ตอนที่ 273.2 เฉินผิงอัน เจ้าฟังข้านะ

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อถึงเวลาสมควร กลับกันยังราดน้ำมันลงบนกองไฟโดยการพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “มิน่าเล่าภาพเหมือนนายท่านมรรคาจารย์เต๋าของพวกเจ้าที่อยู่ในหอซ่างเซียงถึงได้แขวนไว้สูงขนาดนั้น ห่างจากสามเจ้าลัทธิอาจารย์ของพวกเจ้าไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เลยทีเดียว”

นักพรตน้อยกระโดดผลุงขึ้นมา “เจ้าอยากมีเรื่องใช่ไหม?”

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่หัวเราะฮ่าๆ “โชคดีที่เจ้าไม่ได้พูดว่า ‘เจ้าอยากรนหาที่ตาย’ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องวิจารณ์ว่าเจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าคนนี้ข้อดีอย่างอื่นไม่มี แค่เป็นคนตรงไปตรงมาอย่างที่อาเหลียงพูด ดังนั้นเรื่องการประจบสอพลอและเปิดโปงข้อเสียของคนอื่น ขนาดอาเหลียงยังบอกว่าข้าอยู่ในอันดับต้นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”

นักพรตน้อยโมโหจนกัดฟันกรอดๆ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเป็นวงกลมอยู่บนเบาะพลางพึมพำเบาๆ “เจ้าคิดว่าเจ้าคืออาเหลียงของที่นี่? เจ้าคือผู้ลี้ภัยที่เกิดและเติบโตมาจากที่นั่น…หากไม่เป็นเพราะอาจารย์เคยเตือนให้ข้าทำตัวดีๆ กับคนอื่น วันนี้ข้าจะอัดให้เจ้าจำหน้าเดิมตัวเองไม่ได้ ไม่สนด้วยว่าเจ้าจะถูกฟ้าดินของที่แห่งนี้กดกำราบขอบเขตให้ถดถอยลงไปครึ่งหนึ่งหรือไม่ ชนะแบบไม่สมเกียรติแล้วอย่างไร อัดให้เจ้าไม่มีหน้าออกมาพบเจอคนตลอดหนึ่งปีต่างหากที่ถึงจะสาแก่ใจ อัดให้เจ้าเป็นเหมือนศิษย์พี่ที่อยู่ด้านบนภูเขาเดียวดายในปีนั้น…เกลียดขี้หน้าเจ้ามาหลายปีแล้ว…”

นักพรตหญิงที่เดิมทีหวังให้อาจารย์ช่วยหนุนหลัง กลับต้องมาเห็นอาจารย์เกิดโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ให้รู้สึกเสียใจจนไส้เขียว ตนไม่ควรมาที่นี่เลย

โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์เปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่างออกมาโดยไม่ทันระวัง นักพรตหญิงก็รู้สึกว่าวันเวลาในภูเขาห้อยหัวของตนคงดำเนินไปอย่างยากลำบากแล้ว

เทียนจวินอาจารย์ลุงที่พิทักษ์ใจกลางของภูเขาเดียวดายท่านนั้นอาจจะคร้านมาสนใจตน แต่ลูกศิษย์ใหญ่ของเขา เจียวหลงเจินจวินที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ บุคคลทรงอิทธิพลลำดับสามของภูเขาห้อยหัวผู้นั้นมีชื่อเสียงเรื่องการเคารพอาจารย์และให้ความสำคัญกับมรรคามากที่สุด เขาจะต้องแอบเล่นงานสร้างความลำบากแก่นางอย่างลับๆ ไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ …

นักพรตหญิงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

เหตุใดตนต้องมาเจอกับอาจารย์ที่ไม่เคยปกป้องลูกศิษย์ของตัวเองท่านนี้ด้วยนะ

บนถนนนอกหอจิ้งเจี้ยน เฉินผิงอันที่ได้มาเดินเที่ยวหอจิ้งเจี้ยนกับคู่สามีภรรยาจนทั่วอย่างงงๆ ตอนนี้กำลังเดินตามคนทั้งสองไปดื่มเหล้าลืมทุกข์อะไรที่ร้านเหล้าแบบงงๆ ด้วย

บางครั้งเขาก็รู้สึกเลื่อนลอย บางครั้งก็คุยกับฮูหยินที่หันมาถาม เหมือนว่าจะผ่านไปนานมาก แต่ก็เหมือนว่าจะเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป คนทั้งสามก็มาถึงร้านสุราที่ยังไม่ปิดกิจการ แต่การค้าซบเซา ในร้านกลับไม่มีแขกเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงลูกจ้างร้านเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฟุบงีบหลับอยู่บนโต๊ะ กับตาเฒ่าอีกคนหนึ่งที่นั่งหยอกนกตัวหนึ่งในกรงอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน

เถ้าแก่เฒ่าชำเลืองตามาเห็นสองสามีภรรยา “แขกที่หาได้ยากๆ จำเป็นต้องเอาเหล้าออกมาแล้ว”

จากนั้นเขาก็ปรายตาไปมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสอง ขมวดคิ้วมุ่น แต่แล้วก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนว่าเพราะเห็นแก่มิตรภาพถึงได้ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง

ผู้เฒ่าหันไปตวาดใส่ลูกจ้างจอมเกียจคร้านคนนั้น “สวี่เจี่ย! นอนๆๆ ทำไมเจ้าไม่นอนให้ตายไปเลยล่ะ! ลูกค้ามาแล้ว ไปยกเหล้ามาหนึ่งไห!”

เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าสวี่เจี่ยพลันสะดุ้งตื่น เช็ดคราบน้ำลาย ลุกขึ้นยืนอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินหลังงอไปยกเหล้ามาหนึ่งไห วางไว้บนโต๊ะของคนทั้งสาม หาวพลางกล่าวว่า “ลูกค้าทั้งสามท่าน ดื่มช้าๆ กฎเดิม ที่ร้านไม่มีอาหารให้กิน”

สตรีแต่งงานแล้วผงกศีรษะตอบรับ จากนั้นก็คลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มีหลวงจีนท่านหนึ่งที่ร้ายกาจมากเคยเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ ดื่มเหล้าลืมทุกข์ไปแล้วก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก เขากล่าวไว้ว่า ‘สิ่งที่ทำลายพระในใจของข้าได้ มีเพียงสุรานี้’”

ผู้เฒ่าที่เป็นเถ้าแก่พูดยิ้มๆ ว่า “ก็ใช่น่ะสิ หลวงจีนเฒ่าผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ เกรงว่าต่อให้อาเหลียงใช้กระบี่ฟันลงไปหลายครั้งก็คงไม่อาจทำลายฟ้าดินขนาดเล็กของลาหัวโล้นผู้นั้นได้”

อ้อมไปอ้อมมาก็คืออยากจะพูดว่าเหล้าของตัวเองร้ายกาจที่สุดในใต้หล้านั่นเอง

แต่เฉินผิงอันที่ได้ยินคนอื่นในภูเขาห้อยหัวพูดถึงอาเหลียง ลึกๆ ในใจเขากลับดีใจมาก

ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงอยากจะดื่มเหล้าจริงๆ แล้ว

ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าดันตบโต๊ะดังปัง กล่าวอย่างมีโทสะ “แม่งเอ๊ย พูดถึงอาเหลียงทีไรก็โมโหทุกที! ติดเงินค่าเหล้าข้ายี่สิบกว่าไห ทั้งใต้หล้าก็มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น! ปีนั้นเฉินฉุนอันแห่งนาตยทวีป และยังมีเทพแห่งการต่อสู้หญิงคนที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเมื่อไม่นานมานี้ รวมไปถึงไอ้พวกตาแก่จากเมธีร้อยสำนักทั้งหลาย มีใครบ้างที่กล้าติดค้างเงินค่าเหล้าข้า?”

“พวกเรามาพูดถึงบัณฑิตคนนั้นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ช่วงที่ตกต่ำที่สุด ยังไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรเล็กๆ ผู้นั้นน่ะ ดื่มเหล้าแต่งกลอนร้อยบท ดื่มเหล้าอะไร ก็เหล้าของข้านี่ไงล่ะ! แต่เขามาๆ ไปๆ สามครั้ง นับรวมกันแล้วยังติดเหล้าข้าไม่ถึงสี่ห้าไห แต่อาเหลียงนั่นเป็นคนก่อกรรมทำชั่ว ข้ากลับต้องกลายมาเป็นคนรับกรรมแทนเขา!”

สตรีแต่งงานแล้วหันมาขยิบตาให้เฉินผิงอัน ราวกับต้องการบอกว่าผู้เฒ่ามีนิสัยเป็นแบบนี้เอง ปล่อยให้เขาพูดไป เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ

ลูกจ้างเด็กหนุ่มกล่าวอย่างอัดอั้นไม่พอใจ “ตาเฒ่า ท่านอย่าพูดถึงอาเหลียงอีกได้ไหม เพื่อเขาแล้ว จนถึงวันนี้คุณหนูก็ยังไม่กลับมาภูเขาห้อยหัว ข้าคิดถึงคุณหนูจะตายอยู่แล้ว”

ผู้เฒ่าพลันลดระดับเสียงกลายเป็นพูดพึมพำว่า “ลูกสาวที่ใจดำแบบนั้น ปล่อยให้สร้างหายนะให้คนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นแหละดีแล้ว”

พอเปิดไหเหล้า บุรุษก็รินเหล้าใส่ถ้วยขาวใบใหญ่สามใบ แล้วก็เป็นอย่างที่ฮูหยินพูดไว้จริงๆ ในชีวิตนี้เขาเกลียดคนที่คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้ามากที่สุด ถึงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลังจากนี้อยากดื่มก็ดื่ม ไม่อยากดื่มก็เททิ้ง”

เฉินผิงอันจิบคำเล็กอย่างระมัดระวัง ไม่มีรสชาติอะไรมากนัก แค่แรงกว่าเหล้าหมักกุ้ยฮวาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเผาดาบสะบั้นไส้ให้ขาดได้ เฉินผิงอันจิบคำเล็กติดๆ กันอีกสองคำ ทั้งลำคอและท้องล้วนไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงวางใจได้อย่างเต็มที่ คาดเดาเอาว่าเหล้าลืมทุกข์นี้คงมีความลี้ลับในด้านอื่น ไม่ใช่ด้านของรสชาติ

เหล้าหนึ่งไห หลังจากทุกคนดื่มกันไปคนละสองถ้วยใหญ่ก็เหลือแค่ติดก้นไหแล้ว

สตรีแต่งงานแล้วหันไปยิ้มมองเถ้าแก่วัยชรา ขอเหล้าเพิ่มอีกหนึ่งไห ผู้เฒ่าเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้ก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินไปหยิบมาด้วยตัวเอง เอาเหล้าสองไหวางลงบนโต๊ะเบาๆ “เหล้าทั้งสามไห ถือว่าข้าเลี้ยงพวกเจ้า ไม่คิดลงในบัญชี”

เฉินผิงอันดื่มจนหน้าตาแดงก่ำไปหมด ทว่าหัวสมองกลับโปร่งโล่งราวกับไม่มึนเมา ยิ่งไม่มีอาการของคนเมามาย แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงอาการเคลิ้มกรึ่มนิดๆ ของตัวเองอย่างชัดเจน

ดื่มเหล้าไปแล้วก็อยากพูดมากขึ้น

ก็เหมือนกับอาการเรอหลังดื่มเหล้าที่จะให้กลั้นเอาไว้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างไรได้ปล่อยออกมาก็รู้สึกดีกว่า

ตอนแรกบุรุษเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า บ้างก็มองออกไปนอกร้าน ใจลอยไปไกล

ส่วนสตรีแต่งงานแล้วดูเหมือนจะชอบคุยกับเฉินผิงอันมาก คุยตั้งแต่เรื่องบ้านเกิดของเฉินผิงอันจนมาถึงการเดินทางไกลสองครั้ง

ในเมื่อไม่ได้เมา เฉินผิงอันจึงเลือกเล่าเรื่องราวและบุคคลที่น่าสนใจให้นางฟัง

ภายหลังไม่รู้ว่าพูดไปถึงแม่นางคนนั้นได้อย่างไร

เฉินผิงอันที่เดิมทีตัดสินใจว่าดื่มเหล้าหมดสี่ชามจะคว่ำชามเลิกดื่มกลับรินเหล้าให้ตัวเองเงียบๆ อีกหนึ่งชาม แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เอากระบี่มาส่ง บอกแค่ว่าตัวเองมีธุระต้องออกจากบ้านเกิดมาที่ภูเขาห้อยหัว แล้วได้รู้จักกับแม่นางคนหนึ่งพอดี บ้านของนางอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จากนั้นคนทั้งสองก็ได้พบกัน ง่ายดายเพียงเท่านี้

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เดินทางมาไกลมากเลยสิ?”

เฉินผิงอันถือถ้วยไว้ในมือ ครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ไกลหรอก คิดแค่ว่าเดินก้าวหนึ่งก็ขยับใกล้ขึ้นอีกนิด แค่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าไกลเท่าไหร่แล้ว”

บุรุษหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้จักกับแม่นางคนนั้นมานานแค่ไหน ไปมาหาสู่กันนานเท่าไหร่? ถึงได้พูดไม่หยุดปากว่าชอบนาง? เหลาะแหละเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะเถียงอย่างไร ได้แต่พูดอย่างอัดอั้นไม่พอใจ “จะชอบใคร ข้าบังคับตัวเองไม่ได้สักหน่อย เจ้าคิดว่าข้าเหลาะแหละก็คิดไปเถอะ ข้าบังคับเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”

บุรุษร้องหึอยู่ในลำคอ คาดว่าประโยคนี้ของเฉินผิงอันคงแทงใจดำเขาเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มพูดอย่างจริงใจมาก

เรื่องเล่าลือบนภูเขาไม่รู้จริงเท็จ

ดื่มเหล้าลืมทุกข์ก็คือคนจริงใจ

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยปลอบใจ “จากนั้นก็ถูกแม่นางคนนั้นปฏิเสธ? อย่าท้อแท้นะ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า ระหว่างคนบางคนถูกกำหนดมาแล้วว่าขอแค่ได้พบกัน ก็คือสิ่งที่ถูกต้อง หากยังได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็เป็นอะไรที่ดีที่สุด”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ นัยน์ตาปรือปรอย แต่ดวงตาทั้งคู่กลับใสกระจ่างดุจธารน้ำที่มองเห็นถึงก้นบึ้ง ไม่ว่าจะเป็นความดีใจ เสียใจ เสียดายหรือชื่นชอบล้วนไหลรินอยู่ในนั้น อีกทั้งยังสะอาดบริสุทธิ์ เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชอบคนคนหนึ่ง ควรต้องทำให้นางดีใจไม่ใช่หรือ หากคิดว่าชอบใครแล้วคนคนนั้นจะต้องยอมคบกับตัวเอง แบบนั้นจะเรียกว่าชอบได้หรือ?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กหนุ่ม “แต่ถึงแม้ปากข้าจะพูดแบบนี้ อันที่จริงหัวใจข้ากลับเสียใจจะตายอยู่แล้ว ข้าอยากให้ทั้งภูเขาห้อยหัว ทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนรับรู้ว่าข้าชอบแม่นางคนนั้น จากนั้นข้าก็หวังว่าใต้หล้าแห่งนี้ จะมีแค่แม่นางคนนี้ที่ชอบข้า…”

กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เฉินผิงอันเมาแล้วจริงๆ เป็นเหตุให้ลืมดื่มเหล้า วางศีรษะพาดโต๊ะ งึมงำไม่หยุด

เขาลืมด้วยว่าตัวเองโต้เถียงกับบุรุษอย่างไร ลืมว่าถึงขั้นลงไม้ลงมือกันด้วย

คล้ายฝันคล้ายไม่ฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น ดูเหมือนว่าด้วยความโมโห ขอบเขตของเขาได้ทะยานจากขั้นสี่ไปขั้นเจ็ดในรวดเดียว ไม่มีวาสนากับขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และดูเหมือนว่าสตรีแต่งงานแล้วจะยังถามเขาว่า เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับบิดามารดาของแม่นางคนหนึ่ง แล้วต้องละทิ้งอนาคตของวิถีวรยุทธ์ตัวเองไป มันคุ้มแล้วหรือ? วันหน้าเจ้าจะยังกลายเป็นเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า เป็นเซียนกระบี่ใหญ่อีกได้อย่างไร?

คำตอบของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็คือ “ชอบแม่นางคนหนึ่ง ไม่ใช่ดีแต่พูด หากวันนี้ข้าไม่ทำแบบนี้ สมมติว่าพวกท่านคือพ่อแม่ของหนิงเหยา แล้วพวกท่านคิดหรือว่าหากข้าเฉินผิงอันมีเงินแล้ว มีตบะที่สูงมาก ได้กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่จริงๆ จะยอมเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อบุตรสาวของพวกท่านได้อีก? ไม่มีทางหรอก…ความชอบแบบนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ถือเป็นความชอบที่แท้จริง นั่นเป็นการโกหกตั้งแต่แรกเริ่ม…”

ทั้งหมดนี้เฉินผิงอันจำไม่ได้แล้ว

เถ้าแก่วัยชราสีหน้าเป็นปกติ

เพราะเคยเห็นภาวะหลากหลายบนโลกมนุษย์มานับพันนับหมื่นปี

ลูกจ้างเด็กหนุ่มคนนั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเหตุการณ์ด้วยความเพลิดเพลิน

สุดท้ายเฉินผิงอันที่เมาก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง บุรุษมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง กระดกเหล้าขึ้นดื่มแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็ยังไม่ชอบเจ้าเด็กนี่อยู่ดี ทึ่มทื่อ โง่ เก็บกด ไม่สง่างามมากพอ ไม่ใจกว้าง พรสวรรค์ธรรมดา จิตใจแค่พอถูไถ นิสัยแค่มองก็รู้แล้วว่าดื้อด้าน วันหน้าหากทะเลาะกับลูกสาวเรา สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก็ไม่ยอมถอยสักก้าว จะทำอย่างไร? ด้วยนิสัยของลูกสาวเรา นางจะยอมรับผิดหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ยอมรับผิด? เจ้าเองก็รู้เหมือนกันหรือว่าเกินครึ่งต้องเป็นลูกสาวเราที่ทำผิดก่อน? รู้ด้วยว่าเด็กหนุ่มต้องยอมลงให้นางทุกเรื่อง?”

บุรุษรู้สึกร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะจึงเงียบเสียงลงอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก

จู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มบางๆ พูดว่า “นึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเด็กคนนี้ไม่สง่างามมากพอ คือความสง่างามของปัญญาชนผู้มีความรู้แต่เปลือกนอก หรือความสง่างามของบุรุษที่ห้อตะบึงไปในกลุ่มบุปผาเล่า?”

คำพูดนี้แอบแฝงปราณสังหาร

บุรุษพลันเกิดความคิดที่ทำให้เลื่อมใสตัวเอง ยกถ้วยเหล้าขึ้นแล้วกล่าวอย่างองอาจว่า “คำว่าสง่างามที่ข้าพูด หมายถึงว่าควรสลักคำนี้ไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่!”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มกว้าง

บุรุษหัวเราะแห้งๆ หาทางลงให้กับตัวเองด้วยการเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าเด็กโง่คนนี้ก็ดีมากเหมือนกัน ลูกสาวของพวกเราควรต้องหาคนแบบนี้จริงๆ”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น มองไปนอกร้านแล้วพึมพำขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ขอโทษนะ”

บุรุษข้างกาย บุตรสาวหนิงเหยา กำแพงเมืองปราณกระบี่ และใต้หล้าไพศาล

นางล้วนขอโทษทั้งหมด

ทั้งบุรุษและสตรีต่างก็ร่ายเวทอำพรางตา เรื่องราวหลังจากที่เฉินผิงอันเมาหลับไปล้วนสลายหายไปดั่งกลุ่มควัน

แม่นางที่เฉินผิงอันชอบ เหมือนทั้งเขา และก็เหมือนทั้งนาง

บุรุษที่นั่งเคียงไหล่กับนางกุมมือของสตรีแต่งงานแล้วเบาๆ “พวกเราแค่ผิดต่อบุตรสาวเท่านั้น ไม่ผิดต่อใครทั้งสิ้น”

จู่ๆ บุรุษก็ยิ้มกว้างมองไปทางเฉินผิงอัน “ลูกสาวเราสายตาดีจริงๆ”

หญิงสาวพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม “เหมือนข้า”

ทันใดนั้นบุรุษก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย “ลูกสาวโง่คนนี้ พูดประโยคนั้นออกมา มันยากนักหรือไง?”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ “ต้องยากมากอยู่แล้ว มีแม่นางคนไหนที่ชอบอีกฝ่ายแล้ว จะยังอยากให้เด็กหนุ่มที่ชอบตัวเองมาชอบแม่นางที่ต้องตายบนสนามรบกันล่ะ?”

บุรุษตบหน้าผาก “จะบ้าตาย! วกวนชะมัด!”

……

กำแพงเมืองปราณกระบี่ บนหินหน้าผาแท่นสังหารมังกร

นางนอนอยู่บนนั้น พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าฟังข้านะ ข้าไม่ได้ไม่ชอบเจ้า”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset