ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 182 เสียจื่ออี้ผู้ถูกโจมตี

ใบหน้าของเสียจื่ออี้บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย มุมปากปรากฎรอยยิ้มที่ทั้งพิลึกทั้งชั่วร้ายออกมา

ในระหว่างที่ร่างกายเขาวับวาบ ก็ได้หายไปจากที่เดิมเรียบร้อยแล้ว ความเร็วคล้ายกับรวดเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วน

เพียงแต่ร่างของเสียจื่ออี้ในขณะนี้ไม่เหมือนเช่นเมื่อก่อน บัดนี้เขาใช้วิชาสืบทอดของตำหนักอัสนีสวรรค์ ทำให้ว่องไวดุจสายฟ้า อีกทั้งยังแข็งแกร่งร้อนแรง ราวกับอัสนีบาตแห่งสวรรค์ทั้งเก้า

เสียจื่ออี้ในยามนี้แม้จะฉับไวยิ่ง แต่กลับปรากฎความรู้สึกมืดครึ้มของมารร้ายมากขึ้น

เยี่ยนจ้าวเกอมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยกมือหนึ่งขึ้น แสงมรกตสายหนึ่งร้องคำรามเหินบินออกมาจากแขนเสื้อทันใด ประหนึ่งมังกรสะท้านเหนือเวหา

แสงมรกตชะงักอยู่ในอากาศ สกัดประกายกระบี่สีม่วงที่น่าหวาดกลัวทั้งยังชั่วร้ายสายนั้นได้อย่างแม่นยำ

ร่างกายเสียจื่ออี้ปรากฎขึ้นใหม่อีกครั้ง ในมือถือกระบี่ผนึกทะเลหมอก แววตาอึมครึมเยียบเย็น ลูกตาดำย้อมเป็นสีเหลืองเล็กน้อย ภายในนั้นสาดแสงสีแดงแปลกประหลาดออกมารางๆ

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มหนึ่งที่ทั้งแปลกพิลึก ทั้งบิดเบี้ยวออกมา

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ดวงตาเล็กน้อย “กลายเป็นมารเสียแล้ว…”

เสียจื่ออี้หัวเราะแล้วพูดขึ้นอย่างไม่แยแส “เยี่ยนจ้าวเกอ ตอนนี้เรามาสู้กันอีกสักครั้ง!”

ร่างกายเขาพลิกตัวหมุนกลับอย่างรวดเร็ว แล้วหายตัวไปอีกครั้ง ประกายกระบี่สีม่วงก็ค่อยๆ หายไปตามเขาเช่นกัน

ตอนที่ปรากฎตัวอีกครั้ง ก็มาถึงด้านหลังของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ทั้งยังแทงกระบี่หนึ่งออกไป

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับยืนอยู่ที่เดิม ฝีเท้าไม่ขยับ ร่างกายไม่หันกลับเช่นกัน เขาเพียงพลิกมือกลับหลังเพื่อปล่อยกระบี่หนึ่ง สกัดการโจมตีของเสียจื่ออี้ไว้ได้อย่างแม่นยำ

“มาอีก! มาอีก!” เสียจื่ออี้หัวเราะเสียงดัง “ตอนนี้ไม่เหมือนเช่นก่อนหน้าแล้ว! เยี่ยนจ้าวเกอ ข้าจะควักตับและหัวใจของเจ้าออกมาให้หมด!”

ร่างกายเขาว่องไวดุจมารร้าย เดี๋ยวปรากฎเดี๋ยวหายไป แสงสายฟ้าสีม่วงสายหนึ่งเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าไร้อย่างกฎเกณฑ์ในความมืดมน แปลกประหลาดไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน

“พ่านพ่านไม่ต้องยุ่ง สงบจิตสงบใจคอยก็พอ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว ขณะเดียวกันเท้าทั้งสองก็ยึดอยู่บนพื้นแน่นไม่เขยื้อน ราวกับถูกตอกตะปูติดไว้อย่างไรอย่างนั้น กระบี่วิญญาณมังกรมรกตในมือเหินบินขึ้นลง สะกัดประกายกระบี่ที่เสียจื่ออี้รุกโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง

‘หลังจากกลายเป็นมารแล้ว พลังความสามารถพัฒนาขึ้นอยู่บ้างจริง เพียงแต่ขอบเขตไม่กว้างนัก’ สีหน้าท่าทางของเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง เขาครุ่นคิดแยกแยะทางกระบี่ของเสียจื่ออี้ ‘แม้ว่าสภาพจิตใจจะว้าวุ่นไม่มั่นคง แต่ยามถึงคราวต่อสู้ กลับรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ ทำให้ไม่เสียระดับฝีมือไป’

หลังจากเปรียบเทียบความแตกต่างของเสียจื่ออี้ก่อนและหลังตกเป็นมาร เยี่ยนจ้าวเกอก็มีแผนอยู่ในใจคร่าวๆ แล้ว “โดยปกติแล้ว พลังความสามารถหลังมารเข้าแทรกล้วนมีการพัฒนาขึ้นอยู่บ้าง แต่ขอบเขตบ้างก็น้อยบ้างก็มาก”

เขามองเสียจื่ออี้ แล้วหลุดหัวเราะออกมา “เอ่ยเช่นนี้อาจจะกระทบเจ้าอยู่บ้าง”

“หลังจากเจ้าตกเป็นมาร ขอบเขตการพัฒนาพลังความสามารถของเจ้า จัดว่าค่อนข้างน้อยกระมัง”

เสียจื่ออี้ที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ การเคลื่อนไหวพลันหยุดชะงักทันที

ในลูกตาดำที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ประกายสีแดงเลือดยิ่งทวีความแสบตา เสียจื่ออี้จดจ้องเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่ละสายตา พลางหัวเราะอย่างประหลาด

ประกายกระบี่สีม่วงบ้าคลั่งปรากฎขึ้นในทันใด ชั่วพริบตาเดียวทอดขวางในอากาศ ราวกับบานประตู คล้ายกับสามารถสับฟ้าดินแยกออกเป็นสองส่วนได้ ฟันมาทางเยี่ยนจ้าวเกอ!

หลังจากกระบี่หนึ่ง ก็เป็นอีกกระบี่หนึ่ง!

อัสนีวัฏจักรนั่นเอง!

“ข้าเคยพูดแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอ ตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะพิลึกของเสียจื่ออี้ กระบี่ที่สามก็ฟันออกไป!

ทั่วร่างเขาศีรษะจรดปลายเท้า มีเส้นโลหิตมากมายปูดโปนขึ้น ปรากฎให้เห็นความดุร้ายน่าหวาดกลัวหาที่เปรียบไม่ได้ ใบหน้ายิ่งเผยให้เห็นสีหน้าเจ็บปวดทรมาน

ทว่าหมอกดำโหมซัดสาดในเขตไอมารโดยรอบ สัมผัสแนบอยู่บนกายเขา ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถยับยั้งการฉีกขาดของเส้นลมปราณภายในร่างกายของเขาได้ แต่กลับคลายความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของเขาได้

เสียจื่ออี้หัวเราะเสียงดังด้วยความเจ็บปวดทว่าก็ชื่นมื่น ด้วยการผลักดันของอัสนีวัฏจักร ประกายกระบี่ที่กว้างใหญ่ทั้งสามสายสับไปทางเยี่ยนจ้าวเกอโดยตรง!

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเสียจื่ออี้ด้วยความสงบเงียบ กระบี่วิญญาณมังกรมรกตในมือแกว่งไปมา ประกายกระบี่สีเขียวพุ่งถลาขึ้นสู่ท้องฟ้า

หลังจากกระบี่หนึ่งแล้ว เขาก็ฟันอีกกระบี่หนึ่งออกไปอย่างไม่รอช้า

หลังจากกระบี่ที่สอง ก็ตามด้วยอีกกระบี่ หลังจากกระบี่ที่สามแล้ว ก็ตามด้วยอีกกระบี่…

เสียจื่ออี้เบิกตาโพลง มองดูกระบี่ทั้งห้าที่เยี่ยนจ้าวเกอปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะมีกระบี่ที่หกฟันออกมาอีก!

หกวัฏจักร!

ประกายกระบี่สีม่วงแตกกระจายออก ราวกับเปลวเพลิงปลิวสะบัด ในชั่วเวลาหนึ่งไอหมอกสีดำก็ถูกแหวกออกไปเช่นกัน ถูกขจัดจนหมดสิ้น

จิตราของกระบี่สีเขียวมรกตที่น่ากลัว คล้ายกับแปรสภาพเป็นมังกรสีครามมากมายเหินบินว่อน ฉีกร่างกายของเสียจื่ออี้!

ภาพสุดท้ายที่หยุดอยู่ในสมองของเสียจื่ออี้ คือเยี่ยนจ้าวเกอมองดูเขาด้วยความสงบนิ่งพลางเอ่ยถาม “มีสิ่งใดไม่เหมือนเมื่อครู่รึ?”

เสียจื่ออี้อ้าปากอยากจะตะโกนร้องด้วยความโกรธ ทว่ากลับเปล่งเสียงใดๆ ไม่ออกอีกต่อไป

เขาไม่ยินยอม เขาเดือดดาล เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัว

ไม่คาดคิดเลยว่ากลายร่างเป็นมารชั่วร้ายแห่งนพยมโลกแล้ว แต่ยังไม่สามารถต่อสู้ชนะคู่ต่อสู้ผู้นี้ได้!

ความเคียดแค้นของเสียจื่ออี้ รุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่กลายร่างเป็นมารร้าย หลังจากเพิ่งตกเข้าลงสู่เขตไอมารก่อนหน้านี้

กระนั้นชีวิตของเขา กลับเดินมาจุดสิ้นสุดแล้ว และสลายหายไป

ร่างที่บอบช้ำของเขาร่วงลงสู่พื้น ค่อยๆ กลายสภาพเป็นควันสีดำ หลอมรวมเข้าสู่ภายในเขตไอมารโดยรอบ

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูศพรูปร่างแปลกประหลาดของเสียจื่ออี้ที่กลายเป็นควัน ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย “เหมือนเช่นในบันทึก ถึงแม้ว่าเลือดเนื้อและเส้นลมปราณจะไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่ร่างคนที่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว”

ผู้ที่ตกเป็นมาร ไอมารรุกเข้าสู่ร่างกายด้วยน้ำมือมนุษย์ ความทะเยอทะยานหรือการยึดมั่นภายในจิตใจ ด้านใดด้านหนึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่อาจควบคุมได้

ท้ายที่สุด ผลกระทบลวงตาในใจดำรงอยู่ในความเป็นจริงภายนอก ผนึกผสานเข้ากับไอมาร ทำให้ร่างกายของผู้คนเริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหวนย้อนกลับ กลายเป็นมารชั่วร้ายของนพยมโลก

การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกก็คือตอนที่กลายเป็นมารอย่างแท้จริงเช่นกัน เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงประเภทชีวิต จะทำให้พลังความสามารถของผู้คนเพิ่มสูงขึ้นไม่มากก็น้อย

ถ้าหากมีอาการบาดเจ็บในร่างกายอยู่ก่อนแล้ว เช่นนั้นคราวนี้ก็จะฟื้นคืนอย่างไร้ขอบเขต ถึงขั้นหายเป็นปกติ

ผู้ที่ตกเป็นมาร ในเขตไอมารอันเข้มข้น พลังสู้รบก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นในระดับที่ต่างกัน

สิ่งที่ควรค่าแก่การให้ความสนใจก็คือ ไม่ว่าจะถูกโลกภายนอกปลุกปั่น หรือมีสถานการณ์อันตรายบีบบังคับก็ตาม ล้วนแล้วแต่เร่งให้ผู้ที่มารเข้าแทรกเหยียบย่างก้าวสุดท้าย ทว่าก็ยังมีปณิธานของเขาเองตั้งแต่แรกเริ่ม

ต่อให้ปณิธานน้ะจเปลี่ยนแปลงไป เพราะผู้ที่ตกเป็นมารประสบหายนะมาหลากหลายรูปแบบก่อนหน้านี้ ทว่าในชั่วขณะสุดท้าย ผู้ที่ตัดสินใจก็เป็นตัวของผู้ที่มารเข้าแทรกอยู่

ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านความตั้งใจแน่วแน่หรือสิ่งที่ตนตั้งมั่นมาโดยตลอดได้ แม้จะมีการจกเป็นมารมาสั่นคลอนก็ตาม

สำหรับรากฐานแล้ว ตกเป็นมาร คือความทะเยอทะยานและการยึดมั่นในจิตใจตนเองด้านใดด้านหนึ่งเพิ่มสูงขึ้นถึงขีดสุด อยู่เหนือกว่าความคิดอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อครู่เสียจื่ออี้กถึงสามารถสัมผัสกับไอมาร เชื่อมต่อทั้งภายในและภายนอก

การที่ถูกไอมารรุกเข้าสู่ร่างกาย ไม่ได้หมายความว่าจะตกเป็นมารเสมอไปแต่อย่างใด

เยี่ยนจ้าวเกอมายังบริเวณที่ศพเสียจื่ออี้อันตรธานหายไป เขาเก็บกระบี่ผนึกทะเลหมอกของอีกฝ่ายขึ้นมา นอกจากนั้นแล้ว สิ่งของที่ค่อนข้างน่าสนใจก็คือถุงผ้าไหมใบหนึ่ง

เมื่อเปิดถุงผ้าไหมออก เยี่ยนจ้าวเกอพบว่าภายในนั้นมียันต์สีทองที่มีรูปร่างแปลกประหลาดอยู่

บนยันต์ทองสลักลายอักขระที่งดงามเอาไว้

ชายหนุ่มสังเกตอย่างละเอียดแวบหนึ่ง รู้สึกว่ารอยอักขระมีความคุ้นตาอยู่บ้างรางๆ ทว่าไม่อาจเข้าใจได้ในทันที ด้วยเหตุนี้จึงสงบอารมณ์ลงชั่วคราว ก่อนจะเก็บของขึ้นมา

พ่านพ่านหมีสยงเมายักษ์ตัวนั้นเข้ามาใกล้ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ ร้องเสียงทุ้มต่ำด้วยความสงสัย

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเขตไอมาร พ่านพ่านก็รู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่งเช่นกัน

สัตว์วิเศษเองก็สามารถตกเป็นมารได้

เยี่ยนจ้าวเกอปลอบโยนพ่านพ่านไปพลาง เดินไปในเขตไอมารไปพลาง

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเกิดลางสังหรณ์ภายในใจพักหนึ่ง!

ความรู้สึกที่อันตรายอย่างยิ่ง ปรากฎขึ้นในสมองของเขา

แทบจะในชั่วขณะเดียวกัน ประกายกระบี่สายหนึ่งก็ส่องประกายขึ้นในเขตไอมาร เสือกแทงมาจากด้านหลังศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ!

มหาปรมาจารย์!

………….

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset