ตอนที่ 360.3 คิดถึงเฉินผิงอัน ( จบภาค 5 )

สีหน้าของเจียงซ่างเจินแข็งค้าง เอียงศีรษะ ยื่นมือมาขยี้ใบหน้าตัวเองแรงๆ

เฉินผิงอันหนอเฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ใช้น้ำเสียงผ่อนคลายเช่นนี้พูดถึงสหายที่บอกว่า ‘เวทกระบี่สูงกว่าอาเหลียง’ ได้หรือไม่?!

เฉินผิงอันเองก็จับความคิดของอีกฝ่ายได้จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ ความแค้นระหว่างข้ากับหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมาร ไม่เกี่ยวกับเจ้าสักเท่าไหร่ อีกอย่างต่อให้ข้าไปขอร้องจั่วโย่ว เขาก็ไม่มีทางรับปากข้าว่าจะออกกระบี่ใส่เจ้าเจียงซ่างเจินจริงๆ”

จั่วโย่วที่บอกว่าตัวเองคือศิษย์พี่ใหญ่

ต้องบีบจมูกกลั้นใจถึงจะยอมรับว่าตนคือ ‘ศิษย์น้องเล็ก’

วางใจกะผีน่ะสิ!

เจียงซ่างเจินไม่ได้เชื่อคำพูดนี้ของเฉินผิงอันจริงๆ อีกอย่างเซียนกระบี่ที่ชื่อว่า ‘จั่วโย่ว’ ผู้นั้นยังต้องใช้เหตุผลในการออกกระบี่อีกหรือ? คาดว่าหากเขาอารมณ์ไม่ดีก็คงปล่อยกระบี่ฟันใส่ภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักกุยหยกเลยกระมัง? เจ้าเฉินผิงอันไม่ลองไปถามความรู้สึกตอนนี้ของตาเฒ่าสารเลวสำนักใบถงผู้นั้นดูเล่า? หลังจากรับไปหนึ่งกระบี่แล้ว เพื่อให้ไม่ต้องรับกระบี่ที่สอง แม้แต่หน้าแก่ๆ เขาก็ยังไม่ต้องการแล้ว!

เจียงซ่างเจินตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าวันหน้าอยู่ให้ห่างเฉินผิงอันหน่อยจะดีกว่า

รับขวดที่บรรจุโอสถปีศาจมาแล้ว เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็รีบเก็บมันลงไปในวัตถุฟางชุ่นทันที

เจียงซ่างเจินเอ่ยเบาๆ ว่า “ขวดนี้ถือว่าเป็นสมบัติอาคมที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง ถือซะว่าเป็นของขวัญชดเชยของสกุลเจียงข้าแล้วกัน ส่วนวันหน้าเจ้ากับโจวซื่อจะได้เจอกันหรือไม่ เจอกันแล้วจะทำอย่างไร วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ”

เผยเฉียนชำเลืองตามองเฉินผิงอันและเจ้าหมอนั่นครั้งหนึ่งก็ไม่มองอีก

ขบวนรับเจ้าสาวของเทพภูเขาคือครั้งแรก ยื่นมือชี้ไปยังเรือข้ามฟากที่ลอยอยู่เหนือศีรษะคือครั้งที่สอง เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง

เผยเฉียนมองเห็นคนทั้งสองจึงอดจะมองเพิ่มอีกไม่ได้ ทว่าลู่ยงกับเว่ยเซี่ยนสี่คนกลับมองไม่เห็นจึงไม่คิดจะมองอีก

ครู่หนึ่งต่อมาสองร่างก็กลับมาปรากฏอยู่ข้างกายทุกคนอีกครั้ง

เฉินผิงอันเดินนำขึ้นเรือไปก่อน เผยเฉียนรีบตามไปทันที คนทั้งสี่ตามหลังมาติดๆ

หลังจากขึ้นเรือข้ามฟากมาแล้ว เฉินผิงอันก็หันกลับไปกุมหมัดคารวะเจียงซ่างเจิน “คนละเรื่องไม่เอามาปนกัน ขอบคุณมาก”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยรู้สึกโล่งอกขนาดนี้?

ผู้ดูแลของตำหนักพยัคฆ์เขียวมารออยู่ตรงหัวเรือนานแล้ว จึงนำทางพาพวกเฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของเรือข้ามฟากอย่างระมัดระวัง

เจียงซ่างเจินยังคงมองเรือข้ามฟาก เงียบงันไปเป็นนาน

ลู่ยงจึงได้แต่ยืนเหม่อเป็นเพื่อนเจ้าประมุขสกุลเจียงผู้นี้ด้วย

เดิมทีเรือข้ามฟากก็รอแค่กลุ่มของเฉินผิงอันอยู่แล้ว เพียงไม่นานก็ทะยานขึ้นฟ้าช้าๆ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

เจียงซ่างเจินถอนสายตากลับมา พูดเบาๆ ว่า “แขกสูงศักดิ์มาเยือนถึงบ้าน ตำหนักพยัคฆ์เขียวของพวกเจ้าไม่คิดจะมอบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้เฉินเซียนซือบ้างหรือ?”

หัวใจของลู่ยงบีบรัดตัวแน่น พูดอย่างรู้กาลเทศะว่า “นั่นย่อมแน่อยู่แล้ว ต้องมอบๆ เพียงแต่หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะช่วยชี้แนะว่าควรจะมอบอะไรให้จึงจะเหมาะสม?”

เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงเย็น “อะไรที่มีค่าก็มอบสิ่งนั้น จะดีจะชั่วก็เป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าเรื่องมอบของขวัญอีกหรือ?”

ลู่ยงกัดฟัน พูดอย่างระมัดระวัง “หากเฉินเซียนซือปฏิเสธ ตำหนักพยัคฆ์เขียวควรจะทำอย่างไร?”

เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับไป สายตาเย็นชา “ก็ร้องไห้ โวยวาย แขวนคอตายซะสิ คนเขาจะไม่ยอมรับเชียวหรือ? ใต้หล้านี้หลอกเงินคนอื่นเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มอบเงินให้คนอื่นยังจะยากอีกหรือ? หากเรื่องเล็กๆ แค่นี้ตำหนักพยัคฆ์เขียวยังทำไม่ได้ เจ้าที่เป็นเจ้าตำหนัก ทำไมไม่ไปตายซะเลยล่ะ?”

ลู่ยงเหงื่อท่วมโซมกาย “ผู้อาวุโสสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร”

เจียงซ่างเจินแค่นเสียงเย็นหนึ่งที “ไม่ว่าเจ้าลู่ยงจะมอบอะไรไป หลังจากนั้นให้กลับมาบอกราคาแก่ข้า ข้าจะชดใช้คืนให้กับตำหนักพยัคฆ์เขียวเป็นสองเท่า”

ลู่ยงเพิ่งจะวางแผนได้สำเร็จ

คิดไม่ถึงว่าเจียงซ่างเจินจะหรี่ตาลง พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึน “อย่ามาทำตัวอวดฉลาดกับข้าในเรื่องเละเทะประเภทนี้ เป็นเงินเท่าไหร่ก็บอกมาเท่านั้น เจ้าลู่ยงและตำหนักพยัคฆ์เขียวยังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะทำให้ข้าเจียงซ่างเจินติดค้างน้ำใจได้”

ลู่ยงรีบพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวสาร

เจียงซ่างเจินพลันหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง แล้วตบไหล่ของลู่ยง พูดด้วยสีหน้าเมตตาปราณี “เมื่อครู่นี้ข้าคิดเรื่องหนึ่งจนกระจ่างแจ้ง ดังนั้นข้าจึงวางแผนว่าจะอยู่ที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวนานอีกหนึ่งวัน เจ้าเลือกลูกศิษย์ที่เข้าท่าเข้าทีมาสักสองสามคน ข้าจะช่วยอธิบายเรื่องการฝึกตนให้พวกเขาฟังเอง หากในบรรดาคนเหล่านี้มีตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตน ข้าจะมอบรายชื่อหนึ่งให้คนของตำหนักพยัคฆ์เขียวได้ไปที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา อืม อย่าลืมล่ะว่าหากหน้าตาเหมือนแตงเบี้ยวเหมือนพุทราแตก ต่อให้พรสวรรค์ดีแค่ไหนก็อย่าเอามาให้ขัดหูขัดตาข้า การถ่ายทอดวิชาความรู้ ไขข้อข้องใจให้คนอื่นนั้น ยังต้องพิถีพิถันในเรื่องสบายตาสบายใจด้วย”

ในใจลู่ยงปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็คารวะขอบคุณด้วยความจริงใจ “พระคุณยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโส ลู่ยงจะจดจำให้ขึ้นใจ!”

บนเส้นทางของการฝึกตน ความโชคดีมาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ

โชคร้าย จะแบกไหวหรือไม่ โชคดี จะรับไว้อยู่มือหรือไม่

ล้วนเป็นการฝึกตนของตน

ยกตัวอย่างเช่นต่อให้เป็นเทพเซียนบนยอดเขาอย่างเจียงซ่างเจิน หากเปลี่ยนไปเป็นโจวเฝยที่มีสถานะเป็นเจ๋อเซียน เมื่อเจอกับติงอิงที่เกิดจิตสังหารก็ได้แต่ตายอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่ดี

……

หลังจากเดินขึ้นไปยังชั้นบนของเรือข้ามฟากแล้ว คนทั้งหกต่างก็มีห้องพักชั้นหนึ่งเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าห้องที่เฉินผิงอันพักย่อมใหญ่หรูหราจนเกินจริงไปมาก

เว่ยเซี่ยนสี่คนได้ป้ายหยกและกุญแจไปแล้วต่างก็พร้อมใจกันเดินตามเฉินผิงอันไป

หลังจากเผยเฉียนปิดประตูลงก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง วิ่งกลับไปกลับมา เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ สุดท้ายไปยืนดูทะเลเมฆอยู่ที่ระเบียงชมทิวทัศน์ ใบหน้าดำเกรียมเต็มไปด้วยความสุข สายตาเหม่มองไปยังทิศไกล

เว่ยเซี่ยนเองก็ตามไปที่ระเบียงด้วย

คนทั้งสามนั่งลง รวมกับเฉินผิงอันด้วยอีกคน

หลูป๋ายเซี่ยงถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน เทพเซียนหนุ่มคนเมื่อครู่นี้คือ?”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง รินชาถ้วยหนึ่งให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันรับถ้วยชามาแล้วก็เอ่ยว่า “คือเจ้าประมุขสกุลเจียงของสำนักกุยหยก เจียงซ่างเจิน ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ อีกทั้งเขายังได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่ระดับขั้นสูงมากแห่งหนึ่ง อาณาบริเวณของพื้นที่มงคลแห่งนั้นกว้างขวางอย่างถึงที่สุด มีสมบัติวิเศษอยู่เยอะมาก”

จูเหลี่ยนจุ๊ปากชื่นชม “นายน้อยไม่ได้แค่คบหากับคนที่ความรู้ตื้นเขิน เห็นได้ชัดว่าคนที่เรียกว่าเป็นสหายเป็นเพื่อนล้วนเป็นเซียนบนภูเขา”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่เพื่อนอะไรหรอก”

หลูป๋ายเซี่ยงกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ขอบเขตหยกดิบ นั่นก็เท่ากับเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว”

เฉินผิงอันได้บอกเรื่องการแบ่งขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แล้ว

ร่างทองขอบเขตเจ็ด เดินทางไกลขอบเขตแปด ยอดเขาขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธ์ คือขอบเขตปลายทางบนวิถีวรยุทธ์ในสายตาของของผู้ฝึกยุทธ์บนโลก แต่อันที่จริงยังมีขอบเขตสิบ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ยังคงบอกกับพวกเขาว่าขอบเขตสิบยังคงไม่ใช่ขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์

ห้าขอบเขตกลางของผู้ฝึกลมปราณ ขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตโอสถทอง ขอบเขตก่อกำเนิด

ห้าขอบเขตบนรู้แค่ว่ามีขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยาน อีกสองขอบเขตหายสาบสูญไปนานแล้ว

ตรงระเบียงชมทิวทัศน์ เผยเฉียนมองก้อนเมฆที่เดี๋ยวม้วนเดี๋ยวคลาย มองทัศนียภาพงดงามยิ่งใหญ่แล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมาอีก นางถอนหายใจเฮือกๆ “เหล่าเว่ยเอ๋ย ข้าจะพูดความในใจให้เจ้าฟังดีไหม?”

เว่ยเซี่ยนอืมรับหนึ่งที ยืนอยู่ตรงราวระเบียง เรือข้ามฟากขับเคลื่อนไปเหนือทะเลเมฆ น่าจะมีค่ายกลตระกูลเซียนให้การปกป้อง ระเบียงชมทิวทัศน์ของเรือลำนี้ถึงไม่ต้องรับกับลมที่ปะทะรุนแรง มีเพียงลมโชยอ่อนที่ลอยมาปะทะใบหน้าให้เย็นสบายเท่านั้น

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “พ่อข้ายังไม่ยอมสอนวิชากระบี่ล้ำโลกให้ข้าเสียที”

เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าวต้องกินไปทีละคำ”

เผยเฉียนนั่งยองอยู่บนพื้น  เอนหลังพิงราวระเบียง “กลุ้มจังเลย”

เว่ยเซี่ยนก้มหน้าลงมองเด็กหญิงผอมแห้งแวบหนึ่ง “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็ยังน่าสังเวชแบบนี้ ถ้าชินแล้วเดี๋ยวก็ดีเอง”

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น สายตาเต็มไปด้วยแววตำหนิ “เหล่าเว่ย เจ้าเป็นแบบนี้จะหาเมียได้ไหม?”

เว่ยเซี่ยนคิดแล้วก็ตอบว่า “หาได้สิ ล้วนเป็นคนอื่นที่ช่วยหาให้ข้า แต่คนที่ข้าชอบที่สุด ข้ากลับไม่สามารถแต่งนางเข้าบ้านมาได้”

เผยเฉียนถาม “ทำไมล่ะ? นางรังเกียจที่เจ้าหน้าตาขี้เหร่? ถ้าอย่างนั้นก็โทษผู้หญิงเขาไม่ได้หรอก”

ความสามารถในการปลอบใจของหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กนี้ล้วนย่ำแย่ไม่ต่างกัน

เว่ยเซี่ยนฟุบตัวลงบนราวระเบียง “ไม่มีใครรังเกียจหน้าตาของข้า นางเองก็ไม่ได้สะสวยไปยังไง เพียงแต่ตอนนั้นบ้านข้ายากจน ใจคิดว่าวันหน้าหากหาเงินมาได้เยอะแล้วก็จะแต่งนางเป็นภรรยา ภายหลังเรื่องราวทางโลกวุ่นวาย นางตาย แต่ข้าไม่ตาย”

เผยเฉียนลุกขึ้นยืน ตบแขนเว่ยเซี่ยน “เอาน่า ล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว เจ้าลองคิดดูสิ เรื่องพวกนี้ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว เจ้ายังคิดถึงนางอยู่ นั่นก็เท่ากับว่านางยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว ไม่แน่ว่าหากปีนั้นเจ้าแต่งนางมา ยิ่งมองยิ่งรำคาญใจ เจ้าอาจจะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ก็ได้”

เว่ยเซี่ยนพยักหน้า “คือเหตุผลข้อนี้ ปีนั้นคนข้างกายข้าไม่มีใครที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน คนเป็นขุนนางมีมากมายขนาดนั้น ทว่าความรู้ที่เล่าเรียนมากลับลงท้องสุนัขไปหมดแล้ว”

เผยเฉียนหัวเราะคิกคักถามว่า “เหล่าเว่ย เจ้าคิดว่าข้าเป็นขุนนางใหญ่ได้แค่ไหน?”

เว่ยเซี่ยนกล่าว “ผู้หญิงเป็นขุนนางไม่ได้ เจ้าหน้าตาแบบนี้ โตไปก็น่าจะเป็นหญิงอัปลักษณ์ ต่อให้เข้าวังก็ไม่มีทางได้เห็นฮ่องเต้ชั่วชีวิต”

เผยเฉียนเตะขาของเว่ยเซี่ยน พูดอย่างเดือดดาล “เหล่าเว่ย ทำไมเจ้าถึงเป็นอันธพาลเฒ่าได้นะ?!”

เว่ยเซี่ยนหัวเราะเหอๆ

ความไม่สบายใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาซึ่งติดค้างอยู่ในใจของหมื่นศัตรูไร้เทียมทานแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวผู้นี้ก็ได้จางหายไปแล้ว

อันที่จริงจะโทษว่าเฉินผิงอันจงใจทำให้คนไม่สบายใจไม่ได้ เพราะเป็นเขาเว่ยเซี่ยนที่ปากอยู่ไม่สุขเอง อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปถามเรื่องประวัติศาสตร์ในภายหลังของแคว้นหนันเยวี่ยน โดยเฉพาะคำวิจารณ์ที่มีต่อเขาเว่ยเซี่ยนในหนังสือประวัติศาสตร์

ตอนนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของแคว้นหนันเยวี่ยนก็พลิกเปิดตำราประวัติศาสตร์และเกร็ดพงศาวดารมากมาย เรื่องราวเกี่ยวกับฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นเว่ยเซี่ยน แน่นอนว่ายิ่งเปิดเจอไม่น้อย หนึ่งในนั้นเป็นคำเล่าลืออันมหัศจรรย์และนิมิตมงคลยามที่เว่ยเซี่ยนถือกำเนิด ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งที่บิดาของเว่ยเซี่ยนไปทำนาในนา เห็นว่าภรรยานอนหงายอยู่บนถนน มีมังกรขาวขดตัวอยู่บนร่างนาง จากนั้นนางก็ตั้งท้องเว่ยเซี่ยน…

หลังจากการคุยเล่นในครั้งนั้น เว่ยเซี่ยนก็ไม่ถามเรื่องพวกนี้กับเฉินผิงอันอีก

เผยเฉียนเป็นคนที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ ตอนนั้นจึงหัวเราะก๊ากกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา

และช่วงที่ผ่านมานี้ก็มักจะเอาเรื่องนี้มาทำให้เขารำคาญใจอยู่เป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่นเวลาเดินนางจะจงใจยืดท้องให้นูนใหญ่ จากนั้นก็วิ่งวนไปรอบกายเว่ยเซี่ยนแล้วยังร้องโอ้ยๆๆ ประกอบด้วย

สุดท้ายถูกเฉินผิงอันดึงหูจนเจ็บ นอกจากนี้ยังเขกมะเหงกเต็มๆ ให้อีกหนึ่งที เผยเฉียนถึงได้ยอมหยุด อีกทั้งยังไปขอโทษเว่ยเซี่ยน ทว่ายามที่หันหลังให้เฉินผิงอัน อันที่จริงนางยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้าทะเล้น

เว่ยเซี่ยนไม่ได้ถือสาถึงขั้นโมโหเด็กหญิงตัวน้อยเอาจริงเอาจัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังอารมณ์ไม่ดี

เผยเฉียนเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของเว่ยเซี่ยน พลันพูดขึ้นว่า “เหล่าเว่ย ขอโทษนะ วันหน้าข้าจะไม่ล้อเลียนเจ้าแล้ว”

เว่ยเซี่ยนแสยะปาก “ไม่เป็นไร อันที่จริงนี่ไม่ถือเป็นอะไรได้เลย ยังมีเรื่องอีกมากที่ขุนนางผู้บันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของแคว้นหนันเยวี่ยนไม่กล้าพอจะเขียนลงไป…”

เผยเฉียนพูดเบาๆ “ยกตัวอย่างเช่น? เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ พวกเราคุยกันเบาๆ”

เว่ยเซี่ยนพูดเสียงเบา “มีถมเถไป ยกตัวอย่างเช่นฉายาของข้าตอนอยู่ที่บ้านเกิดคือสู่ปา เพราะบ้านยากจนจึงต้องลักเล็กขโมยน้อย ภายหลังยังทำเรื่องสกปรกหลายอย่างเช่นดักปล้นบนถนน เป็นโจรในภูเขา เร่ขายเกลือเถื่อน ฯลฯ ส่วนแม่ของข้า ไม่เคยมีมังกรขาวอะไรขดตัวบนร่างมาก่อน แต่ข้ากลับเคยเห็นนางคบชู้กับตาตัวเอง เพียงแต่ข้าเก็บเงียบไม่บอกใคร บุรุษคนนั้นไม่เลว เป็นคนดีกว่าพ่อข้าเยอะเลย ภายหลังเพื่อช่วยข้า บุรุษคนนั้นถูกดักอยู่ในตรอก ถูกโจรฟันหลังจนเละ แต่ยังไม่ลืมตะโกนบอกให้ข้าหนีไป ข้าจะทำอะไรได้อีก ก็หนีน่ะสิ แต่สุดท้ายข้าก็หาตัวฆาตกรที่ฆ่าเขาไม่เจอ”

เผยเฉียนทอดถอนใจพลางหมุนตัววิ่งไปทางเฉินผิงอัน แล้วอยู่ๆ ก็เพิ่มความเร็ว พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่ของเว่ยเซี่ยนเขา…”

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset