ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 37 จิตมังกรน้ำแข็งและสตรีจันทรา[1]

อาหู่มองบนผิวของทะเลสาบน้ำแข็งด้วยความรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย “ถ้าเป็นจิตมังกรน้ำแข็งจริง ก็ไม่อาจเก็บมาได้ น่าเสียดายมากจริงๆ”

“คุณชาย ข้ากลับไปพาคนมาอีกดีหรือไม่ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องแบ่งบางส่วนให้ไป แต่ก็ดีกว่าเจอขุมทรัพย์แต่กลับบ้านมือเปล่านะขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองผิวทะเลสาบเช่นเดียวกัน ก่อนจะเห็นที่ข้างใต้ทะเลสาบน้ำแข็ง มีเงามืดเลือนรางขนาดใหญ่กำลังบิดตัวขยับไปมา จนเกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ทำให้ธารน้ำแข็งทั้งสายราวกับเกิดแผ่นดินไหว

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มขึ้นบางๆ “อาจจะยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ลองดูได้”

จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นป้ายโลหะชิ้นหนึ่งออกมาจากช่องอก ครั้นมองดูลวดลายของตัวหนังสือโบราณที่ขาดหายไปบนนั้นแล้ว ชายหนุ่มถึงถ่ายเทปราณจิตราของตนเองเข้าไป

ลวดลายบนแผ่นป้ายโลหะเล็กๆ นั้น พลันมีแสงสีขาวส่องสว่างขึ้นทันที

ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเหน็บจนถึงขีดสุดอย่างร่องธารน้ำแข็งตอนนี้ แสงสีขาวส่องสว่างและเจิดจ้ายิ่งกว่าปกติ และค่อยๆ ปรากฏสีครามเย็นออกมาเล็กน้อย

เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงถ่ายเทพลังต่อไปอย่างเงียบๆ และปราณจิตราของตนเองก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมาถึงขอบของทะเลสาบน้ำแข็ง ชายหนุ่มค่อยนั่งยองๆ ลง ให้แผ่นป้ายโลหะสัมผัสกับผิวน้ำแข็งของทะเลสาบ

วินาทีถัดมา การสั่นสะเทือนที่อยู่ด้านล่างของทะเลสาบก็ราวกับสงบลงไปในพริบตา

แต่ต่อมาด้านล่างทะเลสาบก็สั่นสะเทือนขึ้นอย่างดุเดือดและรวดเร็ว ทำให้ผิวน้ำแข็งเหนือทะเลสาบชั้นบนสุดเริ่มแตกร้าว

บนแผ่นป้ายโลหะระเบิดพลังมหาศาลออกมาในทันที มันสั่นสะเทือนจนเกือบจะหลุดจากมือของเยี่ยนจ้าวเกอไป

ชายหนุ่มเพิ่มแรงไปที่นิ้วมือ และจับแผ่นป้ายโลหะนั้นจนแน่น

จากนั้นเขาสัมผัสได้ถึงแรงดูดที่มาจากน้ำในทะเลสาบอย่างชัดเจน ที่กำลังจะดูดเอาแผ่นป้ายโลหะเข้าไปในน้ำ

เสียงคำรามที่อยู่ใต้ในทะเลสาบก็ยิ่งดั่งสนั่นแก้วหูมากยิ่งขึ้น

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้นยืน รอบกายปรากฏกระแสอากาศไร้รูปร่างไหลสะพัด เปล่งแสงสีทองเรืองรอง ทั้งยังแผ่กระจายปราณจิตราปกคลุมร่างกายของชายหนุ่มไว้ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในทะเลสาบน้ำแข็ง

อาหู่ที่อยู่ด้านหลังออกคำสั่งให้คนอื่นๆ คอยอารักขา ส่วนเขาตามเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปติดๆ

ชายหนุ่มและคนสนิทลงไปใต้น้ำเรื่อยๆ โดยที่กระแสน้ำเย็นเยือกรอบข้างเริ่มมารวมตัวกันที่แผ่นป้ายโลหะในมือของเขา

ภายใต้แสงสีครามที่ปกคลุมไปทั่ว แผ่นป้ายโลหะนั้นค่อยๆ ฟื้นกลับคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์

ใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเผยให้เห็นรอยยิ้ม วินาทีถัดมา เขาก็เห็นเงาดำขนาดใหญ่ขยับเข้ามาใกล้ แต่กลับเป็นกระดูกส่วนหางขนาดใหญ่ของมังกร

ครั้นเขากับอาหู่ตกลงบนกระดูกส่วนหางของมังกร ชายหนุ่มยืนอยู่บนนั้นอย่างมั่นคง ทว่าร่างกายขยับไหวไปมาตามแรงของกระดูกมังกรที่ก้นทะเลสาบน้ำแข็ง

เยี่ยนจ้าวเกอนำแผ่นป้ายโลหะที่อยู่ในมือ เสียบเข้าไประหว่างช่องว่างระหว่างข้อต่อของกระดูกสองชิ้นอย่างแม่นยำ

กระดูกมังกรสั่นสะท้านทั้งหมด ก่อนจะปรากฏแสงสีขาวนวลจากตรงกลางของกระดูกสันหลังสายหนึ่ง และส่องแสงทะลุออกจากทุกข้อกระดูก

เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออก วางไปบนแสงสีขาวที่สาดส่องออกมา แม้ว่าบัดนี้จะมีปราณจิตราปกป้องร่างกายของเขาอยู่ แต่เมื่อได้สัมผัสความเย็นเยือกจากแสงนั้น เขาก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก

‘หมุน!’ เยี่ยนจ้าวเกอพูดและขับเคลื่อนวิชาลับในใจ แสงสีขาวที่อยู่บนกระดูกมังกรก็เริ่มขยับบิดตัวทันที

แสงสีขาวเริ่มหลุดจากกระดูกมังกร ราวกับถูกพลังมหาศาลดูดออกไป

อาหู่ที่อยู่ด้านข้างก็ได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เขานำหยกครามน้ำแข็งขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งออกมา แล้วส่งให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งวางไปบนกระดูกมังกร ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับก้อนหยกไว้ ไม่นานนัก ในหยกครามน้ำแข็งก็ค่อยๆ ส่องแสงสีขาวออกมา และมีเสียงคำรามเกิดขึ้นภายในนั้นด้วย

จิตมังกรน้ำแข็งถูกดูดออกมาจากกระดูกมังกรไม่หยุดหย่อน โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นตัวเชื่อมโยง และมีหยกครามน้ำแข็งผนึกไว้

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าราบเรียบ เพียงแต่ว่าบนใบหน้าของเขาค่อยๆ ถูกแสงสีน้ำเงินปกคลุมไว้ เส้นเลือดบนใบหน้าเต้นเร่าไม่หยุด

อาหู่ที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่าทุกอย่างราบรื่น ต่อไปคุณชายของเขาต้องใช้เวลาอีกหน่อย ก็จะได้จิตมังกรน้ำแข็งมาไว้ในมือแล้ว

แต่สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย ‘มีอีกคนอยู่ฝั่งหัวมังกร กำลังดูดจิตกระดูกมังกรอยู่เช่นกันหรือนี่?’

‘คนที่ปลุกจิตกระดูกมังกรให้ตื่นขึ้นจนเกิดแผ่นดินไหว ดูท่าก็คงจะเป็นพวกเขากระมัง’

เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมองไปตรงๆ เห็นพวกของตนเองสองคนยืนอยู่บนกระดูกส่วนหางของมังกร แต่ลำตัวของมังกรยาวมากจนถึงใต้ชั้นหินของก้นทะเลสาบ จึงไม่รู้ว่ากระดูกส่วนหัวของมังกรยืดยาวออกไปถึงที่ไหน

ชายหนุ่มหลับตาลง สงบจิตใจลงและรวมจิตเข้ากับจิตมังกรน้ำแข็ง ในสมองก็ค่อยๆปรากฏอีกภาพหนึ่งขึ้นมา

ภาพมากมายผ่านสายตาของเขาไปอย่างรวดเร็ว

ในหุบเหวขนาดใหญ่มีถ้ำลึกแห่งหนึ่ง ลมหนาวลอยเป็นเกลียวอยู่รอบๆ เป็นโลกน้ำแข็งเหมันต์อีกแห่งหนึ่ง

ที่ชั้นล่างสุดของถ้ำ เป็นบึงน้ำหนาวเหน็บที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นแห่งหนึ่ง

พื้นของบึงน้ำคือกระดูกสีขาว อันเป็นกระดูกส่วนหัวของมังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ ซึ่งนิ่งไม่ขยับราวกับกำลังนอนหลับอยู่

จู่ๆ น้ำในบึงก็กระเพื่อม โดยมีเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ในบึงนั้น

สตรีนางนี้งดงามไม่แพ้ซือคงจิงเลยแม้แต่น้อย เครื่องหน้าของนางไร้ที่ติ ดวงตาสดใสและอ่อนโยนราวกับลูกกวาง ซึ่งทำให้คนเกิดความเอ็นดูอย่างอดไม่ได้

‘นี่เป็นความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของจิตมังกรน้ำแข็ง ที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตอีกครั้ง’ แต่ที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสะดุดใจก็คือ ตนเองรู้จักเด็กสาวผู้นี้อย่างเห็นได้ชัด

ถึงแม้ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยตัวเองมาก่อน แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็มั่นใจว่าไม่ผิดคนแน่นอน

นางมีนามว่าเมิ่งหว่าน ลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

‘น่าสนใจนัก…’ เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน จู่ๆ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในโลกแปดพิภพ

สมบัติชิ้นนี้มีชื่อว่ามงกุฎจันทรา มีที่มาไม่แน่ชัด แต่มีพลังอานุภาพที่สุดยอด เรียกได้ว่าเป็นอาวุธระดับสูงของเกณฑ์ระดับอาวุธของโลกแปดพิภพหลังจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่

แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ก็ประหลาดมาก เพราะไม่ว่าจะคนปกติหรือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังของมันได้เลยแม้แต่นิดเดียว

มีเพียงแค่หญิงสาวที่มีสภาพร่างกายเป็นจันทรากายและอยู่ในระดับปรมาจารย์แล้วเท่านั้นถึงจะขับเคลื่อนพลังในระดับที่จำกัดได้

แต่ว่ามงกุฎจันทราก็แข็งแกร่งมาก แม้จะเป็นสตรีจันทราระดับปรมาจารย์เป็นคนขับเคลื่อน ก็ใช้ได้แค่พลังที่ใกล้เคียงกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปเท่านั้น

หลังจากที่พบเคล็ดลับแล้ว โลกแปดพิภพก็ครึกครื้นขึ้นในทันที ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งเริ่มค้นหาหญิงสาวที่มีจันทรากายจากทั่วทุกสารทิศมาเข้าสำนักเพื่อบ่มพาะ

เพียงแต่ว่าสตรีจันทราเดิมทีก็มีจำนวนที่น้อยมากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องคัดเลือกบุคคลที่มีอายุที่เหมาะสมเพื่อฝึกฝนอบรมวรยุทธ์วิชาด้วย

ทว่าโลกแปดพิภพมีพื้นที่กว้าง คนก็มาก สุดท้ายค้นพบสตรีจันทราจำนวนหนึ่งจนได้ และถูกแบ่งเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างกันไป

มงกุฎจันทราแข็งแกร่งมากเกินไป เพียงแค่จอมยุทธ์หญิงระดับปรมาจารย์ก็ใช้พลังที่มีอานุภาพที่แข็งแกร่งได้ และถ้าให้สตรีจันทราที่บรรลุระดับมหาปรมาจารย์แล้วใช้ ก็ยิ่งไม่ต้องคิดภาพเลย

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักใดที่ได้มงกุฎจันทรามาครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมรับง่ายๆ

แต่พลังของมงกุฎจันทรา สำหรับศัตรูของโลกแปดพิภพอย่างโลกปีศาจอัคคี มันสามารถใช้สกัดกั้นอีกฝ่ายได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นพลังที่โลกแปดพิภพต้องการอย่างเร่งด่วน

ดังนั้น หลังจากที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งได้ทำสัญญาพันธมิตรกันแล้ว เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็จะมีการจัดการทดสอบแห่งจันทราขึ้นครั้งหนึ่ง สตรีจันทราของแต่ละสำนักจะทำการประลองกัน และผู้ชนะก็จะได้มงกุฎจันทรามาครอบครองระยะหนึ่ง

ซึ่งเบื้องต้นยังไม่มีสตรีจันทราทีอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ถือกำเนิดขึ้น ดังนั้นทุกสำนักจึงยังยอมรับการทดสอบแห่งจันทรา และสามารถจัดขึ้นอย่างสงบได้

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งต่างก็ลงทุนลงแรงในการบ่มเพาะสตรีจันทราของตนเองเต็มที่

เมิ่งหว่านก็คือสตรีจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

สภาพแวดล้อมของบึงเย็นแห่งนี้สำหรับจันทรากายของนาง ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ล้ำค่าทีเดียว

แต่ดูจากภาพความทรงจำของจิตกระดูกมังกร เมิ่งหว่านดูเหมือนไม่ได้มาในบึงเย็นแห่งนี้เพื่อทำการฝึกฝน และนางยังไม่ทันสังเกตเห็นจิตกระดูกมังกรที่กำลังหลับใหลอย่างสงบด้วย

สภาพของนางดูแล้วมีบางอย่างแปลกประหลาด

หลังจากนั้นไม่นาน หัวมังกรที่อยู่ในบึงเย็นก็พลันมีอีกคนหนึ่งปรากฏออกมา เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมองตรงไป เขาก็ต้องรู้สึกบังเอิญอีกครั้ง เพราะคนที่มานั้นก็เป็นคนที่รู้จักเช่นกัน

ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ผมปล่อยตกลงมา บนร่างกายมีลวดลายของเปลวเพลิง เยี่ยจิ่งนั่นเอง!

………………..

[1] สตรีจันทรา คือ ผู้หญิงที่มีสภาพร่างกายเป็นหยินสูงสุด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset