ตอนที่ 239.2 ลมวสันต์ส่งท่านไกลพันหมื่นลี้

ม่านตาดำของหลิ่วชื่อเฉิงหดรัดตัวอย่างรุนแรง

ร่างทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางลูกแสงสีทองอ่อนจาง

แต่ลูกแสงเหนือศีรษะขึ้นไปกลับมีช่องโหว่ขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา สภาพเหมือนกับตอนที่ถ้ำสวรรค์หวงเหอถูกกระบี่ของคนผู้หนึ่งฟาดฟันให้เกิดช่องโหว่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อค่ายกลแสงทองผสานพลังต้นกำเนิดของนครจักรพรรดิขาวที่ปกป้องหลิ่วชื่อเฉิงเอาไว้มีรูโหว่ปรากฏขึ้น ในสายตาของหลิ่วชื่อเฉิงก็เห็นเป็นจุดสีดำขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาก่อน จากนั้นถึงกลายเป็นเส้นสีดำเล็กๆ สุดท้ายก็ถึงเป็นกระบี่ที่ฟันฟั่บ ผ่าค่ายกลใหญ่แสงทองให้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

ปลายกระบี่ชี้มาที่หว่างคิ้วของหลิ่วชื่อเฉิง อยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งชุ่น

หลิ่วชื่อเฉิงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน

ไม่ใช่ว่าพอเสียโอกาสในการลงมือก่อนไปแล้ว เขาจะไม่มีกำลังเหลือให้ต้านทาน ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะแต่ไรมานครจักรพรรดิขาวก็มีชื่อเสียงด้านมรรคกถาที่ซับซ้อนและวิชาอภินิหารมากมายหลากหลาย ลำพังเพียงแค่เสื้อคลุมอาคมบนร่างที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนครึ่งตัวชิ้นนี้ก็ทำให้เขาที่ยืนนิ่งๆ สามารถต้านทานกระบี่นั้นเอาไว้ได้แล้ว

แต่กระบี่ยาวที่ปัญญาชนสวมชุดเขียวถือไว้ด้วยมือข้างเดียวไม่ใช่กระบี่เล่มที่หร่วนฉงเป็นคนหลอม แต่เป็นแค่กระบี่ไม้ไหวธรรมดาเล่มหนึ่ง

ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงเลือกที่จะถอยหนึ่งก้าวเพื่อยุติความขัดแย้ง

เพราะเดิมทีเจ้าคนที่ชื่อฉีจิ้งชุนผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีที่จะบีบบังคับกันจนเกินเหตุอยู่แล้ว

นี่จึงถือว่าต่างฝ่ายต่างถอยกันคนละก้าว

ฉีจิ้งชุนเก็บกระบี่ไม้กลับมาใส่ไว้ในกล่องกระบี่ด้านหลังเฉินผิงอันช้าๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากกระบี่นี้เป็นฝีมือของอาเหลียง หรือของศิษย์พี่จั่ว เหตุการณ์ย่อมแตกต่างออกไป”

หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ออกจากเมืองมาพบเจ้าจริงๆ รึ? แถมยังเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เจ้าเล่นหมากล้อมด้วยถึงสามตา?”

ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ

เพราะความจริงเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นให้ต้องปิดบัง

แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉีจิ้งชุนไม่เคยเก็บประสบการณ์เหล่านี้กลับมาใส่ใจมาก่อน

นี่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างราวฟ้ากับเหวในด้านนิสัยใจคอระหว่างเขากับเด็กหนุ่มชุยฉานที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังภาคภูมิใจในตัวเองที่เคยได้เล่นหมากล้อมสิบตากับเจ้านครจักรพรรดิขาวท่ามกลางชั้นเมฆหลากสี

หลิ่วชื่อเฉิงถอนหายใจหนึ่งทีด้วยสีหน้าเลื่อนลอย

ราวกับว่าในใจมีแก้วหลิวหลีอยู่ใบหนึ่ง แล้วตอนนี้มันระเบิดแตกกระจาย ทั้งผิดหวัง แต่ก็คล้ายว่าได้ปล่อยวางเสียที

สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าในใจจะเคียดแค้นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไร้น้ำใจบนมหามรรคาแค่ไหน แต่บุรุษที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครผู้นั้นก็เป็นบุคคลที่ไร้ศัตรูใดจะทัดทานมาโดยตลอด คือบุคคลผู้สง่างามสูงส่งดุจแก้วหลากสีไร้มลทิน ไม่ควรจะต้องแหกกฎของตัวเองเพื่อใคร

หลิ่วชื่อเฉิงหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “ในเมื่อไม่อาจเป็นอาจารย์ของเฉินผิงอันได้ ข้าก็คงไม่สอนวิชากระบี่ให้เขาแล้ว มรรคกถาของข้าไม่ได้ราคาถูกด้อยค่าขนาดนั้น คนแซ่ฉี ในเมื่อเจ้ามีความสามารถมากขนาดนี้ก็ถ่ายทอดวิชาให้เขาเองเถอะ”

คล้ายต้องการจะประชด เขาจึงหมุนตัวก้าวยาวๆ ไปทางประตูใหญ่ของวัด

จู่ๆ ฉีจิ้งชุนก็เอ่ยขึ้นว่า “โปรดรอก่อน ข้ามีคำพูดหนึ่งจะมอบให้”

หลิ่วชื่อเฉิงหมุนตัวกลับมาด้วยความสงสัย

แล้วทันใดนั้นในทะเลสาบหัวใจของเขาก็มีริ้วคลื่นหลากสีลักษณะประหลาดกะเพื่อมไหวเบาๆ

หลังจากนั้นบนใบหน้าของหลิ่วชื่อเฉิงก็เผยความตะลึงพรึงเพริดและปิติยินดีเจียนคลั่ง หลังจากคิดสะระตะวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่งก็ถามเบาๆ ว่า “ดีนักนะฉีจิ้งชุน เจ้าที่เป็นถึงบุคคลระดับนี้ ไม่ว่าอยู่ในใต้หล้าแห่งใดก็ล้วนถือเป็นเซียนบนยอดเขาที่ร้ายกาจ เหตุใดถึงตกต่ำอยู่ในสภาพนี้ได้?”

ฉีจิ้งชุนถามกลับยิ้มๆ “ทำไมถึงเรียกว่าตกต่ำเล่า?”

หลิ่วชื่อเฉิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยความเลื่อมใสจากใจจริง “ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่าข้าติดหนี้เฉินผิงอันหนึ่งครั้ง วันหน้ารอจนข้ากลับไปมีชื่อเสียงอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางใหม่อีกครั้ง ก็ให้เฉินผิงอันไปหาข้าที่นครจักรพรรดิขาวได้เลย”

ก่อนหน้าที่จะไปจากวัดโบราณ หลิ่วชื่อเฉิงโบกชายแขนเสื้อแรงๆ หนึ่งครั้ง คว้าปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยที่หลบอยู่ในมุมมืดมา พามันออกไปจากวัดโบราณด้วยกัน

ก่อนหน้านี้จิ้งจอกน้อยได้เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่แล้ว นางทาผงประทินโฉมเข้มข้นบนแก้มสองข้าง ข้างหนึ่งสีเขียว ข้างหนึ่งสีแดง มองดูแล้วน่าขันอย่างถึงที่สุด นางคงเข้าใจผิดคิดว่านี่ก็คือคนงามผงสีชาด (แปลตรงตัวจากคำว่า红粉佳人 ผงสีชาดคือผงที่ผู้หญิงสมัยโบราณใช้ประทินโฉมให้งดงาม ซึ่งหากแปลอีกอย่างหนึ่งคำนี้จะหมายถึงผู้หญิงที่งดงามมาก) กระมัง?

ในอ้อมอกของนางโอบหนังสือที่รักที่สุดซึ่งเก็บรักษาติดตัวเป็นอย่างดีมานานหลายปีไว้เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่จัดพิมพ์อย่างหยาบๆ คำผิดมีมากมาย มีชื่อว่า ‘บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ’ เล่าเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิง ช่วงต้นมีการเขียนถึงมารยาทอันเพียบพร้อมของกุลสตรี ยกตัวอย่างเช่นเวลาพูดกับคนอื่น น้ำเสียงต้องนุ่มนวลอ่อนหวาน เมื่อได้พบเจอกับบัณฑิตหล่อเหลาเป็นครั้งแรกต้องก้มหน้าลงอย่างเขินอายก่อน จากนั้นถึงค่อยเงยหน้าขึ้นแอบมองเขาอย่างขลาดเขิน แล้วก็ก้มหน้าลงต่ำด้วยใบหน้าที่แดงก่ำอีกครั้ง ในหนังสือเล่มนี้มีความรู้มากมาย ทำให้นางได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางตอนเป็นเรื่องเล่าที่มีฉากจบเศร้า นางก็ยังหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่อ่าน

หลิ่วชื่อเฉิงบังคับพาตัวนางไป เดิมทีนางตกใจมาก แต่พอนางเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่นอกวัดโบราณ ในมือของเขาถือกิ่งหลิว กลางหว่างคิ้วมีปานแดงหนึ่งจุด นางกลับลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าสวรรค์ดีกับนางไม่น้อย บุรุษถูกใจที่ทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็นนี้ก็คือของขวัญที่สวรรค์มอบให้นาง

หลิ่วชื่อเฉิงพาลูกศิษย์และปีศาจจิ้งจอกเดินลงเขาจากไปไกล ไม่รู้ว่าไปที่ไหน

ฉีจิ้งชุนกวาดตามองไปรอบด้านแล้วก็พาเฉินผิงอันเดินออกจากวัดโบราณเช่นกัน พวกเขาไปยืนอยู่ตรงพื้นที่โล่งว่างนอกประตู อาศัยแสงจันทร์ทอดสายตามองภาพบรรยากาศยามค่ำคืนของขุนเขาที่อยู่ห่างไกลไปด้วยกัน

ฉีจิ้งชุนเอ่ยเบาๆ “คนเรามีสามจิตเจ็ดวิญญาณ สามจิตแบ่งออกเป็นไถกวาง ซ่วงหลิง โยวจิง (สามจิตคือส่วนที่เป็นจิตใจของร่างกาย ไถกวางควบคุมชะตาชีวิต ซ่วงหลิงควบคุมสติปัญญา โยวจิงควบคุมการสืบทอดนิสัยอารมณ์ทางกรรมพันธุ์) เมื่อข้าตายไปก็ได้แบ่งจิตวิญญาณและโชคชะตาของทั้งร่างคืนให้กับฟ้าดินเป็นส่วนใหญ่ เด็กๆ ที่เป็นลูกศิษย์อย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว ฯลฯ ต่างก็ได้อักษรคำว่าฉีไปคนละหนึ่งตัว ส่วนบนร่างของเจ้า จ้าวเหยาและซ่งจี๋ซินสามคน ข้าก็ใช้สามจิตที่หลงเหลืออยู่แอบทิ้งลมวสันต์ไว้หนึ่งกลุ่ม ตัวตนของข้าในเวลานี้ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นฉีจิ้งชุนที่สมบูรณ์แบบ ได้แค่ถือว่าเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่คุ้มครองให้พวกเจ้าเดินไปบนเส้นทางในช่วงระยะทางหนึ่ง เส้นทางที่ซ่งจี๋ซินเลือก ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อมากขึ้นทุกที เรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้ ต่างคนต่างก็มีวาสนาเป็นของตัวเอง ไม่สามารถบังคับควบคุมได้”

“ตอนนั้นจ้าวเหยาถูกชุยฉานขัดขวาง ในสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับจึงจำเป็นต้องมอบตราประทับ ‘ใต้หล้ารับวสันต์’ ไปให้อีกฝ่าย เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าคาดการณ์ไว้ได้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงบอกกับจ้าวเหยาไว้ล่วงหน้าแล้ว บอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการดำรงอยู่ของตราประทับชิ้นหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้น ระหว่างที่จ้าวเหยาเดินทางไปยังทวีปอื่นก็ได้รับโชควาสนาอย่างอื่น แต่สภาพจิตใจของเขาก็ยังมีช่องโหว่ปรากฏขึ้น วันหน้าไม่แน่ว่าอาจต้องให้เจ้าที่เป็นอาจารย์อาน้อยในนามช่วยเขาสักครั้ง”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ฉีจิ้งชุนจึงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าจะบอกว่าไม่ได้ตอบรับอาจารย์ของข้า จึงไม่อาจถือว่าเป็นศิษย์น้องเล็กของข้าได้? ไม่เป็นไร เจ้าไม่รับซิ่วไฉเฒ่าเป็นอาจารย์ แต่ข้าก็ยังรับเจ้าเป็นศิษย์น้องเล็ก”

เฉินผิงอันเกาหัว พยักหน้ารับ “ตกลง!”

ฉีจิ้งชุนตบไหล่เฉินผิงอัน “ตลอดทางที่เดินมานี้ เหนื่อยหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “วิเศษมากเลยล่ะ นอกจากฝึกหมัดแล้ว ยังได้พบเห็นภูเขาและแม่น้ำ ได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างจอมยุทธ์สวีและจางซานเฟิง อีกทั้งยังได้เห็นภูตผีปีศาจแปลกประหลาดมากมาย ไม่เหนื่อย”

ราวกับกลัวว่าอาจารย์ฉีจะไม่เชื่อ เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้ม “ไม่เหนื่อยจริงๆ นะ!”

ฉีจิ้งชุนอืมรับหนึ่งที

เขารู้ดีว่า นี่เป็นแค่ความรู้สึกว่าไม่เหนื่อยของเด็กหนุ่มเท่านั้น ตลอดทางที่มีแต่อุปสรรค หนทางเป็นหลุมเป็นบ่อไม่ราบรื่นนี้ จะไม่เหนื่อยเลยได้อย่างไร? การฝึกวิชาหมัดที่น่าเบื่อหน่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน สิ่งที่แบกอยู่บนไหล่บางๆ นั้นมีแต่ความคาดหวังของคนอื่นและความยากลำบากจากวิถีของโลก และยิ่งต้องคอยป้องกันความอันตรายและชั่วร้ายจากใจคนตลอดเวลา เรื่องราวและคนที่พบเจอมีแต่ความแปลกประหลาดน่าพิศวง ไม่เหนื่อยสิแปลก

ก็แค่เด็กหนุ่มแบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า แต่ไม่อยากให้คนอื่นต้องเป็นกังวลก็เท่านั้น

พอรู้ว่าอาจารย์ฉีไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่อง เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องที่เขาได้พบเจอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่มหัศจรรย์ ตรอกเมฆาคล้อยน้ำไหลของโรงเตี๊ยมในแคว้นหวงถิง เล่าเรื่องความเคารพเลื่อมใสที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจื่อมีต่ออาจารย์ฉี และยังเล่าความร้ายกาจของตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่นั้น เล่าเรื่องเว่ยป้อที่ย้ายจากภูเขาฉีตุนมาอยู่ภูเขาพีอวิ๋นที่บ้านเกิด พูดถึงผีสาวสวมชุดเจ้าสาว ผีงามโครงกระดูกที่มีนิสัยแตกต่างกัน แน่นอนว่าเรื่องที่เฉินผิงอันพูดมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องของบุรุษสวมงอบคนนั้น บอกว่าตอนที่ชายผู้นั้นพูดถึงอาจารย์ฉี จะต้องคลี่ยิ้มสดใสจนหน้าทั้งหน้ามารวมเป็นก้อนเดียวกัน ทว่าในช่วงเวลาเช่นนั้นกลับคล้ายจะเป็นช่วงเวลาที่อาเหลียงเสียใจมากที่สุด สุดท้ายเฉินผิงอันหัวเราะเล่าเรื่องที่อาเหลียงถูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าต่อยกลับมาในโลกมนุษย์ด้วยหมัดเดียว แต่พอได้พบหน้ากันอีกครั้ง อาเหลียงบอกกับตนว่า ไม่ต้องรีบร้อนฝึกกระบี่ เพราะเมื่อฝึกหมัดจนถึงขีดสุดก็ถือว่าได้ฝึกวิชากระบี่แล้ว ดังนั้นเขาเฉินผิงอันจึงไม่ร้อนใจสักเท่าไหร่…

ฉีจิ้งชุนยืนเคียงบ่ากับเด็กหนุ่มที่พูดจ้อไม่หยุด เขาถามยิ้มๆ ว่า “คิดถึงอาเหลียงมากเลยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้า พึมพำเบาๆ “สักวันอาเหลียงต้องกลับมา”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองอาจารย์ฉี “ใช่ไหม?”

ฉีจิ้งฉุนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

เฉินผิงอันถามอีก “แล้วอาจารย์ฉีล่ะ?”

ฉีจิ้งชุนถอนหายใจ ส่ายหน้า “ส่งท่านพันหมื่นลี้ สุดท้ายต้องมีวันบอกลา ชีวิตนี้ของข้าฉีจิ้งชุนคงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตัวเองเงียบๆ

คำตอบนี้ก็เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในร้านตระกูลหยาง ถึงแม้ว่าเฉินผิงอันจะคาดการณ์ได้ แต่พอได้ยินหยางเหล่าโถวพูดกับปากตัวเองว่า ‘ไม่คุ้มค่า’ เขาก็ยังคงเสียใจเหมือนเดิม อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ความเสียใจธรรมดาอีกด้วย

ฉีจิ้งชุนยื่นมือมาวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ “เศษซากวิญญาณที่เหลืออยู่ของข้าเหล่านี้ แม้จะบอกว่าในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของพวกเจ้าสามคน จึงทำให้สายลมฤดูใบไม้ผลิทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่นี่ แต่อันที่จริงแล้วนี่ก็เท่ากับว่าให้เจ้าออกเดินทางท่องเที่ยวในยุทธภพแทนข้าฉีจิ้งชุน ข้าไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีกแล้ว”

ฉีจิ้งชุนยิ้มอย่างเข้าใจ “เสียใจได้ แต่ก็ดื่มเหล้าได้เหมือนกัน”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยื่นส่งให้ฉีจิ้งชุนด้วยดวงตาแดงก่ำ

ฉีจิ้งชุนที่ร่างเริ่มจางลงเรื่อยๆ ยืดแขนบิดขี้เกียจ ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ส่วนของข้าขอติดไว้ก่อนก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงรัดน้ำเต้าไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย

เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะดื่มจนกลายเป็นผีขี้เหล้าไปจริงๆ

ฉีจิ้งชุนพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน สุดท้ายนี้ให้ข้าฝึกหมัดเป็นเพื่อนเจ้าสักครั้งดีไหม?”

เฉินผิงอันตอบรับอย่างหม่นหมอง “เดินนิ่งหกก้าว?”

ฉีจิ้งชุนพยักหน้า

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดินไปข้างหน้าช้าๆ ออกหมัดอย่างใจเย็น

แสงจันทร์สะอาดบริสุทธิ์ ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็เดินหน้าออกหมัดตามเด็กหนุ่มอย่างใจเย็นไม่ต่างกัน

หลังจากฝึกท่าหมัดครบหนึ่งรอบ เฉินผิงอันก็วางเท้าลงเบาๆ แล้วไม่ฝึกต่ออีก

เขาไม่ได้หันหน้าไปมอง เอาแต่จ้องมองไปไกลเบื้องหน้า เวลานี้ชายแขนเสื้อสองข้างของเฉินผิงอันไม่มีลมวสันต์ล้อมวนอีกต่อไปแล้ว

เขารู้ดีว่า

อาจารย์ฉี จากไปจริงๆ แล้ว

—–

จบภาค 3 มีดจวินชว่อ

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset