ตอนที่ 468.3 เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ

บนโต๊ะอาหาร นักพรตเฒ่าจิบเหล้าหนึ่งคำ แล้วจึงลูบหนวดยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เหตุใดวันนี้คุณหนูหร่วนถึงไม่ได้อยู่ในร้านเล่า?”

ปีนั้นที่จากลากัน เฉินผิงอันบอกพวกเขาว่าหากมาถึงเมืองเล็กสามารถมาหาหร่วนซิ่วที่ร้านในตรอกฉีหลงได้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นนักพรตเฒ่าไม่คิดจะลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองเล็ก จึงบอกลาจากไป คิดว่าจะลองไปเสี่ยงดวงดูที่เมืองหลวงต้าหลี หวังว่าจะร่ำรวยกับเขาบ้าง แต่ช่วยไม่ได้ที่เมืองหลวงต้าหลีเป็นดั่งสถานที่มังกรซุ่มพยัคฆ์หมอบ ด้วยตบะน้อยนิดของพวกเขาสามคน อีกทั้งนักพรตเฒ่ายังไม่ยินดีจะเปิดเผยตัวตนของจิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์ เป็นเหตุให้ไม่อาจสร้างชื่อเสียงใดๆ ให้กับตัวเองได้ อยู่กันมานานหลายปีขนาดนั้นก็ได้แค่เงินขาวทองก้อนมาไม่กี่พันตำลึง หากนำไปวางไว้ในบ้านคนธรรมดาทั่วไปย่อมถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญจะนับเป็นอะไรได้? นี่ทำให้คนหมดอาลัยตายอยากได้ดีจริงๆ ระหว่างนี้นักพรตเฒ่าก็ได้ยินข่าวคราวของเขตการปกครองหลงเฉวียนมาอย่างไม่ปะติดปะต่อ แน่นอนว่าไม่ได้รู้จากรายงานข่าวเทพเซียนของโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน เพราะพวกเขาไม่มีปัญญาจะไปพักอาศัย แล้วก็ซื้อข่าวพวกนี้ไม่ไหว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน

ผลกลับกลายเป็นว่าถูกนักพรตเฒ่านำมาปะติดปะต่อเป็นความจริงที่ทำให้พวกเขาสามอาจารย์และศิษย์ต้องมองหน้ากันเอง หร่วนซิ่วที่ปีนั้นรอต้อนรับอยู่ในร้าน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นบุตรสาวคนเดียวของอริยะหร่วนฉง! แรกเริ่มนักพรตเฒ่าไม่มีหน้าจะกลับเมืองเล็ก แล้วก็ไม่กล้าจะกลับไปด้วย เพราะถึงอย่างไรเจ้าเป๋น้อยก็มีที่มาไม่ถูกต้อง จึงเสียเวลาอยู่ในเมืองหลวงอีกนานหลายปี ตอนนี้อยู่ต่อไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงได้คิดว่าจะมาเสี่ยงดวงที่เขตการปกครองหลงเฉวียนดู คิดไม่ถึงว่าจะโชคไม่เลว ถึงได้มาเจอกับเจ้าของร้านอย่างเฉินผิงอัน

เพียงแต่จิตใจคนเป็นดั่งผืนน้ำ เดิมทีทั้งสองฝ่ายก็รู้จักกันเพียงผิวเผินซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ นักพรตตาบอดเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถอยู่ต่อในเมืองเล็กที่วันนี้ไม่เหมือนวันวานแห่งนี้ได้หรือไม่ ต่อให้ได้อยู่ต่อ แล้วจะมีอนาคตที่ดีงามรออยู่จริงๆ หรือ? เพราะถึงอย่างไรผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ก็คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่านิสัยของเฉินผิงอันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างแล้ว ดังนั้นมองดูเหมือนนักพรตตาบอดดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ ปากก็ยกเรื่องน่าอนาถในปีนั้นมาเล่าเป็นเรื่องสนุก แต่แท้จริงแล้วในใจกลับเต้นรัว พร่ำท่องไม่หยุดว่า ‘เฉินผิงอันเจ้ารีบเปิดปากรั้งพวกเราไว้สิ ต่อให้เป็นแค่คำพูดที่พูดไปตามมารยาทก็ได้ ข้าผู้เป็นนักพรตจะได้ปีนขึ้นไปบนไม้ที่เจ้ายื่นมาให้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนหนุ่มที่สามารถมีความสัมพันธ์กับบุตรสาวคนเดียวของอริยะได้จะขี้เหนียวกับเงินเทพเซียนแค่ไม่กี่เหรียญ จะตัดใจปล่อยให้คุณหนูหร่วนที่ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ป่ายปีนไม่ถึงผู้นั้นดูแคลนเจ้าได้จริงหรือ?’

น่าเสียดายที่ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะทั้งดื่มเหล้าทั้งพูดคุยเรื่องเก่าในอดีตกันก็จริง แต่สิ่งเดียวที่เฉินผิงอันไม่ได้ทำคือเปิดปากเอ่ยเช่นนั้น ไม่ได้สอบถามนักพรตเฒ่าอาจารย์และศิษย์ว่าอยากอยู่ต่อที่เขตการปกครองหลงเฉวียนหรือไม่

เผยเฉียนนั่งอยู่บนม้านั่งยาวเคียงข้างเฉินผิงอัน นางแทบไม่พูดอะไรเลยสักคำ

ตอนนั้นที่เฉินผิงอันแนะนำนาง บอกว่าเป็นลูกศิษย์ชื่อเผยเฉียน เผยเฉียนแทบจะอดใจไม่ไหวโพล่งไปว่าอาจารย์ท่านลืมสามคำว่า ‘เปิดขุนเขา’ ไปนะ

สือโหรวไม่ได้มาที่ร้านอาหารกับพวกเขา

เนื่องจากเฉินผิงอันไม่เข้าใจเรื่องทางโลก อีกทั้งนักพรตตาบอดก็อยากจะรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้บ้าง หลังจากดื่มเหล้ากินอาหารกันอิ่มก็ได้แค่บอกลาจากไป

ทั้งสองฝ่ายยืนอยู่บนถนนใหญ่นอกร้านอาหาร เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าพักอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ถือว่าเป็นภูเขาของตัวข้าเอง คราวหน้าหากท่านนักพรตผ่านเขตการปกครองมา สามารถขึ้นไปนั่งเล่นบนภูเขาได้ ข้าอาจจะไม่อยู่ที่นั่น แต่ขอแค่บอกชื่อแซ่ก็ย่อมต้องมีคนมาต้อนรับอย่างแน่นอน ใช่แล้ว ตอนนี้แม่นางหร่วนพักอยู่ที่ภูเขาเสินซิ่ว เพราะศาลบรรพจารย์และภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนของนางอยู่ที่นั่น คราวนี้ข้าเพิ่งกลับมาถึงบ้านเกิดหลังจากออกเดินทางไกลมาได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่ว่ายามที่พูดคุยกับแม่นางหร่วน นางเองก็เคยพูดถึงท่านนักพรตเช่นกัน ไม่ได้ลืมเลือนท่านไป ดังนั้นหากมีเวลาท่านนักพรตก็สามารถไปเยี่ยมชมหรือไปพูดคุยกับนางที่นั่นได้”

นักพรตตาบอดค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง บอกว่าแน่นอนๆ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยกับเด็กหนุ่มขาเป๋และเด็กสาวจิ่วเอ๋อร์ที่เขามีความประทับใจที่ดีอย่างยิ่งว่า “รักษาตัวด้วย หวังว่าครั้งหน้าเมื่อพวกเราได้พบกันอีกครั้งจะไม่นานเท่าครั้งนี้”

เด็กหนุ่มขาเป๋ที่แบกธงผ้าพยักหน้ารับ

จิ่วเอ๋อร์ก็ผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้มบางๆ

เผยเฉียนกุมหมัด พูดเหมือนคนแก่ว่า “ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน สายน้ำใสไหลยาว ไว้พบกันใหม่วันหน้า!”

ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากันไปเช่นนี้ นักพรตเฒ่าพาลูกศิษย์สองคนออกไปจากเมืองเล็ก มุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ช้าๆ

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม

เผยเฉียนเอ่ยเรียกเบาๆ “อาจารย์?”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง เอ่ยวา “ในใจอาจารย์ย่อมอยากรั้งให้พวกเขาสามคนอยู่ต่อ เพียงแต่ว่าการทำงานหาเลี้ยงชีพนั้นไม่ง่าย หากมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากสวรรค์ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเห็นคุณค่า หากแม้แต่ศักดิ์ศรีเล็กน้อยแค่นี้ยังวางลงไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าไม่ได้มีความจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนจริงๆ อีกทั้งหากอยู่ต่อ นั่นก็หมายความว่าจะเป็นเรื่องที่ยาวนานอย่างยิ่ง อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็ยิ่งไม่อาจแยกแยะจุดเริ่มต้นได้ชัดเจน ไม่สู้ให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจมาตั้งแต่ต้นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วข้ารู้สึกว่าหวังดี แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดี ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นยามที่ต้องตัดความสัมพันธ์กันจะยังรักษาความเป็นสุภาพชนที่ไม่พูดจาทำลายน้ำใจกันได้อย่างไร?”

เผยเฉียนพยักหน้า ฟังเข้าใจหรือไม่ ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรทุกสิ่งที่อาจารย์พูดมาล้วนถูกต้อง แต่นางก็อดสงสัยขึ้นมาอีกได้ จึงถามว่า “อาจารย์จงใจพูดถึงพี่หญิงซิ่วซิ่วกับพวกเขา เพราะเหตุใดกัน?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ก็อาจารย์หวังว่าพวกเขาจะได้อยู่ต่อนี่นา”

เผยเฉียนมึนงงไปหมด พยายามคิดเรื่องที่เปลืองสมองนี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจเข้าใจความวกวนอ้อมค้อมของมันได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ ไม่คิดแล้ว วันนี้นางเปิดปฏิทินเหลืองดูแล้ว ไม่เหมาะแก่การใช้สมอง

เผยเฉียนพลันกดเสียงเบาเอ่ยว่า “ดวงตาคู่นั้นของนักพรตเฒ่าเหมือนจะถูกแสงสายฟ้าที่หมุนติ้วๆ อุตลุดในท้องเขาระเบิดใส่จนตาบอด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วิชาอสนีถูกขนานนามให้เป็นผู้นำแห่งหมื่นอาคม เพียงแต่ในแจกันสมบัติทวีปของพวกเรา นอกจากสำนักโองการเทพและตระกูลเซียนขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งแล้ว คำว่าวิชาห้าอสนีที่เรียกขานกันนั้นล้วนเป็นการสืบทอดจากสำนักนอกรีต อีกทั้งยังกระจัดกระจายไปหลายสาขา ดังนั้นการฝึกวิชานี้จึงมักจะแว้งกลับมาโจมตีผู้ฝึกบ่อยๆ นานวันเข้า หากพลังชีวิตไม่แห้งขอด มหามรรคาพังทลาย ก็ต้องใช้วิธีเสี่ยงอันตรายอย่างการใช้ช่องโพรงแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นสถานที่ฟาดเคราะห์ ยกตัวอย่างเช่นดวงตามองไม่เห็น แล้วก็มีบางคนที่ยอมให้ท้องไส้เละเทะ บ้างก็ให้กัดกินวัตถุแห่งชะตาชีวิตบางชิ้น ฯลฯ คนที่ฝึกวิชาอสนีนอกรีตส่วนใหญ่จึงมักจะไม่ได้มีจุดจบที่ดี”

เผยเฉียนเดาะลิ้น

เฉินผิงอันเอ่ย “เรื่องของการฝึกตน ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเสวยสุขไปเสียทั้งหมด”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ดังนั้นข้าถึงไม่ฝึกตน แค่ฝึกวรยุทธอย่างเดียว!”

เฉินผิงอันดึงหูของนาง

เผยเฉียนร้องโอดครวญ “อาจารย์ ข้าจะต้องขยันฝึกเดินนิ่งให้มากกว่านี้! ยอมทนกับความยากลำบากมากกว่านี้!”

จากนั้นเฉินผิงอันก็พาเผยเฉียนไปที่โรงเรียนเก่า

เฉินผิงอันยืนอยู่นอกหน้าต่าง เผยเฉียนเขย่งปลายเท้าเอาหัว ‘วางพาด’ อยู่บนขอบหน้าต่าง มองเข้าไปข้างใน

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คิดไปถึงไหนแล้ว อยากจะไปเรียนที่โรงเรียนของสกุลเฉินหลงเหว่ยหรือไม่?”

เผยเฉียนยืนนิ่งไม่ขยับ กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “หากอาจารย์อยากให้ข้าไป ข้าก็จะไป ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางถูกใครรวมกลุ่มกันมารังแก ไม่มีทางถูกใครด่าว่าข้าเป็นถ่านดำ รังเกียจที่ข้าตัวเตี้ย…”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หากเจ้าไม่อยากไปจริงๆ วันหน้าก็เรียนหนังสืออยู่บนภูเขากับจูเหลี่ยน และเจิ้งต้าเฟิงก็ได้ อันที่จริงความรู้ของเจิ้งต้าเฟิงสูงมาก แต่ข้าแนะนำว่าไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะชอบหรือไม่ชอบก็ควรไปลองเรียนที่โรงเรียนดูสักพักหนึ่ง ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นกระชากลากถูเจ้า เจ้าอาจจะไม่ยอมกลับเลยก็ได้ แต่หากถึงเวลานั้นยังรู้สึกว่าปรับตัวไม่ได้ ค่อยกลับภูเขาลั่วพั่วก็แล้วกัน”

เผยเฉียนถาม “ข้าสามารถห้อยเตาเจี้ยนฉว่อไปที่โรงเรียนด้วยได้ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้ เรียนหนังสือก็ควรจะมีลักษณะของคนที่เรียนหนังสือ”

เรื่องนี้ไม่มีที่ว่างให้ปรึกษากัน

เขาที่เป็นอาจารย์ ต่อให้จะรักและเอ็นดูเผยเฉียนแค่ไหน กฎระเบียบที่ควรจะมีก็ไม่ควรขาดเด็ดขาด

เด็กคนหนึ่งบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มีจิตใจรักสนุกของเด็ก คนที่เป็นผู้อาวุโส ต่อให้ในใจจะชื่นชอบแค่ไหนก็ไม่ควรปลอยให้เด็กเป็นดั่งม้าที่ถูกปลดบังเหียน ไร้พันธนาการในช่วงเวลาที่ควรต้องตั้งกฎเกณฑ์มากที่สุด

เผยเฉียนไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันจึงพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน คิดให้ดีก่อนอาจารย์จะลงจากภูเขาก็พอ”

เผยเฉียนยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ “หากข้ายอมไปโรงเรียน อาจารย์ไม่จากไปแล้วได้ไหม?”

เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเผยเฉียน มองเข้าไปในโรงเรียน เขาเองก็เงียบงันไปเช่นกัน

ความกลัดกลุ้มเสียใจเล็กๆ ของเด็กมักจะเหมือนสายลมและน้ำค้างเสมอ

รอจนกระทั่งเฉินผิงอันซื้อถังหูลู่ให้เผยเฉียนหนึ่งไม้ จากนั้นคนทั้งสองกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน เผยเฉียนก็พูดคุยกลั้วเสียงหัวเราะ ถามนู่นถามนี่อย่างมีความสุขไปตลอดทางแล้ว

นักพรตตาบอดอารมณ์ดีอย่างมาก เขาพูดกับเจ้าเป๋น้อยและจิ่วเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวว่า พวกเราแค่ต้องเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกสักปีครึ่งปีก็สามารถกลับมาลืมตาอ้าปากที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้แล้ว

หลังจากที่อาจารย์และศิษย์สามคนไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว

บางทีพวกเขาอาจเดินเท้าผ่านภูเขาใหญ่มามากมาย หรือโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ใช้เวลาห้าหกปี ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเดินทางจากแคว้นชิงหลวนทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปมาถึงราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของทวีปได้แล้ว

บุรุษคือคนจากสวนสิงโตแคว้นชิงหลวน บัณฑิตหลิ่วชิงซาน

สตรีคือนักพรตหญิงจากเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว หลิ่วป๋อฉี

พกมีดอาคมเล่มหนึ่งติดตัว มีชื่อว่าเทพเจ้าจิ้ง อยู่ในอันดับที่สิบเจ็ดของเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ยังคงเป็นมีด ชื่อว่าเจี่ยจั้ว

เฉินผิงอันกับหลิ่วป๋อฉีนั้นถือว่าหากไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน แน่นอนว่าความสัมพันธ์ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ ไม่ถือว่าเป็นสหาย

แต่พอได้เจอกับหลิ่วชิงซาน แน่นอนว่าย่อมพูดคุยกันอย่างชื่นบาน

เมื่อเทียบกับความกำเริบเสิบสานที่หลิ่วป๋อฉีแสดงออกในสวนสิงโตแล้ว ยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นับว่าหลิ่วป๋อฉีสำรวมขึ้นเยอะมาก

หนึ่งเพราะตอนนี้มองดูแล้วเฉินผิงอันยิ่งแปลกประหลาดมากกว่าเดิม สองเพราะเขามีบ่าวเฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งชื่อว่าจูเหลี่ยนที่น่าจะรับมือด้วยยาก ข้อสามก็คือข้อที่สำคัญที่สุด เรือนไม้ไผ่หลังนั้นไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายเซียนอบอวล โดดเด่นสะดุดตาอย่างถึงที่สุด บนชั้นสองของเรือนยังมีพลังอำนาจที่น่าตกตะลึงขุมหนึ่งซ่อนอยู่

หลิ่วป๋อฉีมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ นางเป็นคนตรงไปตรงมา ยามที่ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า ข้าก็จะไม่เกรงใจเจ้าแม้แต่น้อย แต่หากยามใดลมหมุนเปลี่ยนทิศ นางกลับไม่มีความไม่พอใจใดๆ ล้วนยอมรับสถานการณ์ได้ทั้งหมด

เฉินผิงอันพาคนทั้งสองเดินเล่นอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว แล้วก็ขึ้นไปบนยังศาลที่อยู่บนยอดเขา

หลิ่วชิงซานบอกว่าพวกเขาเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากจะมาเยี่ยมเฉินผิงอันแล้ว ยังอยากเป็นคนที่อยู่บนศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน อยากจะมาร่วมงานเลี้ยงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่องราตรีที่ยิ่งใหญ่อลังการนั่นสักครั้ง แน่นอนว่าก็ต้องไปที่สำนักศึกษาหลินลู่ด้วย

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมตกปากรับคำ บอกว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาสามารถจัดหาตำแหน่งชมทัศนียภาพที่เหมาะๆ ให้แก่พวกเขาสองคนในสำนักหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นได้

เมื่อเทียบกับยามอยู่ในห้องหนังสือของสวนสิงโตปีนั้นแล้ว นอกจากหลิ่วชิงซานจะมีมาดแห่งปัญญาชน ยังมีความองอาจของชายชาตรีเพิ่มเข้ามาอีกหลายส่วน นี่ถือเป็นเรื่องดี

วีรบุรุษผู้องอาจอาจจะไม่ได้เป็นอริยะปราชญ์เสมอไป แต่มีอริยะปราชญ์คนใดบ้างที่ไม่ใช่วีรบุรุษผู้องอาจที่แท้จริง?

หนึ่งวันผ่านไป เฉินผิงอันก็พบเรื่องผิดปกติเรื่องหนึ่ง หลังจากที่หลิ่วป๋อฉีได้พบกับจูเหลี่ยนแล้ว นางกลับเรียกจูเหลี่ยนว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูทุกคำ อีกทั้งยังจริงใจอย่างมาก

หลังจากเปิดปากขอร้องเจียวเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงโดยที่ไม่ได้ผ่านความช่วยเหลือจากเว่ยป้อ จนสามารถจัดหาตำแหน่งที่ทางให้หลิ่วชิงซานในสำนักศึกษาหลินลู่ได้แล้ว เฉินผิงอันก็กลับภูเขาลั่วพั่วกับจูเหลี่ยนมาก่อน ระหว่างทางจึงเอ่ยถามเรื่องนี้

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “บ่าวเฒ่าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่ง เป็นประโยคที่ดึงมาจากในตำรา หลิ่วป๋อฉีกลับรับน้ำใจเสียได้”

เฉินผิงอันยิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม “พูดว่าอย่างไร?”

จูเหลี่ยนชี้ไปยังภูเขาเขียวขจีลูกหนึ่งส่งเดช “ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม คาดว่าภูเขาเขียวคงมองข้าเช่นนี้ดุจเดียวกัน” (ภูเขาเขียวภาษาจีนคือชิงซาน ตรงกับชื่อของหลิ่วชิงซาน)

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

สตรีอย่างหลิ่วป๋อฉีตกหลุมพรางด้วยมุกแบบนี้เองหรือ?

เฉินผิงอันตบไหล่จูเหลี่ยน “สมกับเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ!”

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่ไหนกันๆ เสียงของลูกหงส์ย่อมไพเราะกังวานกว่าเสียงของหงส์แก่”

เฉินผิงอันพลันรู้สึกสะท้อนใจ เมื่อลงจากเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องไปอุตรกุรุทวีป คงจะไม่ได้ยินถ้อยคำประจบเอาใจของบนภูเขาลั่วพั่วอีกนานหลายปี

……

กลางดึกคืนหนึ่ง เฉินผิงอันก็แอบไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยว

อันที่จริงเผยเฉียนก็รู้เรื่อง เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับอาการใจหายเมื่อครั้งที่ต้องจากลากันเนิ่นนานในคราแรกแล้ว เผยเฉียนในเวลานี้กลับถือว่ายังดีอยู่ เพียงแต่อาจารย์จากไปเช่นนี้ ทำให้ในใจของนางว่างเปล่าวูบโหวงนัก

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปิดปฏิทินเหลืองดูจริงๆ พบว่าวันที่อาจารย์ออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว เหมาะแก่การเดินทางไกล

หลิ่วชิงซานและหลิ่วป๋อฉีพักอาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่ชั่วคราว

งานเลี้ยงท่องราตรีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ส่วนทางเมืองหงจู๋ก็มีการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งเกิดขึ้น

แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกับแม่นางน้อยจิ่วเอ๋อร์ในปีนั้น ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

ที่แท้สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็จัดให้เด็กนักเรียนได้ออกไปทัศนศึกษา ซึ่งก็คือมาเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาเหนือต้าหลีครั้งนี้ ผู้นำคือเหมาเสี่ยวตง หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย ล้วนมากันครบ

นักพรตตาบอดยังคงไม่กล้าผลักเรือตามกระแสน้ำ อาศัยใบบุญของลูกศิษย์จิ่วเอ๋อร์ติดตามทุกคนของสำนักศึกษากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน

เพราะถึงอย่างไรตัวตนของอริยะเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษาก็น่าตกใจเกินไป

บนยอดเขาของภูเขาฉีตุน

เด็กสาวชุดแดงที่เรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งกำลังเหม่อลอย

นางไม่ใช่แม่นางน้อยอีกแล้ว

หลายปีที่ผ่านมานี้ บุคลิกลักษณะของนางเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากเป่าผิงน้อยชุดแดงที่ดุจกองไฟดุจสายลมของสำนักศึกษา พลันเปลี่ยนมาเป็นเด็กสาวที่สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะมาก ยิ่งนานความรู้ก็ยิ่งเพิ่มพูน คำพูดคำจาน้อยลงเรื่อยๆ แน่นอนว่า รูปร่างหน้าตาก็งดงามมากขึ้นทุกที

เหนือศีรษะมีเสียงนกบินผ่าน นางแหงนหน้าขึ้นมอง

ในตำรากล่าวว่าอย่างไรแล้วนะ?

เสียงนกบินผ่านประหนึ่งเสียงจูงใจ เซียนชักชวนให้ข้าไปท่องเที่ยวกลางเมฆา

……

ลมพัดพาสายฝนเม็ดเล็กสาดเอียง

แคว้นไฉ่อีที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเมืองแยนจือ มีบุรุษสวมชุดเขียวคนหนึ่งที่ศีรษะสวมงอบ ด้านหลังสะพายกระบี่ กำลังเดินทางลงใต้

—–

Related

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset