ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 149 เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์เข้ามาอยู่ในมือ

เยี่ยนจ้าวเกอปล่อยฝ่ามือทั้งสองออกมาพร้อมกัน โจมตีจนแขนท่อนหน้าข้างซ้ายจนเป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าบิดๆ เบี้ยวๆ อยู่บ้าง

หลินโจวส่งเสียงฮึดฮัดทุ้มต่ำน่าเวทนาออกมา ไม่กล้าจะปะทะต่อไปอีก ร่างกายอาศัยแรงในการพุ่งโจมตีเหินลอยถอยหลังไป

ทว่าขณะนี้เขาเสียจังหวะไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ต่อให้ถอยร่นก็ถูกพลังของเยี่ยนจ้าวเกอตรึงเอาไว้อยู่ดี

ส่วนลึกในแววตาหลินโจวทอประกายความเฉียบขาดแวบหนึ่ง ทรวงอกยุบเข้าพองออก จากนั้นเขาก็พลันเงยหน้าขึ้น พาให้ฟ้าพ่นฝนโลหิตออกมา

ฝนโลหิตนั้นกลายสภาพเป็นไอหมอกอยู่กลางอากาศ ปกคลุมทั้งกายหลินโจว

จี้หยกที่อยู่ตรงกลางเข็มขัดหลินโจวส่องแสงขึ้นมาในฉับพลัน สีสันเปลี่ยนจากเขียวมรกตเป็นแดงโลหิต ก่อนที่มันจะแตกกระจายออกมา เปล่งแสงสีแดงขึ้น ม้วนร่างหลินโจวให้กลายเป็นลำแสงในชั่วพริบตา เหินทะยานขึ้นท้องฟ้าหนีออกไปไกล!

ความเร็วนั้น เทียบกับการที่หลินโจวสั่นไหวปีกสายฟ้าของตนด้วยแรงทั้งหมดแล้วยังเร็วยิ่งกว่า

ความเร็วยิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ต่อให้เป็นมหาปรมาจารย์ ทว่าไม่ทันได้ป้องกันในทันที ก็ล้วนยากจะรั้งเขาไว้ได้

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูแสงสีแดงที่ห่างออกไปไกลในชั่วพริบตา พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย “โอ้ หยกเปลี่ยนโลหิตสู่ธารแสงหรือ ใช้การได้บ้างแล้วนี่ ทรัพย์สมบัติครอบครัวค่อนข้างมั่งคั่งเชียว สังหารได้ยากกว่าเยี่ยจิ่งและจ้าวฮ่าว หากหมายชีวิตเจ้า ข้าจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าอยู่บ้างถึงจะสำเร็จ”

ทางด้านอาหู่กำลังปราบปรามเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เคลื่อนไหวผิดปกติ พลางกล่าวถามด้วยความวิตกกังวลอยู่บ้าง “คุณชายขอรับ ปล่อยให้เขาไปแล้ว แม่นางเฟิงอยู่ทางน้ำพุวิเศษเมฆหยินหยาง ณ เขานิมิตเมฆนั้น…”

“ไม่เป็นไร” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าจงใจลวงเขา จริงๆ แล้วทางด้านเฟิงอวิ๋นเซิงได้ถึงขั้นตอนปิดท้ายเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ออกจากบ่อน้ำพุวิเศษเมฆหยินหยาง ผลกระทบก็ไม่มาก ขอแค่ทางด้านพวกเราถ่วงเวลาไว้ ส่งข่าวกลับไปในทันทีก็เรียบร้อย ท่านอาจารย์ฟู่เข้าใจสถานการณ์ รู้ดีว่าจะต้องจัดการอย่างไร”

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาเป็นเส้นตรงเล็กน้อยครู่หนึ่ง “แต่ข้ากลับค่อนข้างรู้สึกสนใจสิ่งของที่เขาแสดงออกมา พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ เขาสามารถสำแดงอัสนีฟาดประสานฟ้าคำรนออกมาทั้งที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ได้ เรื่องนี้ข้ามีการตระเตรียมใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่เขากลับสามารถใช้วิชาคมเชือกของเมืองทะเลมรกตได้ นี่ก็อยู่เหนือการคาดหมายของข้าจริงๆ”

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร อัสนีฟาดประสานฟ้าคำรนก็เป็นวิชาวรยุทธ์ของตำหนักอัสนีสวรรค์เอง

การเปลี่ยนแปลงของมังกรเหินบินไล่คว้าสมุนดวงดาวก่อวิวัฒนาการวิชาวรยุทธ์ ก็อาจจะเป็นพบโดยบังเอิญของหลินโจวก็เป็นได้ อธิบายได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นเดียวกัน

ก็เหมือนเช่นเยี่ยนจ้าวเกอที่ไม่มีผู้อื่นซักไซ้ไล่เรียงตน ว่าเหตุใดจึงสามารถใช้วิชาหมัดอสูรหกวิญญาณได้

วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ขณะเดียวกันกับที่ทำให้การสืบทอดวรยุทธ์ถูกแบ่งยุคสมัย ทิ้งซากวัตถุเอาไว้มากมาย ก็ให้โอกาสมากมายกับเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายที่เปิดฉากขึ้นใหม่ในยุคสมัยนี้

ทว่าคมเชือกไม่เหมือนกัน นี่เป็นวิชาลับสืบทอดของเมืองทะเลมรกตแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ณ วารีพิภพในยุคปัจจุบัน

วิชาคมเชือกที่หลินโจวแสดงออกมา มีรูปแบบเหมือนกับการสืบทอดเมืองทะเลมรกตในเวลานี้

หายอดฝีมือเมืองทะเลมรกตคนหนึ่งที่มีความชำนาญในวิชาวรยุทธ์วิชานี้มาสำแดง ก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน

นี่จึงทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้านี่ฝึกวิชาคมเชือกได้อย่างไรกัน”

อาหู่ยิ้มเปิดปากกว้างพลางกล่าวว่า “เขายังคิดจะนำข่าวของแม่นางเฟิงไปเปิดโปงให้แก่เขาไร้พรมแดน และสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีก คุณชายขอรับ หากท่านนำข่าวนี้บอกกล่าวกับเมืองทะเลมรกต เมืองทะเลมรกตจะหาทางจัดการจัดการเขาในทันที! ทันใดนั้น การปะทะกันระหว่างตำหนักอัสนีสวรรค์กับเมืองทะเลมรกต ก็จะยิ่งเลวร้ายลง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ หรือเขาไม่ยอมรับ ไม่ต้องให้ท่านเอ่ยปาก ข้าจะไปทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลากับเขาเอง”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านั้น ความไม่เสถียรของพลังจากเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังนับว่าเด่นชัดเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นหลินโจวมาพบเหตุบังเอิญด้วยตนเอง แต่บวกกับเยี่ยนซ่านก่อนหน้านี้ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจะไม่ลากคนอื่นๆ ของตำหนักอัสนีสวรรค์มาด้วยหรือไม่ เก็บเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า”

สิ้นคำกล่าว เยี่ยนจ้าวเกอก็มายังบริเวณใกล้ๆ กับเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าใหม่อีกครั้ง เขายื่นมือกำหมัดต่อยออกไปหมัดหนึ่ง

กำปั้นไม่ได้โจมตีไปบนเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยนจ้าวเกอใช้เจตจำนงหมัดของตน สั่นสะเทือนหลอมเข้าไปภายในเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า

ในระหว่างกระบวนการนี้ จิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็เชื่อมต่อสื่อสารกับเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า

เบื้องหน้าปรากฏโลกที่เต็มไปด้วยสายฟ้า

ที่แห่งนี้แท้จริงกว่าโลกลวงตาที่กลายสภาพมาจากปราณจิตราของหลินโจวเมื่อครู่อย่างยิ่ง และน่าหวาดกลัวกว่าอย่างยิ่งเช่นกัน

ความไม่รอบคอบหนึ่งครั้ง จิตวิญญาณของเยี่ยนจ้าวเกอก็แตกสลายลงตรงนี้ ทั้งกายเปลี่ยนเป็นเปลือกหอยอันว่างเปล่าที่คล้ายกับซากศพเดินได้

กระนั้นท่วงทำนองกฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่ภายในนี้ก็ลี้ลับมหัศจรรย์ไม่มีที่สิ้นสุด ถึงแม้ว่าเป็นเพราะการแตกสลายของเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ปรากฏไม่ครบสมบูรณ์ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอเห็นแล้วเกิดความเข้าใจและตระหนักเป็นอย่างมาก

ที่แห่งนี้เป็นพลังสายฟ้าเก่าแก่ที่สุด ผลิบานในชั่วพริบตา พลังแห่งการเกิดและดับไป!

คล้ายกับว่าเสียงฟ้าร้องดังตามหลังมา กลุ่มธาตุอากาศสลัวพังทำลาย เบิกฟ้าแยกแผ่นดิน

เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจเข้าลึก “สายฟ้าชั่วพริบตา…”

สายฟ้าชั่วพริบตา ชั่วพริบตาเดียวผาไหม้ทุกสิ่งอย่าง รวบรวมพลังทั้งหมดไว้เพื่อปลดปล่อยออกไปในคราวเดียว

ที่กล่าวว่าชั่วพริบตา หนึ่งช่วงเวลาสั้นๆ ก็คือหกสิบชั่วพริบตา

ชั่วนิรันดร์กับชั่วพริบตา ยาวนานที่สุดกับสั้นที่สุด ระยะเวลาสุดขั้วทั้งสองแบบบรรลุในชั่วนิรันดร์กับชั่วพริบตา และก็เข้าใจลึกซึ้งถึงความเร้นลับของกาลเวลา

ท่วงทำนองของพลังในดวงตาราชันสายฟ้า ก็คือใช้การเกิดขึ้นและดับไปของสายฟ้า อนุมานการริเริ่มเกิดขึ้นและดับไปของสรรพสิ่ง การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน อนุมานความเร้นลับมหัศจรรย์ไม่มีที่สุดของกาลเวลา

เยี่ยนจ้าวเกอพลันประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าที่อยู่เบื้องหน้าสั่นสะเทือน แสงสายฟ้าเก็บคืน

ขนาดของไข่มุกวิเศษสีม่วงที่เทียบกับกำปั้นมนุษย์แล้วยังใหญ่กว่าบ้างค่อยๆ หดเล็กลง จากนั้นกลายสภาพเป็นแสงสายฟ้าสีม่วงแกมน้ำเงิน

ชายหนุ่มเบิกตาโพลงจดจ้องด้านหน้า จากนั้นแสงสายฟ้าสีม่วงแกมน้ำเงินที่อยู่ตรงหน้าก็เข้าไปภายในดวงตาข้างขวาของเยี่ยนจ้าวเกอ!

“เฮ้ย!” เยี่ยนจ้าวเกอเปล่งเสียงร้องด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ใช้มือกุมตาขวาของตนไว้ตามสัญชาตญาณ

มีความรู้สึกแปลกประหลาดส่งผ่านลูกตาข้างขวาออกมาเป็นพักๆ ต่อให้หลับตา เบื้องหน้าก็ยังไม่หยุดส่องประกายแสงสีม่วงวับวาบ

เยี่ยนจ้าวเกอยิ่งรู้สึกได้ถึงอาการบวมของศีรษะเป็นพักๆ คล้ายกับจะหมดสติไปอย่างไรอย่างนั้น

พลังที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้ามากมายไหลไปมาภายในร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึกชา

จุดลมปราณทั่วกายเยี่ยนจ้าวเกอเปิดปิด กลืนกินพลังสายฟ้าเหล่านี้อย่างไม่หยุดยั้ง ภายในจุดตันเถียนชี่ไห่ยิ่งโคจรขับพิษด้วยความเร็ว ขจัดการดูดรับเอาพลังเหล่านี้

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ชายหนุ่มถึงลืมตาขวาของตนขึ้น แสงสีม่วงอันบ้าคลั่งเปล่งประกายผ่านไป ทำเอาผู้คนตกตะลึง

อาหู่ปกปักรักษาอยู่ฟากหนึ่งอย่างเงียบๆ ยามนี้เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “คุณชาย ท่านใช้ร่างกายท่านบำรุงเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มีประโยชน์ต่อเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนบำเพ็ญของตัวท่านเองเป็นอย่างมากเช่นกัน แต่อันตรายภายในนั้นก็มากมหาศาลยิ่งเช่นกันขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอยังคงรู้สึกว่าตาขวาไม่ค่อยสบายนัก จึงปิดม่านตาข้างขวาเล็กน้อยโดยพลัน พลางผงกศีรษะ “เจ้าวางใจ เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แก่ใจดี ที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะหยุดอยู่นานนัก พวกเราไปกันเถิด”

ทั้งสองเคลื่อนกายออกจากสถานที่เดิมด้วยความรวดเร็ว อาวุธวิญญาณหลายชิ้นที่ทิ้งกระจัดกระจายอยู่ด้านหนึ่ง ก็ถูกเยี่ยนจ้าวเกอเก็บไปเช่นกัน

นอกจากเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์แล้ว ครานี้เยี่ยนจ้าวเกอยังได้ดาบอัสนีเหินฟ้า อาวุธวิญญาณระดับล่างของหลินโจวเข้าคลังอีกชิ้นหนึ่ง

“จิ๊ กงจักรเพลิงสุริยะ กระบี่อัสนีทองคำม่วง บัดนี้ยังเพิ่มดาบอัสนีเหินฟ้าเข้ามาอีก ข้าได้รับอาวุธวิญญาณติดป้ายของคู่ต่อสู้ตั้งหลายชิ้น” เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก สายตามองไปยังทิศอัสนีพิภพแวบหนึ่ง “เพียงแต่ข้ากลับรู้สึกสนใจยิ่งกว่าว่าจริงๆ แล้วเจ้าเข้าใจเรื่องสตรีจันทราสักเพียงใดกัน เป็นเจ้าผู้เดียวที่รับรู้ หรือเจ้าได้รับข่าวคราวมาจากสถานที่อื่น”

………………..

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset