้มตาหยี “อาจารย์ วิเคราะห์ขั้นต้นได้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้มาจากกุรุทวีป ส่วนข้อที่ว่าจะใช่ลูกศิษย์ตระกูลจางของภูเขามังกรพยัคฆ์หรือไม่นั้น ยังต้องค่อยๆ ตัดสินใจกันไป ไม่สู้จับตัวเขาเอาไปโยนไว้ข้างๆ ก่อน รอให้พวกเราจัดการเรื่องในสำนัก จัดการกับผีชางผีต้นไม้คู่นั้นให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันดีไหม?”

ผู้เฒ่าเหมือนจะเห็นด้วย ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ในที่สุดสวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกก็สะกดกลั้นความขุ่นเคืองเอาไว้ไม่ไหว เขาทำเหมือนอย่างที่พูดก่อนหน้านี้ นั่นคือถือดาบวิเศษ ก้าวออกมาข้างหน้า ช่วยออกรับแทนให้ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ข้าน้อยเป็นแค่พลทหารตัวน้อยไร้ชื่อเสียง ไม่อาจขอให้เซียนซือจากสำนักโองการเทพให้เกียรติ หากเซียนซือทุกท่านอยากจะลงโทษหยางหว่างตามกฎระเบียบ ข้าผู้แซ่สวีก็จะล้างหูรอฟัง หวังได้ความรู้จากกฎระเบียบของตระกูลเซียนที่มีตัวอักษรคำว่าสำนัก ดูสิว่าจะมีข้อไหนนำมาปรับใช้ได้บ้าง แต่หากคิดจะฆ่าสองสามีภรรยาหยางหว่างโดยไม่คิดจะให้คำอธิบาย ต่อให้ข้าผู้แซ่สวีต้องเสียเนื้อหนึ่งร้อยกว่าจินทั่วร่างนี้ไป ขอแค่ในมือยังมีดาบอยู่ ก็จะต้องขอความรู้จากมรรคกถาอันค้ำฟ้าของเทียนซือทุกท่านให้จงได้!”

เด็กหนุ่มสำนักโองการเทพที่ใช้เชือกพันธนาการปีศาจพลันถามว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่าตัวเองมีชาติกำเนิดมาจากภูเขามังกรพยัคฆ์หนึ่งในสำนักของกุรุทวีป ถ้าอย่างนั้นเจ้ามีหนังสือผ่านแดนที่สามารถพิสูจน์ว่าเจ้ามาจากกุรุทวีป อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางหรือไม่? หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าก็ต้องรับผลที่ตามมาเรื่องที่เจ้าสวมรอยเป็นเทียนซือจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์”

สีหน้าของนักพรตจางซานเฟิงไม่น่าดูนัก เขาเผยความลังเลออกมาเสี้ยวหนึ่ง

มือดาบเคราดกปวดหัวเล็กน้อย ในใจคิดว่าหากนักพรตน้อยคนนี้รับมือกับปัญหาด้วยอารมณ์ สวมรอยเป็นญาติห่างๆ ของชนชั้นสูงหวงจื่อบนภูเขามังกรพยัคฆ์ นั่นก็ถือเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่น้อยเลยจริงๆ เมื่อมาตกอยู่ในมือของสำนักโองการเทพที่มีอำนาจตรวจสอบระบบลัทธิเต๋าในหนึ่งทวีปแล้ว ย่อมต้องพบเจอกับความยากลำบากครั้งใหญ่ หน้าที่ของเจ้าลัทธิเต๋าในหนึ่งทวีปอยู่ที่การสืบสาวราวเรื่องให้ถึงแก่น แม้จะเป็นประโยคที่มีแค่สี่คำ แต่น้ำหนักกลับมากอย่างถึงที่สุด เพราะนี่ถือเป็นการ ‘ปฏิรูปอย่างถึงรากเหง้า’

นักพรตจางซานเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันหน้ามาเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ช่วยหยิบเอกสารผ่านด่านในห่อสัมภาระให้ข้าที”

หยางหว่างผีชางแห่งบ้านโบราณหัวเราะเสียงขื่นหนึ่งที หันหน้ามามองภรรยา นางพยักหน้าคล้ายเข้าใจความคิดของสามี หยางหว่างถึงได้หันกลับไป เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “จอมยุทธ์สวี นักพรตจาง ความหวังดีของพวกเจ้า หยางหว่างรับไว้แล้ว หากชาติหน้ามีจริง ย่อมต้องกลับมาตอบแทนให้แน่! วันนี้สำนักโองการเทพกำหนดโทษโดยใช้กฎมหาชนหรือคิดจะแก้แค้นส่วนตัว หยางหว่างและจัวจิงล้วนขอรับไว้เองทั้งหมด เพียงแต่จอมยุทธ์สวี นักพรตจาง และหนุ่มน้อยแซ่เฉินคนนั้นอย่าได้คิดว่าคนของสำนักโองการเทพเราล้วนมีแต่คนแบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้แน่นอน!”

กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย เสียงหัวเราะของหยางหว่างก็เปลี่ยนมาเป็นกำเริบเสิบสาน ราวกับว่าตลอดช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ต้องมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ อารมณ์ของเขาไม่เคยผ่อนคลายเท่าตอนนี้มาก่อน เขาชูนิ้วโป้งชี้กลับไปที่ตัวเอง “ในสำนักโองการเทพของข้า!”

หยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นผีชางหยางหว่างก็ชี้ไปที่ผู้เฒ่าคนนั้น “คนโง่เง่าที่ฝึกแต่ตบะไม่ฝึกจิตใจอย่างเจ้านี้ ถึงอย่างไรก็มีน้อยมาก มิน่าเล่าเวลาหนึ่งร้อยปีที่แค่ดีดนิ้วก็ผ่านไป เจ้าจ้าวหลิวถึงได้ยังมีตบะแค่ขอบเขตห้า ฮ่าๆ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนข้าหยางหว่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าแล้ว หากจำไม่ผิด ตอนนั้นเจ้าจ้าวหลิวเพิ่งจะเป็นขอบเขตสามเส้นเอ็นหลิวเท่านั้นไม่ใช่หรือ? คำว่า ‘ขอบเขตรั้งคน’ ที่ถูกรั้งไว้มากที่สุดก็คือคนระยำจิตใจชั่วช้าอย่างเจ้านี่แหละ!”

คำพูดประโยคนี้ บุรุษเจ้าของบ้านโบราณกล่าวอย่างกำเริบเสิบสานสะใจ แต่กลับทำให้พวกเด็กรุ่นหลังในสำนักที่อยู่ใต้การปกครองของผู้เฒ่าหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย โดยเฉพาะนักพรตหนุ่มที่เรียกผู้เฒ่าคนนี้ว่าอาจารย์ซึ่งปล่อยปราณสังหารออกมาอย่างเด่นชัด กระบี่บินที่อยู่ในฝักด้านหลังขยับเคลื่อนพร้อมจะลงมือ เขาก็คือมือกระบี่คนหนึ่ง

แต่คำพูดของหยางหว่างทิ่มแทงใจของเขาพอดี จ้าวหลิวอาจารย์ของเขาติดค้างอยู่ในขอบเขตสามอยู่นานหลายปี ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็ชะงักค้างอยู่ในขอบเขตนี้มานานมากเช่นกัน จากตัวอ่อนกระบี่ฝีมือล้ำเลิศคนหนึ่งที่เดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นหยกงามซึ่งมีหวังจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ทว่าจากนั้นกลับค่อยๆ ตกต่ำมาเป็นเหมือนหมอนปักลายดอกไม้ที่อนาคตเลือนราง เป็นแค่ชั้นวางดอกไม้ที่ไม่มีหวังจะหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ตลอดชาติ และในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี ฐานะของเขาในสำนักโองการเทพก็ดิ่งฮวบลงเหวพันจั้ง

ย้อนนึกถึงในอดีต ปีนั้นเขายังถึงขั้นเคยได้พูดคุยกับคู่กุมารทองกุมารีหยกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปคำสองคำ

นี่ถือเป็นเกียรติยศที่สูงส่งมากแค่ไหน?

โดยเฉพาะแม่ชีสาวที่มักจะมีกวางขาววิเศษเคียงกายคนนั้น ปีนั้นตอนที่คุยเล่นกัน ใบหน้าของนางยังเคยเผยรอยยิ้มบางๆ ด้วย

นี่คือภาพเหตการณ์อันงดงามที่หาได้ยากแค่ไหน? ต่อให้เป็นแค่รอยยิ้มตามมารยาท แล้วจะอย่างไร?

ต้องรู้ว่านางเป็นถึงสตรีที่ขนาดเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งก็ไม่อาจได้มาครอบครอง อีกทั้งเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะคนนั้นยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์พันปีของแจกันสมบัติทวีปด้วย

มาถึงท้ายที่สุด ตอนนี้เขากลับทำได้เพียงติดตามอาจารย์ที่ไม่มีหวังบนมหามรรคา พาเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งลงมาฝึกประสบการณ์ในบ่อโคลนตีนเขาอย่างยากลำบาก แม้จะพูดอย่างสวยหรูว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจในการฝึกตน แต่ตลอดทางที่ผ่านมาได้แต่สังหารวัตถุชั่วร้ายที่ยังไม่มีสติปัญญา กำราบภูตภูเขาผีพรายที่ยังไม่จำแลงร่างเป็นคนแค่ไม่กี่ตัว จากนั้นก็มาพัวพันอีรุงตุงนังอยู่กับศิษย์ทรยศของสำนัก กับผีสาวปีศาจต้นไม้พวกนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ด้วยความโมโห เขาจึงเตรียมจะชักกระบี่

ถึงอย่างไรซะหากสังหารได้ก็เป็นแค่ผีชางภูตต้นไม้เท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ต่อให้ตนจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวมากแค่ไหน ก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสาม และก็พอจะมีความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ กับกุมารทองที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องราวภายนอกของสำนักโองการเทพอยู่บ้าง คิดๆ ดูแล้วต่อให้ถูกลงโทษก็คงเป็นการลงโทษแบบหันหน้าเข้ากำแพงทบทวนตัวเอง หรือไม่ก็คัดลอกคัมภีร์อะไรทำนองนั้น แล้วยังจะต้องกลัวอะไร?

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset