ตอนที่ 440.3 ขัดเกลากระบี่ในยามที่ไม่ฝึกกระบี่

วันนี้หลิวจ้งรุ่นไม่ได้มารับเขาด้วยตัวเอง

เป็นเรื่องปกติอย่างมาก คาดว่าคงเป็นเพราะรำคาญการกระทำที่เป็นดั่งพ่อสื่อแม่ชักของนักบัญชีท่านนี้จริงๆ

สองครั้งก่อนหน้านี้เฉินผิงอันนำเรือมาจอดเทียบท่า หลิวจ้งรุ่นก็คร้านจะปรากฏตัวแล้ว แต่ส่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่รูปโฉมงดงามโดดเด่นอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งให้ทำหน้าที่เป็นผู้ ‘ขัดขวาง’ ตรงท่าเรือแทน เฉินผิงอันจำชื่อนางไม่ได้ เพราะการกระทำของคนตลอดทั้งเกาะจูไชยังพอจะถือว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่ออยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็นับว่าไม่ง่ายเลย เมื่อเทียบกับเกาะอวิ๋นอวี่ที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากมายเช่นกัน แต่กลับถูกผู้ฝึกตนชายของทะเลสาบซูเจี่ยนหัวเราะหยันเรียกว่าเป็น ‘เกาะคณิกา’ แล้ว ชื่อเสียงของสองฝ่ายเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ตอนนั้นเฉินผิงอันขึ้นฝั่งที่นี่ก็เพราะอยากรู้เรื่องบางอย่างจากหลิวจ้งรุ่นเจ้าของเกาะ ส่วนผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของเกาะจูไช เฉินผิงอันไม่อยากคบค้าสมาคมด้วยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเฉินผิงอันสูงส่งถึงเพียงไหน แต่เป็นเพราะเขารู้ดีว่าทุกคำพูดและทุกการกระทำของตนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะต้องนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดการณ์หลากหลายรูปแบบ ต่อให้เป็นเรื่องดี ก็แค่เหมือนปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น แต่หากเป็นเรื่องร้าย นั่นก็คือหายนะที่นำความตายมาสู่ตัว

คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก หากเมื่อไหร่ที่ตกอยู่ในหลุมพรางทางตัน จำต้องเดินลงเนินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายครั้งที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็มักขาดฐานให้พึ่งพิง จะหันซ้ายหรือหันขวาก็ล้วนยากลำบาก ง่ายที่จะทำให้คนเคว้งคว้าง

ตอนนี้นอกจากจะต้องพิจารณาถึงผลได้ผลเสียของตนอย่างรอบคอบ รวมไปถึงชั่งน้ำหนักวิธีการฝ่าทลายสถานการณ์อย่างระมัดระวังแล้ว หากยังมีเวลาคิดพิจารณาเพื่อคนที่อยู่รอบด้าน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะพาตัวออกไปจากวงล้อมนี้ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำซาก

เฉินผิงอันบอกจุดประสงค์การมาเยือนอย่างชัดเจน

ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามบุคลิกไม่ธรรมดาผู้นั้นยิ้มถาม “ท่านเฉิน ครั้งนี้ไม่ได้มาพูดแทนผู้ฝึกตนผีคนนั้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับรอง “ไม่ใช่จริงๆ”

นางกระทืบเท้าเบาๆ อย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย พูดบ่นว่า “ท่านเฉินทำให้ข้าต้องแพ้พนันเงินเกล็ดหิมะตั้งสิบเหรียญเชียวนะ”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “หากข้าพูดว่าสมน้ำหน้า ข้ายังจะได้ไปพบอาจารย์เจ้าเกาะของเจ้าอยู่ไหม?”

ผู้ฝึกตนหญิงตอบอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก “ได้สิ”

เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “สมน้ำหน้า”

ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนของเกาะจูไชที่แอบอยู่ในมุมมืดห่างไปไกลพากันส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจ้งรุ่น บางคนก็เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่เพิ่งมาอยู่บนเกาะได้ไม่นาน อายุไม่มากเท่าไหร่ ถึงได้กล้าทำเช่นนี้

ผู้ฝึกตนหญิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าอย่างนั้นท่านเฉินไปที่หอแสงอัญมณีที่ยอดเขาเอง ได้ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ได้สิ”

ผ่านประตูภูเขามา นางก็ทิ้งเฉินผิงอันไว้คนเดียวจริงๆ ส่วนตัวเองวิ่งไปซุบซิบกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ในห้องข้างตรงประตูภูเขา หลังจากนั้นผู้ฝึกตนหญิงบางคนที่ลงเดิมพันผิดข้างเหมือนนางก็พากันควักเงินเกล็ดหิมะออกมาให้คนที่ชนะแต่โดยดี

เด็กสาวผู้โชคดีคนหนึ่งที่ได้เงินมาจนสองมือแทบจะรองรับไว้ไม่อยู่ยื่นหน้าออกมา พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังใส่แผ่นหลังของนักบัญชีหนุ่ม “ท่านเฉิน ขอบคุณนะ!”

นักบัญชีที่เดินขึ้นเขาไปช้าๆ ไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่ยกมือขึ้นโบก น่าจะเป็นการบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ

ในห้องข้างของประตูภูเขา ผู้ฝึกตนหญิงเจ็ดแปดคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่แพ้หรือชนะล้วนหัวเราะครืนเสียงดัง

เฉินผิงอันมาพบกับหลิวจ้งรุ่นที่สวมชุดชาววังหรูหราในหอแสงอัญมณี คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ฝ่ายหลังชงชาอย่างคล่องแคล่ว ทุกการกระทำล้วนเผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์สง่างามที่แท้จริง

มิน่าเล่าถึงได้ยินว่าในอดีตจวนชุนถิงเคยเชิญหลิวจ้งรุ่นอยู่สองครั้ง แต่นางกลับปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม

หลิวจ้งรุ่นถาม “ท่านเฉินไม่เป็นห่วงสภาพร่างกายของตัวเองในตอนนี้สักนิดเลยหรือ?”

เฉินผิงอันจึงพูดเข้าประเด็นทันที “เป็นห่วงสิ นี่ข้าก็มาที่เกาะจูไชของพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ อยากจะขอซื้อยาวิเศษที่เหมาะแก่การบำรุงปราณน้ำในจวนลมปราณจากเจ้าเกาะหลิวสักหน่อย หากข้าจำไม่ผิด บ้านเกิดของเจ้าเกาะหลิวในปีนั้นเคยมีตำหนักวารีหนึ่งหลังและเรือมังกรหนึ่งลำที่เจ้าเกาะหลิวสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ทั้งสองอย่างนี้ล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป”

หลิวจ้งรุ่นพยักหน้ารับ “ยาที่เหมาะกับการบำรุงช่องโพรงธาตุน้ำและวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนดิน ข้าไม่เพียงแต่มี อีกทั้งยังมีอยู่หลายชนิดด้วย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของราคาว่าสูงหรือต่ำ อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ของล้ำค่าเช่นนี้ ข้ากลับไม่กล้าเอาออกมาขาย เพราะหากมันเผยตัวขึ้นบนโลก เว้นเสียแต่ว่าข้าจะสามารถเอาออกมาขายได้เรื่อยๆ แล้วล่ะก็ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่คำว่าตายอย่างเดียวเท่านั้น เชื่อว่าด้วยสติปัญญาของท่านเฉินย่อมเข้าใจปมของปัญหาเรื่องนี้”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็คงรู้สึกร้อนลวกมือเหมือนกัน หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ จะไม่มีทางเอาออกมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินฝนธัญพืชเด็ดขาด”

หลิวจ้งรุ่นส่งชาตระกูลเซียนของเกาะหงอิ๋นที่มีไอน้ำลอยอบอวลถ้วยหนึ่งมาให้ ภายใต้แสงแดดสาดส่อง บนถ้วยชาถึงขั้นมีสายรุ้งขนาดจิ๋วยาวประมาณหนึ่งนิ้วมือเส้นหนึ่งลอยขึ้นมา

หลิวจ้งรุ่นยิ้มถามว่า “ท่านเฉินเป็นคนเข้าใจอะไรได้ดี ถ้าอย่างนั้นลองบอกสิว่า เหตุใดข้าต้องเปิดปากบอกราคาแก่เจ้าด้วย?”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเกาะหลิวต้องการอะไรถึงจะยอมขาย ลองว่ามาสิ”

หลิวจ้งรุ่นพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เกาะจูไชต้องการย้ายออกจากทะเลสาบซูเจี่ยน ท่านเฉินคิดว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “เกาะจูไชไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องใด วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด แทบจะไม่มีศัตรูคู่แค้น ถ้าอย่างนั้นที่พักพิงสุดท้ายของทะเลสาบซูเจี่ยนจะเป็นสกุลซ่งต้าหลีหรือราชวงศ์จูอิ๋ง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าเกาะหลิวสักเท่าไหร่ ก็แค่เกาะจูไชไม่ได้ส่วนแบ่งอย่างคนอื่นเขา แต่กระนั้นก็ไม่ชักนำภัยมาสู่ตัว หลังจากนั้นแล้วทะเลสาบซูเจี่ยนจะเริ่มเข้าสู่ความมีระเบียบ กฎเกณฑ์จะยิ่งคล้ายคลึงกับราชวงศ์ที่เป็นเมืองเอกเทศ และเจ้าเกาะหลิวก็คุ้นเคยกับกฎประเภทนี้ดีที่สุด เหตุใดถึงยังยืนกรานจะย้ายถิ่นฐานอีกเล่า?”

มือสองข้างของหลิวจ้งรุ่นประคองถ้วยชา หลุบตาลงต่ำ เหนือขนตาคือไอน้ำที่ลอยมาจากถ้วยชา มองแล้วดูชุ่มชื้น

เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งรองถ้วยชา มืออีกข้างประคองถ้วยกระเบื้องที่มีสีสันเหมือนฟ้าหลังฝน สายตาจ้องนิ่งไปที่เจ้าเกาะจูไชท่านนี้

ไม่มีความคิดชั่วร้าย ยิ่งไม่มีความรักความเอ็นดู

หลิวจ้งรุ่นเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ประสานสายตากับเขา ครู่หนึ่งต่อมานางกลับเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อนด้วยการก้มหน้าดื่มชาหนึ่งอึก “ข้ากลัวก็แต่ว่าหากสุดท้ายเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์จูอิ๋งที่ได้ทะเลสาบซูเจี่ยนไปครอง เรื่องลับทางประวัติศาสตร์บางอย่างในวังหลวงที่มองดูเหมือนเหลวไหล แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นความจริงพอดี”

เฉินผิงอันเริ่มค้นหาเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์จูอิ๋ง เกาะจูไชและแคว้นบ้านเกิดของหลิวจ้งรุ่นที่อยู่ในสมองตัวเอง

การที่คนทั้งเกาะชิงเสียไปจนถึงคนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมองเขาเป็นนักบัญชี อันที่จริงไม่ใช่แค่คำเรียกขานเล่นๆ ไปเสียทั้งหมด

เพียงแต่ว่าเรื่องราวความลับของเกาะชิงเสียที่ถูกวางไว้บนชั้นในห้องหน้าประตูภูเขา รวมไปถึงเกร็ดพงศาวดารที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เหล่านั้นกระจัดกระจายเกินไป อีกทั้งข่าวเล็กๆ จำนวนมากก็ยังปะปนไปด้วยความจริง

เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ไม่สามารถเรียบเรียงความเป็นมาที่พอจะสมเหตุสมผลได้

ถึงอย่างไรเกาะจูไชแห่งนี้ก็ไม่ใช่ ‘สนามรบ’ สำคัญที่เฉินผิงอันจำเป็นต้องให้ความสนใจ สิ่งที่เฉินผิงอันรู้จึงนับว่าน้อยมาก

หลิวจ้งรุ่นถามคำถามที่ไม่ควรถามที่สุดในทะเลสาบซูเจี่ยน “ข้าเชื่อในนิสัยใจคอของท่านเฉินได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้า เอ่ยเนิบช้าว่า “อย่าเชื่อในนิสัยใจคอของข้า แต่เมื่อเทียบกับนิสัยการทำการค้าของผู้ฝึกตนในทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า อย่างเช่นว่าชอบชักสีหน้าใส่ ต่อยตีกันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์แล้วล่ะก็ ทำการค้ากับข้าเฉินผิงอันย่อมต้องดีกว่าเล็กน้อย ดีกว่าเล็กน้อย”

หลิวจ้งรุ่นยิ้มขื่น “แค่ดูจากการที่ท่านเฉินไม่เคยใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่น กินน้ำแกงประตูปิดอยู่ที่ท่าเรือตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยอับอายจนพานเป็นความโกรธ ข้าก็ยินดีเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของท่านเฉินแล้ว”

เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งอึกแล้วมองหลิวจ้งรุ่น “เป็นเพราะหายนะแฝงที่เกาะจูไชต้องเผชิญใหญ่หลวงเกินไป เกินกว่าขอบเขตที่เจ้าเกาะหลิวจะรับได้ ดังนั้นจึงจำต้องเดิมพันกับนิสัยใจคอของข้ามากกว่ากระมัง?”

ถูกคนมองทะลุความคิดในใจ สีหน้าของหลิวจ้งรุ่นจึงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เฉินผิงอันถาม “เป็นเพราะรู้ประวัติความเป็นมาของข้าคร่าวๆ เลยคิดจะย้ายไปอยู่ที่ภูเขาทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน?”

เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ผู้ฝึกตนบนเกาะจูไชมีน้อย เซียนดินที่มีให้เห็นภายนอกก็มีแค่เจ้าเกาะหลิวคนเดียวเท่านั้น ไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนที่มีปราณวิญญาณเข้มข้น แค่เช่าภูเขาที่ไม่ใหญ่มากสักลูกสองลูกก็สามารถลงหลักปักฐานได้แล้ว อีกทั้งยังถือว่าเป็นการสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่ง ไม่เพียงแต่หลุดพ้นไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ยังสามารถอาศัยสิ่งนี้มาหลีกลี้หนีห่างจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่เต็มไปด้วยไฟสงครามได้อีกด้วย ต่อให้ราชวงศ์จูอิ๋งรบชนะ แต่หากคิดจะไปหาเรื่องเจ้าเกาะหลิวถึงต้าหลี ต่อให้แส้ยาวแค่ไหนก็เอื้อมไปไม่ถึง…”

แรกเริ่มหลิวจ้งรุ่นยังตั้งใจฟัง ไม่ยอมให้พลาดไปแม้แต่คำเดียว แต่พอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ บนใบหน้าหลิวจ้งรุ่นก็เผยความอับอายที่พานมาเป็นความโกรธ ถลึงตาจ้องมองเฉินผิงอันอย่างดุดัน

เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย “เป็นอะไรไป?”

หลิวจ้งรุ่นมองชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวตรงหน้า จ้องดวงตาของเขาเขม็ง ราวกับต้องการหาเบาะแสออกมาจากดวงตาของเขา จากนั้นนางจะได้ชักสีหน้า ออกคำสั่งไล่แขกกับเขา

หลิวจ้งรุ่นมองเบาะแสอะไรไม่ออก จึงอดทนข่มกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว “เฉินผิงอัน! เจ้าไม่เคยได้ยินประวัติศาสตร์ที่เล่าถึงบุญคุณความแค้นระหว่างราชวงศ์จูอิ๋งกับแคว้นบ้านเกิดของข้าบ้างเลยหรือ?”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ทุกอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับเจ้าเกาะหลิว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนที่เล่าให้ข้าฟัง ซึ่งเป็นเรื่องความมีหน้ามีตาของเจ้าเกาะหลิวในอดีต เขาไม่ได้เล่าเรื่องความแค้นระหว่างราชวงศ์จูอิ๋งมากนัก รู้แค่ว่าผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อมองราชวงศ์จูอิ๋งเป็นศัตรูคู่แค้น หลายครั้งที่ออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็เพื่อแฝงตัวเข้าไปยังชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋งอย่างลับๆ สังหารแม่ทัพชายแดนได้สำเร็จหลายคน ทำให้ราชวงศ์จูอิ๋งเกิดคดีที่ปิดไม่ลงหลายคดี คดีเหล่านั้นล้วนเป็นฝีมือของหม่าหย่วนจื้อ แต่ในเรื่องนี้ซุกซ่อนปมในใจแบบใดไว้ ข้าไม่รู้จริงๆ”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิวกำลังกริ่งเกรงบุคคลยิ่งใหญ่บางคนที่กุมอำนาจอยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งงั้นหรือ? อีกทั้งนี่ยังเกี่ยวพันกับสาเหตุที่แคว้นบ้านเกิดของเจ้าเกาะหลิวล่มสลายด้วย?”

หลิวจ้งรุ่นเขวี้ยงถ้วยชาในมือกระแทกลงพื้น เกิดเสียงแตกลั่นดังเพล้ง

หญิงงามรูปร่างอวบอิ่มซึ่งชาติกำเนิดเต็มไปด้วยสีสันของความมหัศจรรย์ท่านนี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าคนหนุ่มตรงหน้ายังคงมีสีหน้าเป็นปกติ หลิวจ้งรุ่นก็ทอดถอนใจ เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ขอโทษที เป็นข้าที่ฝึกฝนจิตใจได้ไม่ดีพอ เสียกิริยาต่อหน้าท่านเฉินแล้ว”

เฉินฺผิงอันโบกมือบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไร

หลิวจ้งรุ่นเอ่ยเนิบช้า “ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหนังเหนียวคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง ปีนั้นเขามาเยือนที่เมืองหลวงแคว้นข้า เจ้าพอจะจินตนาการออกไหม ในขณะที่เขามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าหลิวจ้งรุ่นยังที่ขาดอีกแค่ชุดคลุมมังกรหนึ่งตัวและบัลลังก์มังกรหนึ่งตัวก็จะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีกลับเกือบจะถูกเขาที่บุกเข้าวังขืนใจ นับตั้งแต่องค์รักษ์ของวังหลวงไปจนถึงผู้ถวายงานในราชสำนักล้วนไม่มีใครกล้าขัดขวาง เขาทำไม่สำเร็จ แต่ในขณะที่เขาสวมกางเกงช้าๆ นั้นยังจงใจกระตุกท่อนล่าง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า จะให้ข้าได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าแส้ยาวเอื้อมไปถึง อะไรที่เรียกว่าแส้ยาวใต้หว่างขาที่สามารถข้ามผ่านเมืองหลวงสองแคว้นมาได้ ปีนั้นแคว้นของพวกเราถูกทำลายล้าง คนผู้นี้ปิดด่านอยู่พอดี ไม่อย่างนั้นเกรงว่าท่านเฉินก็คงไม่ได้ดื่มชาถ้วยนี้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว แต่ตอนนี้คนผู้นี้ได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่มีอำนาจของราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว คือไท่ซางหวงของแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่ง ไม่บังเอิญเลยก็คือ แคว้นของเขาดันไม่ต่างจากแคว้นสือหาวที่อยู่ติดกับทะเลสาบซูเจี่ยนพอดี!”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่พูดไม่จา

หลิวจ้งรุ่นกัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด นางกระดกก้นขึ้นเล็กน้อย ยืดอกตั้ง พูดเสียงหนัก “ขอแค่ท่านเฉินยอมตกลงเรื่องจัดการหาภูเขาในเขตการปกครองหลงเฉวียนและเรื่องการย้ายถิ่นฐานให้กับเกาะจูไชโดยเร็ว หลิวจ้งรุ่นยินดีเสนอตัวนอนเคียงหมอน! วันนี้เลย ขอแค่ท่านเฉินชอบ จะทำตรงนี้ก็ยังได้!”

สายตาของนางเด็ดเดี่ยวเปิดเผย

สายตาของเฉินผิงอันนิ่งสนิท ดุจบ่อโบราณไร้ริ้วคลื่น

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset