ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 58 ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เมื่อได้ยินว่าหลินอวี้เสามีความเป็นไปได้ที่จะสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิตนี้ ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอกลับมีความรู้สึกเหมือนกับเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

เหมือนกับที่เหยียนซวี่รู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอฝึกฝนฝ่ามือดุสิต เยี่ยนจ้าวเกอเองก็รู้ว่าท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกท่านนี้ก็ใช้วิชาวรยุทธ์นี้ได้เช่นกัน

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่า ตาเฒ่านั่นน่าจะยังไม่ได้สติฟั่นเฟือน จนถึงขั้นที่จะสังหารหลินอวี้เสาด้วยน้ำมือของตัวเองเพื่อที่จะใส่ร้ายเขา

ถึงกระนั้นแม้เหยียนซวี่จะไม่ใช่ฆาตกร ทว่าคำใส่ร้ายป้ายสีและการแพร่ข่าวลือ เบื้องลึกเบื้องหลังคงขาดเขาไปไม่ได้แน่ๆ

ศพของหลินอวี้เสาถูกพบโดยข้ารับใช้ของเหยียนซวี่ และตอนนี้พวกเขาเองก็เป็นผู้ดูแล หากจะลงมือทำกลอุบายอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก

หากไม่ใช่พวกของเหยียนซวี่เป็นคนลงมือ เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดที่สังหารหลินอวี้เสากัน

ทันใดนั้นเอง สมองของเยี่ยนจ้าวเกอก็มีภาพคนคนหนึ่งแล่นผ่านเข้ามา

‘ไม่น่าจะใช่หรอก…’ เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตากลายเป็นเยือกเย็น

‘ยังบอกอยู่เลยว่าจะเล่นงานเจ้าให้หนักสักตั้งแล้วค่อยส่งต่อให้กับทางสำนัก แต่ถ้าเจ้าจะเสียสติถึงขั้นนี้แล้วล่ะก็ ข้าก็จะลดขั้นตอนลง ส่งเจ้าไปเกิดใหม่เลยแล้วกัน’

ไม่นานนัก อาหู่ก็กลับมา เมื่อพบหน้ากันเยี่ยนจ้าวเกอก็เอ่ยถามทันที “หาเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นพบแล้วหรือยัง”

อาหู่กำมือใหญ่ไว้อย่างรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง “คุณชาย ข้าพยายามเต็มที่แล้ว แม่น้ำใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นทุกสาย ข้าก็ไล่ตามหาไปเป็นร้อยเป็นพันลี้แล้วขอรับ”

“เจ้าเด็กนั่นไม่ได้หนีออกจากแม่น้ำ แต่ถูกพัดไปตามแม่น้ำใต้ดิน จวบจนตอนที่ข้าหาร่องรอยบางอย่างพบ เวลาก็ล่วงเลยไปนานมากแล้ว”

“เขาน่าจะออกจากเขามฤคลับตาแล้ว ถ้าเช่นนั้นฟ้าดินกว้างใหญ่ ข้าจะตามหาตัวเขาก็ยากนัก”

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตำหนิอาหู่แต่อย่างใด กลับโบกไม้โบกมือ “หาไม่เจอก็หาไม่เจอ บึงน้ำแข็งนั่นก็พังทลาย แม่น้ำใต้ดินก็ไหลไปคนละทิศละทาง จะโทษเจ้าคงไม่ได้”

“แต่ก็ห้ามหยุด หาต่อไป”

เมื่อได้ยินเรื่องราวของหลินอวี้เสาและข่าวลือที่แพร่สะพัด อาหู่ก็อ้าปากค้าง ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยรู้จักกัน จึงมีความรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง “ใครกันที่ทำกับแม่นางหลินได้อำมหิตเช่นนี้”

ทั้งสองคนเดินกลับเข้าไปใกล้ๆ กับกลุ่มคน

อาหู่มองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยความประหลาดใจ

เฟิงอวิ๋นเซิงโบกไม้โบกมือให้กับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แม้เขาจะรู้สึกงุนงง ทว่าก็โบกมือตอบ

เขาหันกลับไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วยิ้มอย่างซื่อๆ ทีหนึ่ง “แต่ว่าพูดถึงแล้วคุณชายใกล้ชิดกับแม่นางซือคงขนาดนี้…คุณชายคงไม่ได้คิดอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”

“ก่อนจะเข้ามาที่เทือกเขามฤคลับตา ก็ไม่เห็นท่านคิดอะไรกับแม่นางซือคง”

“แต่ว่า แม่นางซือคงก็ค่อนข้างงดงามจริงๆ ท่านมีความคิดจะกินนางด้วยหรือไม่ขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวให้เขาครั้งหนึ่งอย่างขุ่นเคือง

“อีกอย่าง คุณชายขอรับ ท่านไปล่อลวงหญิงงามเช่นนี้จากที่ไหนหรือ” อาหู่แอบเดินเข้าไปใกล้กับเยี่ยนจ้าวเกอ เหล่หางตามองไปทางเฟิงอวิ๋นเซิง แล้วกล่าวขึ้นเสียงเบา “กินแล้วหรือยังขอรับ”

ผู้เป็นนายกลอกตาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปเคาะกะโหลกอาหู่สักครั้ง

เฟิงอวิ๋นเซิงที่อุ้มโร่วโร่ว สุนัขตัวเล็กสีดำที่ตนเองเลี้ยงเอาไว้อยู่ บัดนี้นางหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ยังไม่ได้ถูกเขากินหรอก ข้ายังคงเป็นหญิงที่ไร้คู่ครอง”

“แค่กๆ…” อาหู่ที่ถูกเยี่ยนจ้าวเกอตบศีรษะเมื่อครู่ยังไม่ทันได้กลับมาเป็นปกติ ก็สำลักน้ำลายของตนทันที ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง

มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกสองครั้ง “…หญิงสาวยังไม่ออกเรือนสนทนาเรื่องเช่นนี้กับบุรุษ หน้าตาเฉยชาไม่เคอะเขิน ท่าทางสนุกสนานเช่นนี้ก็ได้หรือ”

เฟิงอวิ๋นเซิงลูบขนของโร่วโร่ว ไม่แยแสนัก “หากไม่เป็นเช่นนั้นล่ะ คงถูกผู้ชายพูดจาแทะโลมจนหน้าแดงใจเต้น จนได้ทีขี่แพะไล่ สุดท้ายแล้วไม่หันหลังหนี ถือมืดฟันคน”

“หรือจะให้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทำตัวนิ่งเฉย หูทวนลม ปล่อยคนกล่าวหานินทาตามใจ แล้วก้มหน้าก้มตายอมแพ้หรืออย่างไร?”

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปที่นาง เฟิงอวิ๋นเซิงก็ผงกศีรษะให้ “สองปีนี้ตั้งแต่ออกจากสำนัก ข้าไปมาหลายที่ พบเจอคนและเรื่องราวมากมาย”

“ทั้งซ่อนกายในป่า พรางตัวตามเมือง เพื่อหลบหนีการตามจับของพวกเซียวเซิง ป่าลึกเขาใหญ่ที่ข้าเคยอยู่ ระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ”

ชายหนุ่มหุบยิ้มแล้วส่ายหน้า ส่วนอาหู่มองดูเฟิงอวิ๋นเซิง ยิ้มแหะๆ แล้วยกนิ้วโป้งชูขึ้นให้นาง

เฟิงอวิ๋นเซิงเองก็ยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งให้กับอาหู่เช่นกัน

“ส่วนเรื่องที่บอกว่าข้าถูกคุณชายของเจ้าล่อลวงมาจากที่ใด นั่นนับเป็นเรื่องเล่าของวีรบุรุษช่วยหญิงงามที่น่าซึ้งใจเชียวล่ะ”

“คุณชายเยี่ยนแสดงพลานุภาพอันน่าเกรงขาม เล่นงานสองในรุ่งอรุณทั้งสี่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จนย่อยยับ ช่วยหญิงสาวอ่อนแอเช่นข้าเอาไว้”

อาหู่ตะลึงงัน ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “สองคนหรือขอรับ นอกจากเฉาหยวนหลงแล้ว…”

“ยังมีเซียวเซิงด้วย” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวโดยไม่ใส่ใจ “รายละเอียดเจ้าก็ถามพวกเขาเอาแล้วกัน”

หลังจากที่ฟังการประมือระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเฉาหยวนหลงและเซียวเซิง รวมถึงเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้ว อาหู่ก็มองเจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

“คุณชาย ท่านเก่งกาจเกินไปแล้วขอรับ!”

“ประจบประแจงให้มันน้อยๆ หน่อย ถ้าจะประจบข้าล่ะก็ ก่อนอื่นไปทำหน้าเจ้าให้มันจริงใจกว่านี้ก่อน อย่าให้มันปลอมเช่นนั้น”

พวกเขาพูดคุยกัน พลางมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรถังตะวันออก

ทว่าเมื่อเดินมาถึงครึ่งทาง จู่ๆ ด้านหลังก็มีคนไล่ตามมา ซึ่งนั่นก็คือเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอหักหน้าเขา จึงไล่ตามมาคิดบัญชีติดๆ เช่นนี้ แต่เป็นเพราะได้รับการเรียกสอบสวนจากผู้อาวุโสตะวันออก ให้ไปพบกันที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกเช่นกัน

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอพลางเอ่ยถามว่า “ท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกมายังถังตะวันออกเพื่อการใดหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เหตุใดท่านผู้อาวุโสเหยียนจึงมาถามข้าเล่า ข้าเองก็รีบไปเมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกเพื่อรวมตัวกับท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเช่นกัน”

แววตาของเหยียนซวี่กลายเป็นเฉยชาในทันที ก่อนจะเพ่งพินิจเยี่ยนจ้าวเกอ “ช่วงนี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ดูวุ่นวายไม่สงบ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นได้”

“มีข่าวมาว่าแม้กระทั่งทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับจะถูกทำให้ตื่นตกใจไปด้วย”

“ครั้งนี้เจ้าก่อเรื่องอะไรเอาไว้กันแน่”

เยี่ยนจ้าวเกอเหมือนกับไม่รู้สึกถึงสายตาเย็นเยียบของเหยียนซวี่ “คิดว่าท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกก็คงชี้แนะให้กับท่านผู้อาวุโสเหยียนไปแล้ว คิดว่าท่านคงต้องมีการพิจารณาเป็นของตนเอง หากข้าปากโป้งพูดมากไป เกรงว่าจะไม่งาม”

ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ สิ่งที่เจ้าควรรู้ ผู้อาวุโสเกาะตะวันออกก็ได้บอกเจ้าไปแล้ว

สิ่งที่เจ้าไม่ควรรู้ เจ้าก็อย่ามาถามไถ่จากข้า ข้าไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเจ้า

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเย็นชา แล้วผงกศีรษะอย่างช้าๆ “ดีมาก”

ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเพียงแค่ออกคำสั่งกำชับเขาให้ เตรียมรับมือกับคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันก็ให้คุ้มกันความปลอดภัยของกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ ที่เหลืออย่างอื่น หลังจากมาถึงเมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกพร้อมกับเยี่ยนจ้าวเกอค่อยคุยกันต่อหน้า

อีกทั้งยังกำชับเรื่องความปลอดภัยของกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นพิเศษ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของเหยียนซวี่ก็เคลื่อนไปที่เฟิงอวิ๋นเซิง

ก่อนและหลังที่เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปที่เทือกเขามฤคลับตา สมาชิกรอบกายที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียวก็คือนาง

“หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องของท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกแล้ว เรื่องอื่นๆ เจ้าคงต้องชี้แจงให้ชัดเจนหน่อยเช่นกัน” เหยียนซวี่กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่ง

สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ทำให้ท่านผู้อาวุโสเหยียนลำบากแล้วขอรับ”

เมื่อทุกๆ คนมาถึงเมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออก ท่านผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งเกาะตะวันออก ที่ทำหน้าที่ดูแลเกาะนภาตะวันออกของเขากว่างเฉิงได้มาถึงก่อนแล้ว

บัดนี้ผู้อาวุโสแห่งเกาะตะวันออกกำลังรอการมาถึงของกลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอ ณ ลานกว้างที่เดิมทีเหยียนซวี่ประจำการอยู่

เขาเป็นชายชราผมสีเงินรูปร่างสูงใหญ่ปราดเปรียวคนหนึ่ง ดูมีกำลังวังชา ไม่ให้ความรู้สึกถึงความแก่เฒ่าแต่อย่างใด

แววตาของผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเป็นประกาย วินาทีแรกที่ทุกคนมาถึง สายตาก็เคลื่อนไปอยู่ที่ร่างของเฟิงอวิ๋นเซิง

หลังจากที่เขาเพ่งพินิจเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างถี่ถ้วนแล้ว สายตาก็เคลื่อนไปที่เยี่ยนจ้าวเกอและเหยียนซวี่อีกครั้ง

“จ้าวเกอ เล่ารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดสิ” ผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเปิดปากพูดออกมาว่า “ทางสำนักได้รับผลกระทบไม่น้อยทีเดียว จึงจะส่งคนมา”

เมื่อเหยียนซวี่ได้ฟังถึงตรงนี้ สายตาก็พลันเปล่งประกายเล็กน้อย

ขนาดผู้อาวุโสเกาะตะวันออกยังตัดสินเองไม่ได้ หรือต้องการจะให้ทางสำนักจัดการ?

เรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอก่อเอาไว้ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยจริงๆ

……………….

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset