ตอนที่ 219.3 นักพรตเต๋าขับบทกวี

นักพรตจางซานเฟิงหันมาเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ “เซียนกระบี่ เซียนกระบี่ เห็นหรือยัง เซียนกระบี่ที่ยังอายุน้อยขนาดนี้ ร้ายกาจใช่ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย

ฝนหยุดตกแล้ว นักพรตหนุ่มเงยหน้ามองม่านราตรี กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “อยากจะขับบทกวีสักบทจริงๆ”

มือดาบหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างอารมณ์ดี

ไม่ว่าอย่างไร เรื่องราวในครั้งนี้ก็ถือว่าจบลงด้วยดีแล้ว

นี่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกปิติยินดีได้มากกว่าเวลาปกติที่ผดุงความเป็นธรรม ปราบปีศาจสำเร็จแล้วดื่มเหล้ากินอาหารเลิศรสอย่างเต็มคราบเสียอีก

ในที่สุดหญิงชราที่สลบไสลอยู่ในเรือนชั้นสามก็ฟื้นคืนสติ นางรีบบินพรวดเข้ามา ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นเจ้านายชายหญิงของตนยังคงสุขสบายดี นางจึงพอจะวางใจลงได้ หยางหว่างหันมาพูดกับหญิงชรายิ้มๆ ว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องเป็นกังวลกับพวกคนถ่อยที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นอีกแล้ว”

หญิงชราตกตะลึงไปก่อน จากนั้นก็หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ร้องไห้จนแทบไม่เป็นเสียง

ผีสาวที่มีชื่อแท้จริงว่าอิงอิงขยับร่างของตัวเองอย่างเชื่องช้า ‘ล่องลอย’ ไปหานาง โอบประคองไหล่ของหญิงชราไว้เบาๆ ส่งเสียงอืออาคล้ายกำลังปลอบหญิงชราอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

เมื่อไม่มีเรื่องให้กังวลก็ตัวเบา หยางหว่างผีชางที่ไม่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาหัวเราะเสียงดัง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี จางเซียนซือและคุณชายเฉิน! หากไม่รังเกียจก็ให้พวกเราแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านสักหน่อยเถอะนะ ให้พวกเราได้เตรียมอาหารและเหล้าดีๆ ให้พวกเจ้า เรามาดื่มกันอย่างสบายอารมณ์สักครั้ง?”

สวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หันไปถามนักพรตจางซานเฟิงกับเฉินผิงอันว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

นักพรตจางซานเฟิงยิ้มตอบ “ทำไมจะไม่ได้เล่า?”

เฉินผิงอันเองก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตบไปที่น้ำเต้าตรงเอวตัวเอง “หากเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าอยากจะขอซื้อเหล้าจากพวกเจ้าสักหน่อย”

หยางหว่างโบกมือ พูดอย่างใจกว้าง เหมือนกลับไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพที่เต็มไปด้วยปณิธานห้าวเหิมในปีนั้นอีกครั้ง “ซื้อเหล้าอะไรกัน? เหล้าต้มที่ในบ้านหมักกันเองไม่ถือเป็นเหล้าชั้นเยี่ยมอะไร แต่รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ หลังกินอาหารค่ำกันเต็มอิ่มแล้ว คุณชายเฉินเอาไปได้เท่าที่ต้องการเลย!”

ทุกคนหัวเราะเสียงดังครึกครื้น ในบ้านโบราณไม่เหลือบรรยากาศอึมครึมอีกต่อไป มีเพียงกลิ่นอายของชาวยุทธ์ที่แม้จะยังไม่ได้ดื่มเหล้าก็ทำให้คนเมามายได้แล้ว

หลังจากนั้นก็เป็นหญิงชราที่คลี่ยิ้ม รีบก้มหน้าเช็ดน้ำตาสาวเท้าเดินเร็วๆ เข้าห้องครัวไปทำอาหาร

สองสามีภรรยารับรองแขกอยู่ในห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม กำลังพูดคุยเรื่องในยุทธภพกับมือดาบเคราดก

นักพรตจางซานเฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังเรียกให้เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียงด้านข้าง เอ่ยขออภัยว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงชื่อจริงของข้านักพรตน้อยคือจางซานเฟิง ไม่ใช่จางซาน ขอโทษด้วย เป็นสหายกัน แต่กลับปิดบังเจ้ามานานขนาดนี้ ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันนั่งบนราวระเบียง ยิ้มพูดอย่างไม่ถือสา “เดินทางอยู่ในยุทธภพ ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี ยังมีอะไรผิดไม่ผิดอีก”

นักพรตหนุ่มดวงตาเป็นประกาย หัวเราะร่า “เจ้าเองก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในยุทธภพใช่ไหม? ก็ว่าแล้ว ถึงแม้ว่าชื่อเฉินผิงอันนี้จะความหมายดีมาก แต่ถึงอย่างไรก็ธรรมดาไปสักหน่อย…”

เฉินผิงอันมองค้อน “คือชื่อจริง!”

นักพรตหนุ่มพลันกระอักกระอ่วน เงียบไปครู่หนึ่ง เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเบาๆ “ลูกกลมๆ ที่เจ้ามอบให้ข้าก่อนหน้านี้เอาไว้ทำอะไรหรือ?”

เฉินผิงอันพูดขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจ จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงก่อนหน้านี้การต่อสู้กันของเรือนฝั่งตรงข้ามรุนแรงมาก ข้าก็เลยออกมาสังเกตการณ์ ที่แท้บัณฑิตแซ่ฉู่คือปีศาจต้นไม้ตัวหนึ่ง หลังจากเขาถูก…เซียนกระบี่สังหารไปก็ทิ้งอาวุธอาคมที่เหมือนจะเรียกว่าลูกกลมเสื้อเกราะเอาไว้ เซียนกระบี่ผู้นั้นจากไปอย่างไม่แยแสมัน ข้าก็เลยแอบไปเก็บมันมา”

เฉินผิงอันยื่นมือส่งลูกกลมนั้นไปให้อีกฝ่าย

“เซียนกระบี่น่าจะเป็นเด็กสาวของสำนักโองการเทพคนนั้น” นักพรตหนุ่มพลันกระจ่างแจ้ง รับมาแล้วก็เอามาชั่งน้ำหนักในมือ น้ำหนักไม่มาก ก้มหน้าลงมองอย่างละเอียด กลิ้งมันในฝ่ามือเบาๆ ยังพอจะเห็นรอยปริแตกที่เล็กบางเสี้ยวหนึ่ง นักพรตแห่งกุรุทวีปที่มีชื่อว่าจางซานเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด คืนมันให้กับเฉินผิงอัน “เหมือนเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารในตำนานอย่างมาก แต่เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้น่าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงมาก่อน จึงเกิดรอยร้าวขึ้นมาเส้นหนึ่ง ทว่าถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว เม็ดเสื้อเกราะถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง แม้ว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ว่าราคาของมันสูงแค่ไหนกันแน่ แต่ก็แน่ใจได้ว่าต้องเป็นของดีที่มีมูลค่าควรเมือง เจ้าเก็บไว้ให้ดี อย่าให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด ขอแค่วันหน้าเจอยอดฝีมือที่สามารถซ่อมแซมมันได้ก็สามารถเอามาสวมใส่ได้อย่างสบายใจ เท่ากับเป็นยันต์คุ้มกันกายระดับเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว!”

เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเม็ดนี้ หากอิงตามคำบอกของบัณฑิตแซ่ฉู่ นับเป็นสมบัติในคลังเก็บสมบัติลำดับสองของเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋ มีมูลค่าสามพันเงินเกล็ดหิมะ

เฉินผิงอันไม่ได้เอาเก็บซ่อนไว้ในสมบัติฟางชุ่น แต่พูดเหมือนหยั่งเชิงว่า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งวิชาหมัดที่ข้าเรียนมาก็เน้นย้ำในด้านการรุดไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ไม่อาจพึ่งพิงวัตถุนอกกายมากเกินไปนัก หาไม่แล้วจะกลับกลายเป็นทำให้ปณิธานหมัดของตนไม่รวดเร็วมากพอ ดังนั้นข้าเก็บเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนี้ไว้ก็ไร้ประโยชน์ ขายให้เจ้าแล้วกัน สามร้อยเงินเกล็ดหิมะ เป็นไง?”

นักพรตหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “อย่าว่าแต่สามร้อยเงินเกล็ดหิมะเลย ต่อให้เป็นหนึ่งพันสองพันเงินเกล็ดหิมะ สมบัติที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจครอบครองแบบนี้ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตมีทรัพย์สมบัติติดกาย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อเอาไว้ให้ได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตยากจนจะแย่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนอยู่เรือคุนก็คงไม่ถึงขั้นจะกินข้าวให้อิ่มท้องสักมื้อยังเป็นเรื่องยาก”

เฉินผิงอันโยนลูกกลมให้นักพรตจางซานเฟิงเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าติดเงินข้าสามร้อยเกล็ดหิมะแล้วกัน ไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธ เจ้าลองคิดดูนะ ด้วยร่างกายที่แค่ตากฝนก็หมดสติของเจ้า วันหน้าหากพวกเราสองคนยังเจอกับภูตผีปีศาจอีก ทีนี้จะสู้กับพวกมันอย่างไร? หากเจ้าสวมเม็ดเสื้อเกราะ ไม่แน่ว่าโอกาสที่พวกเราจะชนะคงเพิ่มขึ้นมาก และถ้าได้รับผลเก็บเกี่ยวก็ล้วนเป็นของข้าทั้งหมด ถือว่าเจ้าชดใช้เงินคืนให้ข้า ตกลงไหม?”

นักพรตหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เก็บเม็ดเสื้อเกราะที่ในอดีตแม้แต่ฝันยังไม่กล้าคิดหวังลงไปอย่างระมัดระวัง เขานั่งเคียงไหล่กับเฉินผิงอันบนราวระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยเรียกเสียงเบา “เฉินผิงอัน…”

จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ราวกับว่ามีถ้อยคำมากมาย แต่กลับพูดไม่ออก

เฉินผิงอันเท้ามือสองข้างไว้บนราวระเบียง “เจ้าก็เห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจที่ข้าเป็นตัวถ่วงนี่นา”

นักพรตหนุ่มเกาหัว พอเขาพูดอย่างนี้ก็เหมือนจะคลายใจได้หลายส่วน เฉินผิงอันเห็นตัวเองเป็นสหาย ตนเองก็เห็นเขาเป็นสหายเหมือนกัน ระหว่างสหายไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันทำตามกฎเกณฑ์ไปทุกเรื่องใช่หรือไม่?

จู่ๆ เขาก็หัวเราะเสียงดัง “ลูบเคราที่แข็งดุจง้าว จอมยุทธ์ผู้กล้าพกดาบวิเศษ”

เฉินผิงอันหัวเราะ ใช้ได้เลย นี่กำลังชื่นชมสวีหย่วนเสียชายฉกรรจ์เคราดกนี่นา

จากนั้นนักพรตหนุ่มก็พูดอีกว่า “ละทิ้งความรู้ท่องพเนจรทั่วขุนเขาและมหาสมุทร ค้นหาความจริงอย่างยากลำบาก”

ดีนักนะ นี่น่าจะพูดถึงตัวเขาเอง

นักพรตจางซานเฟิงหันหน้ากลับมา “เฉินผิงอัน ตอนนี้ยังคิดถึงบทกลอนที่เกี่ยวกับเจ้าไม่ออก วันหน้ารอให้ข้าผู้เป็นนักพรตเกิดแรงบันดาลใจ ต้องคิดได้แน่ วางใจเถอะ ข้าผู้เป็นนักพรตรับรองว่าต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วก็ไม่อยากจะขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีของเขา จึงได้แต่เออออคล้อยตามว่า “ตกลงๆ”

เฉินผิงอันกระโดดลงจากราวระเบียง วิ่งไปทางห้องครัว หันหน้ากลับมาตะโกน “ข้าจะไปช่วยทำอาหาร”

นักพรตจางซานเฟิงเฟิงอืมรับหนึ่งที นั่งอยู่ที่เดิม ความคิดมากมายประดังประเดกันเข้ามา

ทางฝ่ายของห้องโถงหลักมีเสียงหัวเราะดังกังวานของชายฉกรรจ์เคราดกดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ

นักพรตหนุ่มเปลี่ยนท่านั่ง เอนหลังพิงระเบียง ยกสองมือกอดอก นึกถึงภูเขาสูงลูกนั้นของบ้านเกิด เขาหลับตาลง คลอเพลงเบาๆ ที่แต่งขึ้นมาเอง โครงศีรษะไปตามจังหวะเพลงอย่างสบายอารมณ์

สุดท้ายพอลืมตาขึ้น นักพรตหนุ่มพึมพำเบาๆ “จะถามว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง? จางซานเฟิงแห่งภูเขาอู่ตัง!” (บู๊ตึ๊ง)

อันที่จริงเฉินผิงอันกำลังคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่

ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับบัณฑิตแซ่ฉู่ เฉินผิงอันพอจะรู้น้ำหนักของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามของตนอย่างคร่าวๆ แล้ว ในบรรดาวิชาหมัดมากมายที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้าถ่ายทอดให้ กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือกระบวนท่าที่มีพลานุภาพยิ่งใหญ่มากที่สุด ตอนนั้นเฉินผิงอันอาศัยยันต์ย่อพื้นที่ชิ้นหนึ่ง หนึ่งหมัดต่อยโดนศัตรู จากนั้นก็ต่อยโดนรัวๆ อีกหลายหมัด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ บัณฑิตภูตต้นไม้ของแคว้นกู่อวี๋ที่แม้จะมีเม็ดเสื้อเกราะซึ่งกลายมาเป็นเกราะกวางหมิงคุ้มกันกาย แต่อันที่จริงเป็นเพราะวิชาหมัดของเฉินผิงอันมีจำกัด นั่นก็คือมีแค่กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายี่สิบหมัดเท่านั้น ไม่อาจเพิ่มมากกว่านั้นได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะกระบี่บินในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาสังหารศัตรู เกรงว่าเขาคงถูกบัณฑิตคนนั้นเผาผลาญพลังของตัวเองจนหมด หากกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าใช้พลังเฮือกหนึ่งจนหมดสิ้น อีกฝ่ายมีเวลาว่างเรียกเอาสมบัติอาคมโจมตีศัตรูชิ้นสองชิ้นออกมาใช้ได้ เขาเฉินผิงอันจะทำอย่างไร?

หนีคงไม่ยาก แต่คิดจะเอาชนะ หรือถึงขั้นสังหารศัตรูกลับยากมาก

แต่ว่าสามารถนำวิชาหมัดของตัวเองมาประสานกับการจู่โจมของกระบี่บินชูอีและสืออู่ อีกทั้งยังแทบจะไม่มีช่องโหว่ นั่นก็ถือว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวครั้งหนึ่ง

ทว่าลึกๆ ในใจเฉินผิงอันรู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจมากพอ ราวกับว่ายังขาดอะไรบางอย่างไปอีกเล็กน้อย

คำตอบที่แท้จริงดูเหมือนจะง่ายดายมาก นั่นคือยังคงเป็นเพราะเขาเฉินผิงอันออกหมัดไม่เร็วพอ! ไม่ดุดันมากพอ!

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลง ฝึกหมัดก็ดี ในอนาคตฝึกกระบี่ก็ช่าง ล้วนรีบร้อนไม่ได้ ต้องค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคง

เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตัวเอง หัวเราะเบาๆ “ครั้งนี้ขอบคุณมาก”

ด้านในน้ำเต้ามีการตอบรับ สืออู่เริ่มบินไปบินมาด้วยความลิงโลดสุดขีด

แต่จู่ๆ เฉินผิงอันกลับพูดว่า “แต่ว่าวันหน้าหากพวกเจ้าขึ้นเวทีต่อสู้เมื่อไหร่ อย่าได้…ชิงความโดดเด่นกันแบบนี้อีกได้ไหม? พวกเราสามคนไม่ได้ประลองฝีมือด้านวรยุทธ์กับคนอื่นที่ก่อนจะลงมือจำเป็นต้องมีการบอกชื่อ แสดงอาวุธของตัวเองอะไรทำนองนั้นเสียก่อน เวลาลงสนามสังหารศัตรู พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้วกระมัง? แค่แอบหลบออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็พอแล้ว พวกเจ้าคิดว่าข้าพูดแบบนี้ถูกหรือไม่?”

สืออู่พลันหยุดนิ่งไม่ยอมขยับ ดูคล้ายจะโมโหอยู่บ้าง

ชูอียิ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ บุกเข้าไปก่อเรื่องในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันโดยตรง

ยังดีที่สำหรับเฉินผิงอันตอนนี้ ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้เรียกได้ว่าผ่อนคลายเบาสบาย เขาจึงวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังห้องครัวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

การควบคุมกระบี่บินแห่งชีวิตแค่ต้องใช้พลังจิตเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ลมปราณที่แท้จริง แต่หากกระบี่บินสังหารศัตรู จะมีขีดจำกัดอยู่ที่ระยะทาง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือระดับความมั่นคงของจิตใจ คิดจะทำลายอุปสรรคของระยะทางนี้ก็มีทางลัดให้เดินเหมือนกัน สำหรับผู้ฝึกกระบี่ก็คือขอบเขตที่พุ่งขึ้นสูง สำหรับเฉินผิงอันที่เพิ่งได้รับคำชมจากผู้ฝึกยุทธ์ว่าเป็น ‘เซียนกระบี่’ ก็คือจำเป็นต้องใช้ลมปราณเฮือกเดียวกับที่ใช้โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดบุกเข้าไปในช่องโพรงรวดเดียวให้ได้มากกว่าเดิม

ตอนนี้ระยะห่างของชูอีคือรอบรัศมีสิบจั้ง ของสืออู่คือแปดจั้ง

ห่างออกไปไม่ไกลก็คือห้องครัวแล้ว พอจะมองเห็นแสงสว่างได้เลือนราง

“ชื่อจางซานเฟิงดีกว่าชื่อเฉินผิงอันตรงไหนกัน?”

เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้รู้สึกไม่ยอมแพ้ แต่จู่ๆ เขากลับยิ้มกว้าง หัวเราะกับตัวเองอย่างสนุกสนาน “หึ เซียนกระบี่!”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset