ตอนที่ 395.3 น้ำลดหินผุด เงินกองน้อย

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนหยุดยืนอยู่ห่างไปไกล

มีเพียงอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินมาหยุดข้างกายเผยเฉียน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางน้อย ขอข้าอ่านตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ได้หรือไม่?”

เผยเฉียนลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือคารวะอย่างเข้าท่าเข้าที เรียกอีกฝ่ายคำหนึ่งว่าอาจารย์ผู้เฒ่าฝู ครุ่นคิดแล้วก็ทรุดตัวกลับไปนั่งดังเดิม โบกมือกล่าวว่า “เชิญท่านอ่านเถอะ ไม่ได้มีอะไรที่น่าอับอายเสียหน่อย มีแต่เรื่องดีๆ ด้วยซ้ำ อาจารย์ของข้าคัดลอกมาจากในตำราอย่างยากลำบาก หากไม่ใช่ประสบการณ์จากการเดินทางไกลไปทั่วทิศก็เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังคนอื่นเขาเล่ามาอีกที”

ก็เหมือนประโยคเหลวไหลที่จูเหลี่ยนหลุดปากเมื่อไม่นานมานี้ว่า ชีวิตคนคือตำราแห่งความทุกข์ยาก สามารถสอนคนได้ดีที่สุด

แล้วเฉินผิงอันก็ยังเอามาสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่ครบถ้วนทุกตัวอักษร แต่เผยเฉียนไม่ชอบไม้ไผ่แผ่นนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงวางมันไว้ริมขอบนอกสุด ปล่อยให้มันโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง

ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกว่าไม้ไผ่แผ่นนี้เทียบกับไม้ไผ่แผ่นอื่นทุกแผ่นของอาจารย์ไม่ได้

เผยเฉียนเชิดศีรษะขึ้นสูง พูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ตกลงกันก่อนว่า ให้ท่านดูสมบัติที่อาจารย์ของข้าเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเหล่านี้แล้ว หากอาจารย์ของข้าโกรธขึ้นมา ท่านต้องแบกรับไว้ด้วย ท่านไม่รู้อะไร อาจารย์เข้มงวดกับข้ามาก เฮ้อ ช่วยไม่ได้ อาจารย์ชอบข้านี่นะ ทั้งคัดตำราเอย ทั้งเดินนิ่งเอย ช่างเถิด เรื่องเหล่านี้พูดไปท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็คงไม่เข้าใจ ก็ท่านเป็นอาจารย์ที่สร้างความรู้อยู่ในห้องหนังสือนี่นะ คงไม่รู้หรอกว่าหมั่นโถวลูกหนึ่งขายได้กี่อีแปะ”

เผยเฉียนเอ่ยเตือนอย่างจริงจังอีกครั้ง “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านห้ามตอบแทนความหวังดีของข้าด้วยประสงค์ร้ายนะ ตกลงไหม?”

ผู้เฒ่าชุดเขียวคลี่ยิ้ม “ตกลง!”

ดังนั้นพอเด็กน้อยนั่งยองอยู่ที่เดิม คนแก่ก็นั่งยองตามไปด้วย ไล่สายตาอ่านไปตามไม้ไผ่แผ่นแล้วแผ่นเล่า บางครั้งก็หยิบขึ้นมาเบาๆ แล้ววางลงอย่างระมัดระวัง

นี่ทำให้เผยเฉียนคลายใจลงได้

หลังจากไล่อ่านแผ่นไม้ไผ่ไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ผู้เฒ่าก็ยิ้มถามว่า “หมัดใหญ่คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม่นางน้อย เจ้าเชื่อคำพูดนี้หรือไม่?”

เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “เชื่อสิ ไม่อย่างนั้นเหตุใดข้าเพิ่งตัวแค่นี้ก็ต้องฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชาหมัด ฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบทุกวันแล้วเล่า? ยุทธภพอันตรายอย่างมาก มีแต่คนชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมด”

เดิมทีเผยเฉียนอยากจะเอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมที่เกี่ยวกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหล่าเว่ยเคยบอกว่า การพูดจาจริงใจกับคนที่ไม่สนิทสนมเป็นข้อต้องห้ามใหญ่ของยุทธภพ ดังนั้นนางจึงอดทนไว้ไม่พูดออกมา คำพูดที่เหมือนควักหัวใจให้ดูเช่นนี้เอาเก็บไว้ในใจตัวเองจะดีกว่า แค่อาจารย์รู้คนเดียวก็พอแล้ว

ชาวขงจื๊อวัยกลางคนที่อยู่ห่างไปไกลขมวดคิ้วด้วยความเคยชิน

แต่ผู้เฒ่ากลับหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างชอบใจ

เผยเฉียนไม่เข้าใจว่ามีอะไรให้น่าหัวเราะ ขยับไปพลิกไม้ไผ่บางส่วนที่อยู่ใกล้มาตากแดดใหม่ ทำงานหนักพลางพูดชวนคุยไปด้วยว่า “แต่อาจารย์สอนข้าว่า หากจะพูดหลักการข้อนี้ให้ชัดเจนก็ต้องพูดถึงลำดับขั้นตอนก่อน จะให้ลำดับขั้นตอนผิดพลาดไปไม่ได้ นั่นคือเป็นคนต้องมีเหตุผลก่อน จากนั้นเมื่อหมัดใหญ่แล้ว เวลาที่พูดเหตุผลกับคนที่ไร้เหตุผลถึงจะสะดวกมากขึ้น ไม่ใช่บอกให้คนเอาแต่สนใจว่าหมัดแข็งพอหรือไม่ แล้วก็มีอะไรอีกมากมาย อย่างเช่นเวลาอยู่คนเดียวห้ามลืมระวังตัวเอง หมั่นสำรวมทบทวนตน ถามใจตนเองไม่ละอาย ฯลฯ เฮ้อ อาจารย์บอกว่าข้าอายุยังน้อย จำเรื่องพวกนี้ได้ก็พอแล้ว ส่วนจะเข้าใจหรือไม่ ในตำราก็รอข้าอยู่”

สุดท้ายเผยเฉียนให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ดังนั้นประโยคนี้ของอาจารย์นั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่าไม่ครบถ้วน”

นี่ถึงทำให้สีหน้าของชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนดีขึ้นมาได้เล็กน้อย

ส่วนผู้เฒ่ากลับไม่ได้หัวเราะเยาะเผยเฉียน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

สายตาเผยเฉียนเป็นประกายวาววับ “อาจารย์ผู้เฒ่า ความรู้ของอาจารย์ข้ายิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหม?”

ผู้เฒ่าตอบกลับ “อาศัยแค่ไม่กี่ประโยคนี้ของอาจารย์เจ้า มองไม่ออกว่าความรู้ของเขายิ่งใหญ่หรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็…พูดได้ถูกมาก อืม ก็คือไม่มีข้อผิดพลาด ฟังดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ง่ายเลย และการปฏิบัติตามหลักการนี้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่”

เผยเฉียนเลิกคิ้วสูง เอาตัวมาบังสายตาที่ไล่อ่านแผ่นไม้ไผ่ของผู้เฒ่าอย่างขุ่นเคือง ยกสองมือกอดอก “ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็อย่าอ่านแผ่นไม้ไผ่พวกนี้สิ”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “โอ้โห แม่หนูน้อยเจ้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันหรือนี่”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เคารพคนแก่รักเมตตาเด็ก ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าท่านอายุมาก ข้าอายุน้อย พวกเราสองคนถือว่าเท่าเทียมกันแล้ว ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าห้ามคิดจะอาศัยว่าตนอายุมากกว่ามาทำตัวอาวุโสใส่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง”

ผู้เฒ่าได้แต่พูดว่า “อาจารย์ของเจ้าสอนได้ถูกต้อง ส่วนที่หาได้ยากยิ่งและล้ำค่าก็คือ เขายังคงรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์ของเจ้าเอาไว้ได้ อาจารย์ของเจ้าร้ายกาจมาก”

ตอนแรกเผยเฉียนก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่จากนั้นก็ส่ายหน้า “อาจารย์ผู้เฒ่าพูดอย่างนี้เพราะอยากอ่านแผ่นไม้ไผ่ให้มากขึ้นสินะ? ก็ได้ๆ อ่านเถอะๆ ข้าล่ะกลัวคำพูดมีไมตรีทั้งหลายแหล่ของพวกอาจารย์อย่างท่านแล้ว เฮ้อ กลุ้มจริง”

พอนางเอ่ยเช่นนี้ ต่อให้เป็นชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนก็ยังคลี่ยิ้มอย่างห้ามไม่ได้

ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยเขียนตำราหนึ่งเล่ม วัตถุประสงค์ของเขามีแค่สามคำว่าไม่คิดอกุศลเท่านั้น

เป็นเหตุให้อริยะใหญ่รุ่นหลังคนหนึ่งที่เพื่อรักษาคุณธรรมอันไร้ข้อบกพร่องของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว ไม่อาจแต่งตำราขึ้นมาเองโดยพลการได้อีก ดังนั้นจึงได้แต่เขียนอรรถาธิบายอย่างยากลำบากแทน

นี่ทำให้อาจารย์ฝูท่านนี้ตลกขบขันอยู่พักใหญ่

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้นี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ราวกับว่าสามลัทธิร้อยสำนัก กษัตริย์ขุนนาง ตลอดทั้งใต้หล้าล้วนมีปัญหาข้อนี้

แต่ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนรู้สึกว่าอาจารย์ฝูในวันนี้แตกต่างไปจากปกติ ถึงขนาดทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ

อยู่ในสวนสิงโตมานานขนาดนี้ เขายังไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง

อ่านแผ่นไม้ไผ่ครบถ้วนแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืน มองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ยังคงพลิกไม้ไผ่อย่างขยันขันแข็งก็คิดจะช่วย แต่เผยเฉียนกลับรีบโบกมือห้าม ใช้หลังมือเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผากอย่างสะเปะสะปะ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเคารพผู้ใหญ่อย่างมากเลยนะ ไม่ต้องให้อาจารย์ผู้เฒ่าช่วยเหลือหรอก ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์มาเห็นเข้าต้องดึงหูข้าแน่”

อาจารย์ผู้เฒ่าจึงคลี่ยิ้มเอ่ยลา แล้วก็ยื่นมือออกมากดลงเบื้องล่างสองที บอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องลุกขึ้นคำนับ ถือเป็นการรักเมตตาเด็กแล้ว

อาจารย์สองท่านเดินเคียงไหล่กันไปบนทางเดินเล็กๆ ท่ามกลางร่มเงาต้นไม้

อาจารย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

ผู้เฒ่าที่ชื่อว่าฝูเซิงจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ผิดจากที่คาด คนหนุ่มผู้นั้นก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่า”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนมีสีหน้าซับซ้อน

ฝูเซิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “พวกเราอย่าได้สนใจเลย”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนพยักหน้ารับ ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะรับหลิ่วชิงซานเป็นลูกศิษย์เมื่อไหร่? ข้ารู้สึกว่าการทดสอบใหญ่ครั้งนี้ หลิ่วชิงซานถือว่าผ่านด่านแล้ว”

ฝูเซิงส่ายหน้า “ยังเร็วนัก อ่านตำราหมื่นเล่มในห้องหนังสือ เข้าใจหลักการและเหตุผลบ้างแล้ว แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ยังจำเป็นต้องให้หลิ่วชิงซานเดินทางไกลหมื่นลี้ไปเห็นคนและเรื่องราวให้มากขึ้น”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนเอ่ยถาม “อาจารย์คิดจะพาหลิ่วชิงซานกลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพร้อมกันด้วย? จากนั้นค่อยมอบสำเนาตำราอริยะปราชญ์ที่อาจารย์ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวช่วยเหลือไว้ในปีนั้นให้แก่หลิ่วชิงซาน?”

ฝูเซิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้าอาจจะไม่เดินทางพร้อมกับเด็กคนนี้ แบบนั้นสะดุดตาเกินไป อีกอย่างนี่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดี”

อาจารย์ผู้เฒ่าที่เคยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ผู้ต่อควันธูปหนึ่งก้านให้แก่ลัทธิขงจื๊อแห่งใต้หล้า’ ผู้นี้พลันยิ้มกล่าวว่า “แม้ซิ่วไฉเฒ่าจะอยู่สายบุ๋นคนละสายกับพวกเรา แต่ก็จำต้องยอมรับว่า สายตาในการเลือกลูกศิษย์ของเขา ตั้งแต่ชุยฉาน มาถึงจั่วโย่ว แล้วก็มาถึงฉีจิ้งชุน…ยิ่งนานก็ยิ่งขยับขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “อย่างน้อยที่สุดตอนนี้คนหนุ่มผู้นั้นก็ยังไม่อาจรับคำชมประโยคนี้ของอาจารย์ฝูได้”

……

หลิ่วชิงซานบุรุษพิการพาเฉินผิงอันและหลิ่วป๋อฉีไปนั่งในห้องหนังสือของเขา

หลิ่วป๋อฉีมองปราดเดียวก็เห็นกล่องไม้ใบเล็กกล่องนั้น ด้านในบรรจุลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติของฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หนึ่งเอาไว้ เมื่อมาอยู่ในมือของผู้ฝึกลมปราณคนละสาย อีกทั้งวิสัยทัศน์ยังไม่สูง มันก็เป็นแค่ทองก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น มากสุดก็เอาไปขายได้แค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อย

และแน่นอนว่านางก็ถือเป็นผู้ฝึกลมปราณคนละสายนั่น

นางพลันเกิดความคิดบางอย่าง

ต่อมาคุณชายตู๋กูและสาวใช้เหมิงหลงก็ไปจากสวนสิงโตก่อนผู้ใด เอาแค่ของโบราณธรรมดาสองชิ้นไปด้วยเท่านั้น

ส่วนคู่ผู้ฝึกลมปราณอาจารย์และศิษย์ที่เดินทางไปพร้อมกับพวกเขาต่ออีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าสกุลหลิ่วไปหาเงินเทพเซียนกองหนึ่งมาจากที่ไหน คนทั้งคู่จึงกลับไปด้วยสมบัติเต็มไม้เต็มมือ

หลังจากนั้นก็เป็นผู้ฝึกตนคู่สามีภรรยาที่จากไป พวกเขาเองก็ได้ผลเก็บเกี่ยวไปอย่างอุดมสมบูรณ์ ในกระเป๋าบรรจุเงินร้อนน้อยไว้มากเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ทั้งสองจึงปิติยินดีอย่างถึงที่สุด

เดิมทีเฉินผิงอันก็อยากจากไปแต่เร็ววัน เพียงแต่ว่าถูกหลิ่วชิงซานรั้งตัวไว้ตลอดเวลา จึงอยู่ต่ออีกสามวัน ได้เดินเล่นจนทั่วสวนสิงโต

อันที่จริงบางครั้งหว่างคิ้วของหลิ่วชิงซานยังเผยให้เห็นความกลัดกลุ้ม ดังนั้นทุกครั้งจะต้องมาดื่มเหล้ากับเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันรู้ว่าเขากลุ้มด้วยเรื่องของหอซิ่วโหลว เพียงแต่ว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวของอีกฝ่าย เฉินผิงอันจึงไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ในระยะเวลาสองสามวันนี้ หลิ่วป๋อฉีมาหาเฉินผิงอันที่เรือนเล็กสองครั้ง ครั้งหนึ่งบอกกับเฉินผิงอันว่า นางซัดเจ้าแม่ต้นหลิ่วนั่นเกือบตาย อย่างน้อยในร้อยปีนี้นางน่าจะทำตัวว่าง่ายขึ้นมากแล้ว

อีกครั้งหนึ่งคือมาแบ่งของกับเฉินผิงอัน

จะใช้มีดอาคมเทพเจ้าจิ้งผ่าปีศาจจำแลงสมบัติออกเป็นสองส่วนก็คงไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าปีศาจจำแลงสมบัติเซียนดินตัวใดก็ตามบนโลกใบนี้ ขอแค่เอามาเลี้ยงและอบรมสั่งสอนอย่างเหมาะสม มหามรรคาก็นับวันรอได้เลย

แน่นอนว่าหากรังเกียจที่มันเผาผลาญเงินเทพเซียนและโชควาสนามากเกินไป สังหารมันเพื่อชิงเอาสมบัติก็จะได้ทรัพย์สินก้อนใหญ่มหาศาลก้อนหนึ่งเช่นกัน

ดังนั้นหลิ่วป๋อฉีจึงหักเป็นเงินฝนธัญพืชก้อนหนึ่งมาให้เป็นค่าตอบแทนแก่เฉินผิงอัน

พอหลิ่วป๋อฉีจากไป เฉินผิงอันและเผยเฉียนสองอาจารย์และศิษย์ก็นั่งหันหน้าเข้าหากองภูเขาเล็กๆ บนโต๊ะ เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส เฉินผิงอันก็ยิ้มเช่นกัน เขาลูบคลำศีรษะของเผยเฉียน “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดึงหูเจ้าแล้ว”

เผยเฉียนมึนงง “ว่าไงนะ?”

เฉินผิงอันค้อมเอวฟุบตัวลงนอนคว่ำบนโต๊ะ ไม่ได้ให้คำตอบ แค่มองภูเขาเงินฝนธัญพืชเล็กๆ ลูกนั้น

เผยเฉียนยกสองมือกอดอก ยืดเอวตั้งตรง ไม่คิดถึงคำถามประโยคนั้นอีก แต่ถามใหม่อย่างอารมณ์ดีว่า “อาจารย์ ครั้งนี้ข้าไม่ใช่ตัวขาดทุนแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่งตัวตรง ยิ้มพลางยื่นมือสองข้างออกมาบดบี้แก้มของเผยเฉียน

จูเหลี่ยนนั่งเปิดหนังสืออยู่ตรงหน้าประตู ตั้งใจอ่านอย่างยิ่งยวด กำลังอ่านถึงจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจจนตัดใจพลิกเปิดหน้าต่อไปไม่ลง

เริ่มคิดถึงผู้อาวุโสสวินซะแล้วสิ

สือโหรวชำเลืองตามองตำราเล่มนั้นของจูเหลี่ยน นางเกือบจะโมโหเขาจนตายอยู่แล้ว

วันสุดท้ายที่อยู่ในสวนสิงโต พวกเฉินผิงอันก็เตรียมตัวจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวง สีท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง หลิ่วป๋อฉีก็มาเยือนเพียงลำพัง มอบลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติที่เอาออกมาจากในกล่องไม้ให้กับเฉินผิงอัน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “นี่คือสิ่งของที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วรับปากไว้ตั้งแต่แรก มันเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าเอาไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะต้องโดดเด่นเกินใครอย่างแน่นอน เพราะในทองก้อนเล็กก้อนนี้ นอกจากจะมีชะตาบุ๋นของราชวงศ์หนึ่งในโลกมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว เมื่อถูกนำมาวางไว้ในสวนสิงโตหลายร้อยปีก็มีชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วแฝงอยู่เช่นกัน ข้าเอามันมาก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากเจ้าเฉินผิงอันหล่อหลอมมันได้สำเร็จ สำหรับบัณฑิตครึ่งตัวอย่างเจ้าจะมีประสิทธิผลยอดเยี่ยม ที่สำคัญที่สุดก็คือวัตถุชิ้นนี้ ต่อให้เจ้ามีวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุทองของห้าธาตุแล้วก็ยังหลอมมันให้ผสานรวมไปด้วยกันได้ สามารถช่วยเพิ่มระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีอยู่เดิมของเจ้าให้สูงขึ้น วันหน้าเมื่ออยู่บนเส้นทางของการฝึกตนย่อมลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนเป็นทวีคูณ”

เฉินผิงอันรับลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติขนาดเล็กจิ๋วชิ้นนี้มาพินิจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็คืนให้กับหลิ่วป๋อฉี พูดเบาๆ ว่า “ช่วยข้าแอบนำไปเก็บไว้ในห้องหนังสือของหลิ่วชิงซานที จำไว้ว่าอย่าเอาไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตาเกินไป”

หลิ่วป๋อฉีขมวดคิ้วกล่าว “ไม่ต้องการหรือ? เจ้าคิดว่าข้ากำลังหลอกเจ้าหรือไร หรือรู้สึกว่าลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติชิ้นนี้ไม่สมกับชื่อ?”

เฉินผิงอันคร้านจะอธิบายกับนาง

เอ่ยเรียกเผยเฉียนที่สะพายห่อสัมภาระและในมือถือไม้เท้าเดินป่ารออยู่ก่อนแล้วมาหา พากันเดินออกจากเรือนที่พัก เดินเลียบทางเดินเล็กๆ ที่เงียบสงบออกไปนอกสวนสิงโต

หลิ่วป๋อฉียืนอยู่ในลานบ้านตลอดเวลา แล้วจู่ๆ ก็พลันหัวเราะ

หากเฉินผิงอันกล้ารับมันไป

นางก็คงต้องชักมีดฆ่าคนจริงๆ แล้ว

ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้ปฏิเสธจะรับของที่เขาสมควรได้รับอย่างสมเหตุสมผลนี้?

เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความคิดของนาง ไม่กล้ารับเอาไว้ หรือแค่ไม่ต้องการรับไว้จริงๆ?

หลิ่วป๋อฉีไม่คิดให้ลึกซึ้งอีก ในเมื่อตระเวนไล่ล่าสมบัตินี่ยังอยู่ ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันคิดอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว

เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอันที่กำลังเดินนิ่งหกก้าว ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “อาจารย์ ทำไมถึงไม่รับทองก้อนนั้นไว้ล่ะ มองดูแล้วน่ารักมากเลยนะ? อีกอย่างนักพรตหญิงคนนั้นก็พูดถึงข้อดีของมันตั้งมากมาย”

เฉินผิงอันออกหมัดเดินนิ่งพลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โชคชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วเชื่อมโยงอยู่กับมัน พวกเราเอาไปแล้ว หลิ่วชิงซานจะทำอย่างไร? เขายังมอบหนังสือให้เจ้าเล่มหนึ่งด้วยนะ”

เผยเฉียนคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ก็จริงนะ เดิมทีท่านอาขาเป๋ก็น่าสงสารมากอยู่แล้ว ให้เขาเก็บไว้จะดีกว่า”

จากนั้นเผยเฉียนก็ฝึกเดินนิ่งไปพร้อมเฉินผิงอัน

แล้วอยู่ดีๆ เผยเฉียนก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ นี่เรียกว่าวิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของคนอื่นใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันออกหมัดไม่หยุด เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าน่ะยังอยู่ห่างจากวิญญูชนที่แท้จริงอีกไกลนัก”

“ไกลแค่ไหน? ไกลเท่าสวนสิงโตมาถึงตรงนี้ของพวกเราไหม?”

“น่าจะไกลยิ่งกว่าจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาถึงสวนสิงโตเสียอีก”

“ไกลขนาดนั้นเชียว?!”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“อาจารย์ ทว่าต่อให้ไกลแค่ไหนก็ยังเดินถึงกระมัง?”

“ใช่แล้ว แต่ก็ต้องเดินไม่ผิดทางด้วยถึงจะได้”

เผยเฉียนพลันหยุดเดิน ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่พักหนึ่ง รอจนจูเหลี่ยนและสือโหรวต่างก็พากันเดินสวนไหล่ไปแล้ว นางถึงได้แอบยื่นมือไปไว้หลังก้น ฝ่ามือกำเป็นหมัด วิ่งมาหยุดข้างกายจูเหลี่ยน ยิ้มตาหยีถามว่า “อยากรู้หรือไม่ว่าในมือข้าซ่อนอะไรเอาไว้?”

จูเหลี่ยนหน้าดำทะมึน “ไสหัวไป”

เผยเฉียนยื่นมือไปทางสือโหรว “พี่หญิงสือโหรว เจ้าลองเดาดูไหม? เดาถูกแล้วข้าจะมอบให้เจ้า”

สือโหรวกลอกตามองบน

เดิมทีเฉินผิงอันยังแอบหัวเราะชอบใจ ผลกลับเห็นว่าเผยเฉียนยิ้มตาหยีวิ่งมาหาตน ไม่รอให้นางพูดอะไรก็เขกมะเหงกลงไปทันที

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset