ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 299 จะไม่ให้พวกเจ้าทำลายกว่างเฉิงเด็ดขาด

สือเถี่ยต่อยหมัดทั้งสองออกไปพร้อมเพรียง นอกจากหยางเนี่ยแล้ว ซือหม่าฉุยที่เพิ่งฟื้นฟูปราณดั้งเดิมได้บ้างแล้ว ก็ถูกอัดจนเจ็บหนักกระอักเลือดอีกครา!

ทว่าคู่ต่อสู้ทั้งสามของเขาในขณะนี้ก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเช่นกัน พวกเขาบุกเข้าหาสือเถี่ยอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงแผดคำรามคลุ้มคลั่ง หมายต่อสู้สังหารสุดชีวิต!

ขณะเสียงตะคอกเย็นเยียบของหยางเนี่ยดังขึ้น แสงม่วงทั่วสรรพางค์กายพรั่งพรูกระหน่ำ ก่อนจะแปรเปลี่ยนลมกระโชกสีม่วงหลากสาย ถลาไปยังสือเถี่ย

ซือหม่าฉุยกำหอกยาวของตนไว้แน่น ยันร่างของสือเถี่ยไว้ แทงลงไปยังผืนดินเบื้องล่าง

ผู้อาวุโสหวังเองก็กระเสือกกระสนโผนกระโจนขึ้นด้านบนเช่นกัน!

“จะไม่ให้พวกเจ้าทำลายกว่างเฉิงเด็ดขาด!”

สือเถี่ยประกาศปณิธานกร้าว มือซ้ายต้านฝ่ามือเหล็กของผู้อาวุโสหวังไว้ แล้วต่อยหมัดหนึ่งออกไป ระเบิดศีรษะอาจารย์ลุงร่วมสำนักที่ใฝ่ทางนพยมโลก!

หากแต่ร่างของเขาถูกประกายดาบของหยางเนี่ยม้วนไว้

ท้องฟ้าเหนือศีรษะกลายเป็นสีม่วงทั้งผืนแล้ว

ผืนปฐพีเบื้องล่าง พลังอันร้อนระอุแปรเปลี่ยนดินอุดมสมบูรณ์พันลี้กลายเป็นดินทรายจนหมดสิ้น!

ฟ้าดิน เป็นพายุลมงวงสีดำอันบ้าระห่ำ ม้วนเรือนร่างของสือเถี่ยไว้ ก่อนจะร่วงลงไปยังพื้นดินด้านล่างที่กลายสภาพเป็นทะเลทรายไปแล้ว!

สือเถี่ยยื่นมือออกไป คว้ามือขวาของหยางเนี่ยที่ถือดาบไว้ทันควัน ลากเขาลงไปด้วยกัน

หยางเนี่ยก็ไม่หลบหลีกแล้วเช่นกัน ขับเคลื่อนของพลังตนเองจนถึงขีดสุด พาให้แสงม่วงหลากสายกรอกเข้าสู่ทะเลทรายกว้างด้านล่าง

ขณะแสงสว่างอันเรียวแหลมส่องสว่างพร่างพราว ก็แปรสภาพเป็นลวดลายผอาคมสีม่วงแต่หลายสาย กอปรกลายเป็นค่ายกลอันหฤโหดค่ายหนึ่ง

จากนั้นแสงม่วงสุดลูกหูลูกตาก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับคมมีดอันแหลมคมคณานับ ทิ่มแทงหลังสือเถี่ยพร้อมๆ กัน

สือเถี่ยคล้ายกับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด ซ้ำยังยกหมัดขวาของตนขึ้นต่อยไปทางหยางเนี่ยด้วยซ้ำ!

หยางเนี่ยถูกมือซ้ายสือเถี่ยคว้าเอาไว้ ทำให้ไม่อาจหลีกหลบ ทำได้เพียงเบิกตาโพลงมองหมัดขวาของอีกฝ่ายต่อยมาที่หน้าอกตนเอง

พลังทำลายล้างทั้งหมดเกาะตัวรวมอยู่บนหมัดของสือเถี่ย ประหนึ่งศาตราเทพล้ำเลิศ ชกจนทะลุร่างหยางเนี่ยภายในหมัดเดียว!

เลือดเนื้อ อวัยวะภายใน โครงกระดูก ทั้งหมดทั้งมวลถูกอัดกระจุยหมดสิ้น!

หยางเนี่ยเบิกตาโพลง กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง สาดกระเซ็นเกลื่อนดวงหน้าสือเถี่ย

ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ชั้นที่เก้า ขั้นรูปญาณระยะท้ายคนสุดท้ายของสำนักเขานิมิตทมิฬ สิ้นใจตายตาไม่หลับ!

แม้จะอัดหยางเนี่ยสิ้นชีพด้วยหมัดเดียว ทว่าร่างกายของสือเถี่ยก็ถูกหอกยาวในมือซือหม่าฉุยจ้วงแทงตกลงไปในทะเลทรายเบื้องล่างด้วยเช่นกัน

หอกยาวเล่มนั้น ตอกสือเถี่ยไว้บนพื้นดินประหนึ่งตะปูก็ไม่ปาน!

หยางเนี่ยสิ้นชีวิต ทว่าค่ายกลแสงม่วงนั่นยังคงสำแดงฤทธิ์ขั้นสุดท้าย แสงสีม่วงหลากสายพุ่งขึ้นราวกับสายโซ่ เกี่ยวรัดบนร่างสือเถี่ยและบนหอกยาวเล่มนั้น พันธนาการสือเถี่ยไว้กับที่!

ศัตรูทั้งสามของเขา มีแค่ซือหม่าฉุยเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ผู้ที่บัดนี้กำลังยืนอยู่กลางอากาศ จ้องมองเขาที่นอนราบอยู่บนพื้นดิน

ศีรษะจรดปลายเท้าของสือเถี่ยในตอนนี้ราวกับรูปปั้นหินที่กำลังจะแตกสลาย มืดสลัวอับแสง ทรุดโทรมด่างพร้อย

มีเพียงหมัดซ้ายของเขาเท่านั้น ที่ยังคงทอแสงวามวาบ

ซือหม่าฉุยอ้าปากกำลังจะเอ่ยคำ แต่กลับกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งเสียก่อน

เขาบาดเจ็บซ้ำซ้อน หนำซ้ำสถานการณ์ยากลำบากอย่างยิ่งเช่นกัน

“ร่างบาดเจ็บ ต่อสู้ศัตรูหนึ่งต่อสาม ยังถล่มสองคนจนตายได้” ซือหม่าฉุยสำลักและไอไม่หยุด สายตาจดจ้องสือเถี่ยเขม็ง “เจ้าไม่สมกับนามกรราชสีห์โลหะ!”

ใบหน้าสือเถี่ยเรียบเฉย ไม่เอ่ยคำพูดใด เพียงพยายามดิ้นรนจะลุกขึ้นยืน

กระนั้นแสงม่วงแต่ละสายเหล่านั้น กลับยังคงผูกมัดเขาไว้เหนียวแน่น

หอกยาวสีดำเล่มนั้นที่เสียบทะลุกายเขา ตอกยึดร่างกายเขาไว้กับพื้นดิน เชื่อมเข้ากับโซ่แสงม่วง ยิ่งระเบิดพลังอันโหดร้ายออกมา

สือเถี่ยไม่ขยับก็แล้วไป ถ้าหากต้องการเขยื้อนร่าง เรือนกายจะถูกทำร้ายในทันใด

สายตาของซือหม่าฉุย ตกอยู่บนมือซ้ายของสือเถี่ย “บัดนี้ข้าจะปลิดชีวิตเจ้า ง่ายดาบราวกับพลิกฝ่ามือ”

“แต่ว่าจำเป็นต้องเข้าใกล้เจ้าจึงจะใช้ได้”

“แต่หากข้าเข้าใกล้เจ้า ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีพลังโจมตีเฮือกสุดท้าย ข้าจะฆ่าเจ้า ก็กำหนดไว้แล้วจะต้องถูกฝังไปกับเจ้า!”

ซือหม่าฉุยมีสีหน้าเหยเก พลางสั่นศีรษะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาที่ตั้งตระหง่านเสียดฟ้าอยู่ไกลออกไป “ที่นั่น พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”

“ข้าไม่รู้และไม่สนใจจะรับรู้เช่นกัน แต่ข้ารู้เพียงว่าขัดขวางเรื่องที่พวกเจ้าคิดจะทำได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”

เขาไอเป็นเลือดไปพลาง ยิ้มอย่างหนักใจไปพลาง “ข้าฆ่าเจ้า เจ้ามีความสามารถที่จะลากข้าลงเหวไปพร้อมกันได้ ข้าไม่ฆ่าเจ้า เจ้าก็ไม่ตาย ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ตาย แต่ข้ากลับสามารถทำลายเรื่องของเจ้าได้”

“ยังเป็นไปได้อีกว่าไม่ใช่เรื่องของเจ้าผู้เดียว แต่เกี่ยวเนื่องกับทั้งสำนักเขากว่างเฉิงของพวกเจ้า ฮ่าๆ ฮ่าๆ!”

แสงรัศมีในดวงตาทั้งสองของสือเถี่ยปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เขาจับหอกยาวสีดำโยกคลอน หากแต่แสงดำและแสงม่วงพลัยถล่มบนร่างเขาพร้อมกัน พันธนาการร่างกายของเขาเอาไว้หนักข้อขึ้น ทำให้เขาไม่อาจขยับเขยื้อน

ซือหม่าฉุยยิ้มกล่าว “เสียดสีช้าๆ ทุ่มเวลาอีกสักหน่อย เจ้าสามารถทำลายค่ายกล ถอนหอกมังกรดำของข้าออกไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเร็วกว่าข้านะ”

ท่ามกลางเสียงหัวร่อกึกก้อง ซือหม่าฉุยโผนบินไปทางยอดเขาเดี่ยวลูกนั้น

บนยอดเขาเดี่ยว สวีเฟยยืนอยู่ใจกลางยันต์อักษร ‘ฟ้า’ สองมือชูสูงขึ้นฟ้า พลิกกลางฝ่ามือหงายขึ้น เสมือนกับค้ำยันท้องฟ้าไว้

อิงหลงถูอยู่ข้างกายเขา คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น กดสองมือไปบนยันต์อักษร ‘ฟ้า’ พร้อมกัน

พายุลมงวงสีทองโอบล้อมทั้งสองคนไว้ ยิ่งทวีความยิ่งใหญ่แกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ คลุมครอบยอดเขาเดี่ยวที่ตั้งตระหง่านเอาไว้โดยสมบูรณ์ ม้วนเอาปราณวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเข้าสู่ภายในนั้นตลอดเวลา

ขณะเดียวกับที่ทั้งสองกำลังพยายามอย่างเต็มที่ สงครามเดือดไกลออกไปก็สะท้านฟ้าสะเทือนดิน สวีเฟยกับอิงหลงถูต่างเพ่งมองทิศทางนั้นอย่างตึงเครียด

ฉับพลันนั้น หลังจากปะทะกันอย่างรุนแรง สถานการณ์ต่อสู้คล้ายกับสงบลง

ต่อจากนั้น พลังปราณอันแกร่งกล้ากลุ่มหนึ่ง พลันเข้าใกล้มายังพวกเขาสวีเฟยและอิงหลงถูแห่งนี้

เมื่อใกล้เข้ามาแล้ว จิตใจสวีเฟยก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เนื่องจากเขารู้ว่านั่นไม่ใช่พลังเจตจำนงหมัดของสือเถี่ยอาจารย์ของตน!

ดังคาด เงาร่างของซือหม่าฉุย ‘ราชันมังกร’ ปรากฏตรงหน้าทั้งสองสวีเฟยและอิงหลงถู

ซือหม่าฉุยแลมองพายุลมงวงสีทองที่คลุมครอบยอดเขา หลังจากสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยิ้มอย่างนิ่งเงียบ

เขาไม่มีหอกยาวอยู่ในมือ กระนั้นต่อยหมัดหนึ่งออกไป พลังปราณดั้งเดิมกลายสภาพเป็นมังกรเจียวหลงสีดำอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับปลายหอกที่ทรงอานุภาพเกรียงไกร แทงไปทางยอดเขา!

มังกรเจียวหลงเหมือนโผล่มาจากมหาสมุทร บริเวณที่แสงดำส่องวาบวับ เกิดเสียงมังกรคำรามดุร้ายและคลุ้มคลั่งดังระคนกับเสียงพายุลมงวง

มังกรเจียวหลงสีดำแยกเขี้ยวแกว่งเล็บ ฉีกพายุลมงวงสีทองอย่างบ้าระห่ำ

แม้กายจะเจ็บสาหัส จวนเจียนสากรรจ์ ทว่าพลังความสามารถของซือหม่าฉุย ก็ยังห่างไกลจะนำมาเอ่ยเปรียบเทียบกัน

ด้วยการรุกโจมตีของมังกรเจียวหลงอันแปรสภาพมาจากญาณวรยุทธ์เขา พายุลมงวงสีทองพลันเปลี่ยนเป็นล่อแหลมอันตรายในทันใด

บัดนี้การก่อตั้งอย่างมั่นคงของยันต์อักษร ‘ฟ้า’ มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายแล้วเช่นกัน

ท้องฟ้าเหนือยอดเขาเดี่ยวปรากฏลวดอาคมอันซับซ้อนและลึกล้ำ ดูไปแล้วคล้ายกับมหาค่ายกลคุ้มกันเขากว่างเฉิงที่ย่อขนาดลงมาอย่างมาก

ลวดลายอาคมผสานเข้ากับยันต์อักษร ‘ฟ้า’ จากนั้นมีกระแสปราณหลายสายแผ่ขยายออกไปทั่วสารทิศ

ซือหม่าฉุยตะโกนเสียงทุ้มต่ำ พลังอันบ้าคลั่งก่อกวนพายุลมงวงสีทอง ก่อกวนยันต์อักษร ‘ฟ้า’ ทำให้การโคจรของมันเชื่องช้าลง

ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในการแข่งขันและไม่ยอมอ่อนข้อชั่วขณะหนึ่ง

ราชันมังกรยิ้มแสยะ แล้วก็เริ่มทุ่มพลังทั้งหมดของตนเช่นกัน พายุลมงวงสีทองค่อยๆ ถูกพลังของเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ!

หมัดของเขาเริ่มเข้าใกล้ยอดเขาเดี่ยว ทว่ายังไม่ทันประชิด ยอดเขาก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับกำลังจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น!

เมื่อใดที่ยอดเขาเดี่ยวพังทลาย ยันต์อักษร ‘ฟ้า’ ก็จะแตกสลายทันที!

สวีเฟยกับอิงหลงถูที่อยู่สุดปลายยอดเขา พยายามรักษาสภาพยันต์อักษร ‘ฟ้า’ และก่อกวนซือหม่าฉุยอย่างสุดชีวิต

ไกลออกไป ท่ามกลางทะเลทรายกว้าง สือเถี่ยใบหน้าไร้อารมณ์ สองมือกุมหอกยาวสีดำที่เสียบทะลุร่างตน

“ฉึก…ฉึก…”

สือเถี่ยดึงหอกดำที่เสียบทะลุร่างเขาเล่มนั้นออกมาทีละน้อยๆ!

แสงม่วงและแสงดำตัดสลับทอกันประกาย เนื้อหนังสือเถี่ยเป็นแผลเหวอะหวะ

บุรุษที่ถูกตีขึ้นด้วยเหล็กกล้าแต่กาลก่อน บัดนี้เรือนกายสั่นเทิ้มไม่หยุด

มีเพียงสองมือเท่านั้น ที่ยังคงมั่นคงดุจหินขนาดใหญ่

…………………………….

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset