ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 190 ทุกท่านในที่นี้ ล้วนเป็นขยะ

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังเจดีย์สูงสีทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น และประตูสีแดงที่ทอดเงาลงมาเบื้องล่าง

ประตูแห่งนพยมโลก กำลังจะเปิดออก

หลังจากที่หลิวเซิ่งเฟิงตกตะลึงในตอนแรก ก็หัวเราะหยันขึ้นมา “เอาคืนข้าร้อยเท่า? เจ้าจะอาศัยสิ่งใด?”

“ไม่เลว ต่อให้ตอนนี้ข้าผ่านพิธีชำระล้างถือกำเนิดใหม่ หลังจากพลังความสามารถพัฒนาสูงขึ้น เป็นไปได้ว่ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”

ในรอยยิ้มของหลิวเซิ่งเฟิงเผยความโหดเหี้ยมไร้สติอยู่หลายส่วน “นพยมโลกย่างกรายมาถึง ที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นแดนผาสุขของพวกข้าโดยสิ้นเชิง เจ้าจะยังขัดขวางได้อยู่อีกหรือ?”

“เรื่องที่มหาปรมาจารย์ด้านนอกมากมายเช่นนั้นล้วนทำไม่ได้ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าสามารถทำได้?”

“ถึงเจ้าจะควานหาทางท่ามกลางความมืดเข้ามาได้จริงๆ แต่พลังฝึกปรือขั้นปรมาจารย์ของเจ้า จะทำสิ่งใดได้?”

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มพลางเบี่ยงกายหลบ แสดงท่าทางให้เกียรติเยี่ยนจ้าวเกอ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายมุ่งหน้าไปยังเจดีย์สูงสีทอง

“พวกข้าเปิดทางให้เจ้า ปล่อยให้เจ้าไปโจมตีศูนย์กลางค่ายกลตามสบาย แต่ด้วยพลังฝึกปรือของเจ้า ก็ไม่อาจพังทลายค่ายกลที่ใหญ่เช่นนี้ได้หรอก ประหนึ่งมดงานจะโยกคลอนต้นไม้ใหญ่ก็มิปาน”

สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง “เป็นความจริง หากใช้พลังฝึกปรือข้าเพียงผู้เดียว คงทำไม่ได้จริงๆ”

 “นพยมโลกเยื้องกราย ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องหยุดยั้งจริงๆ เช่นกัน ไม่อย่างนั้นแม้ว่าข้าจะช่วยพวกศิษย์พี่เยี่ยและศิษย์น้องจางไว้ได้ แต่ผลสุดท้ายทุกคนก็จบเห่ไปพร้อมกันอยู่ดี”

“เพราะฉะนั้น เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดเมื่อครู่ข้าถึงไม่ได้อัดเจ้าจนกลายเป็นไอ้โง่เขลาไปเสีย แล้วช่วยเหลือพวกศิษย์พี่เยี่ยเอาไว้ กลับจะสิ้นเปลืองเวลาด้วยซ้ำไป ข้ากำลังตระเตรียมสิ่งใด?”

ระหว่างที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังพูด เสียงสายฟ้าโหมกระหน่ำดังก็ขึ้นที่ข้างหูของทุกคน

ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ไข่มุกวิเศษสีม่วงเม็ดหนึ่งลอยสูงขึ้นอย่างช้าๆ ประหนึ่งดวงอาทิตย์สีม่วง ปรากฎอยู่กลางฟ้าสีแดงโลหิต

นั่นคือเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า!

สายฟ้าผ่าอันบ้าคลั่งที่นำมาซึ่งแรงกดดันทำลายล้างแก่ผู้คน อสรพิษสายฟ้าสีม่วงอมน้ำเงินแต่ละสายพรั่งพรูออกมาจากภายใน กวัดแกว่งไปมาอยู่ในอากาศตลอดเวลา

เยี่ยนจ้าวเกอชี้นิ้วออกไปด้านหน้าเบาๆ ความเร็วเชื่องช้าอย่างยิ่ง ปลายนิ้วราวกับแขวนภาระอันหนักอึ้งไว้ รับน้ำหนักมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด

ไข่มุกวิเศษสีม่วงที่แปรสภาพมาจากเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าส่งเสียงดังหึ่งออกมา กลายสภาพเป็นแสงสายฟ้าสีม่วง ฟาดไปยังเจดีย์สูงสีทอง!

แสงสายฟ้าสีม่วงและเจดีย์สูงสีทองปะทะดังโครม

บนเจดีย์สูงแตกร้าวเป็นแนวยาวจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนทันที จากยอดเจดีย์ยืดยาวไปจนถึงส่วนฐาน

อักขระค่ายกลสีดำทุกสายที่พันรัดบนเจดีย์สูงสีทอง สั่นสะท้านไม่หยุด แตกออกเป็นจำนวนมาก

แม้แต่ยอดเจดีย์สูงสีทอง ประตูแสงสีแดงนั้นต่างก็เริ่มสั่นไหว กระเพื่อมราวกับพื้นผิวคลื่นน้ำอย่างไรอย่างนั้น

กระนั้น เจดีย์สูงสีทองไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ โดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด!

เงาสะท้อนประตูแสงสีแดงบนพื้นดิน ยังคงมีอยู่!

พลังปราณน่าหวาดกลัวรุ่งโรจน์ขึ้นเรื่อยๆ ประตูแห่งนพยมโลกยังคงกำลังจะเปิดออกในไม่ช้า!

ใจกลางค่ายกลได้รับการโจมตี ตัวค่ายกลโคจรตลอดเวลา ผลาญพลังจนค่อยๆ หมดไป มหาค่ายกลก็กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ท้องฟ้าสีแดงที่แผ่คลุมปฐพีเหนือศีรษะผู้คนแยกออก หมอกดำโหมซัดสาดพลิกม้วนกลับ

ท่ามกลางคลื่นไอมารสูงเทียมฟ้า รัศมีแสงสองสายพุ่งขึ้นมาสู่ท้องนภา เห็นเพียงยอดเขาสูงเด่นตระหง่านสองสาย สายหนึ่งสีดำ สายหนึ่งสีแดง เวลานี้ปรากฎขึ้นตรงหน้ากลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ

มองไปอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นยอดเขาสองลูกนั้น คล้ายกับสูงร้อยจั้งพันจั้ง ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ก่อเกิดแรงกดดันมหาศาลแก่ผู้คน

อักขระวิญญาณจำนวนมหาศาลโดยรอบ รวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นค่ายกลวิญญาณมหึมา ค้ำยันยอดเขาขึ้น จากนั้นภูเขาเทพจือเทียนทั้งสองลูก ก็กระแทกเข้าหากัน!

พลังอันบ้าคลั่งฉีกฟ้าดินแดนมารโดยรอบออก!

ภูเขาเทพสีดำลูกนั้น ยึดครองความได้เปรียบอย่างชัดเจน

ในอากาศมีเสียงหัวเราะทอดดังมา “ซานสือเวิง แต่ไหนแต่ไรเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ที่แห่งนี้ก็ยิ่งไม่ใช่!”

เสียงหัวเราะนี้ ก็คือเสียงของผู้อาวุโสโม่แห่งเขาไร้พรมแดนท่านนั้นนั่นเอง

เขาที่เดิมทีควรจะถูกล้อมสังหารตั้งแต่แรก บัดนี้กลับน่าเกรงขามเย็นเยียบ กดอัดซานสือเวิงเอาไว้

เสียงหัวเราะดังของเขาทอดส่งมา ดังสนั่นจนหูแทบหนวก “นี่คือสิ่งที่เจ้าพึ่งอาศัยอย่างนั้นรึ?”

“เด็กน้อยตระกูลเยี่ยน บุตรชายตระกูลหลินเทียนเฟิงแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ นำข่าวสารที่เจ้าได้รับเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์เผยแพร่จนรู้กันทั่วหล้า แล้วพวกข้าจะไม่ล่วงรู้ได้อย่างไร?”

“เช่นนั้นแล้วจะอย่างไรอีก? จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์น้อยนิดมาโดยตลอดเช่นเจ้า เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะเป็นเศษชิ้นส่วน ก็ยังคงเป็นรากฐานของอาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เจ้าจะสามารถขับเคลื่อนพลังภายในนั้นได้สักกี่ส่วนกัน?”

“ดวงชะตาข้าไม่เลว อยู่ใกล้พอดี เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ ข้าขอรับไปล่ะ ต้องขอบคุณที่เจ้ามอบของล้ำค่าให้แก่ข้า!”

ภูเขาเทพสีดำคล้ายกับเปลี่ยนเป็นยิ่งสูงใหญ่ขึ้นอีก กดอัดภูเขาเทพสีแดงไว้โดยตรง พื้นผิวภูเขาเทพสีแดง ถึงขั้นเริ่มปรากฎรอยร้าว

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มเย็นพลางกล่าว “เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อาศัยว่ามีพรสวรรค์ไม่กี่ส่วน ก็ไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูง รู้เอาไว้ว่าอัจฉริยะเหมือนเจ้า ตายแต่เยาว์วัยง่ายที่สุด!”

“ยังคิดจะประลองกับข้า? ได้ วันนี้ข้าจะสนองเจ้าเอง!”

“รอหลังจากนพยมโลกเยื้องกราย ข้าจะจัดการเจ้าอย่างช้าๆ!”

จ้าวฮ่าวที่อยู่บนพื้นพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ปล่อยมันไว้ให้ข้า ไม่ต้องสังหารมันด้วยมือท่าน ในใจข้าไม่สบายอารมณ์ ไม่เข้าใจความคิดนัก”

ผู้อาวุโสโม่หัวเราะเสียงดัง “ดูสิว่าชะตาเจ้าจะแกร่งเช่นนั้นหรือไม่ จะรอดพ้นเงื้อมมือข้าไปได้หรือไม่”

เจดีย์สูงสีทองนั้น ถึงแม้ว่าจะถูกเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าโจมตีจนเกิดรอยแตก ทว่าเศษชิ้นส่วนก็ฝังอยู่ในนั้นเช่นกัน ถูกเจดีย์สูงสีทองดูดเอาไว้

แสงโลหิตมากมายกะพริบวับวาบ เจดีย์สูงสีทองกลับคล้ายว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตเป็นของตนเอง พยายามที่จะกลืนกินเศษชิ้นส่วนเนตรแห่งอัสนีไป!

หลิวเซิ่งเฟิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ ยิ้มพลางกล่าวว่า “จะนิ่งอึ้งทำไม รีบช่วยของรักของเจ้าสิ?”

“ถ้าหากช่วยของรักของเจ้าออกมาแล้ว ก็รีบเผ่นหางจุกก้นไปเสีย มิแน่ว่าเจ้าอาจจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้?”

“ส่วนทางด้านข้านี้ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจแล้ว” หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มพลางเดินไปทางกลุ่มของเยี่ยฉงโจว “ให้พวกเขาแก้แค้นด้วยมือพวกเขา เอาคืนข้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า ไม่มีสิ่งใดต้องหวังแล้ว เจ้าหวังให้ตนเองมีชีวิตรอดเสียยังจะดีกว่า วันหน้าเจ้าค่อยล้างแค้นแทนพวกเขาเถอะ”

“เพียงแต่เจ้ารู้ดี ว่าข้าผู้นี้กลัวตาย จะต้องหลบซ่อนอย่างดีเป็นแน่”

เยี่ยฉงโจว จางเหยา และคนอื่นๆ มองดูเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าถูกเจดีย์สูงสีทองโอบล้อมเอาไว้ รับรู้ได้ถึงพลังปราณอันน่าหวาดผวาจากภายในประตูแห่งนพยมโลกที่หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ

จางเหยาจ้องหลิวเซิ่งเฟิงเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ร้องตะโกนว่า “เป็นแค่เพียงไอ้ขี้ขลาดตาขาวที่อาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงผู้อ่อนแอ แต่หวาดกลัวคนที่แข็งแกร่ง!”

“ตอนแรกที่ถูกเยี่ยนจ้าวเกออัดจนเหมือนโคลนเลน กระดิกหางประจบ แม้แต่สุนัขยังไม่สู้ ช่างน่าขันเสียนี่กระไร!”

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มแต้ “คิดจะยั่วโมโหให้ข้าสังหารเจ้าง่ายๆ อย่างนั้นรึ? จะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร?”

“ถูกต้อง ข้าก็เป็นคนที่อาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงผู้อ่อนแอ แต่ก็เป็นคนที่รังแก่ผู้อ่อนด้อยกลัวยอดฝีมือ ต่อหน้ายอดฝีมือ ข้าเป็นสุนัขน้อยที่เชื่อฟังมากที่สุด น่าเอ็นดูที่สุด ต่อหน้าผู้ที่อ่อนด้อยเช่นเจ้า ศิษย์น้องจาง ข้าคือฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดของเจ้า”

หลิวเซิ่งเฟิงมาถึงเบื้องหน้าจางเหยา บีบแก้มของนางเอาไว้ บังคับนางให้สบตากับตน “แม่นางน้อย บัดนี้โคลนตมเช่นข้านี้จะฉาบใบหน้าเจ้าเสีย พร้อมแล้วหรือไม่?”

“ปล่อยมือเสีย” เสียงของเยี่ยนจ้าวเกอพลันดังขึ้นข้างหูหลิวเซิ่งเฟิง

หลิวเซิ่งเฟิงมุ่นคิ้วขึ้น เขาพบว่า น้ำเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ไม่มีความรู้สึกล้มเหลวพ่ายแพ้แม้แต่น้อย

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอกวาดผ่านร่างหลิวเซิ่งเฟิงและทั้งสองคนรวมถึงจ้าวฮ่าว มองดูเยี่ยฉงโจว จางเหยาและคนอื่นๆ ที่ล้มอยู่กับพื้นครู่หนึ่ง พลันหัวเราะ

“ข้าไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ผู้ใด เพียงแค่อยากจะพูดว่า…” แววตาเยี่ยนจ้าวเกอเป็นเป็นเย็นเยียบ “พวกท่านทั้งหลาย ทั้งหมดที่ยืนอยู่ ล้วนเป็นขยะทั้งสิ้น”

…………

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset