ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 307 ย่ำเหยียบประตูสำนัก!

เยี่ยนจ้าวเกอมองทอดไปทางใต้ เห็นเพียงลำแสงจ้าพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

เดิมทีช่วงเวลาฟ้าสาง แสงอาทิตย์ยังสลัวอย่างยิ่งยวด ทว่าขณะนี้ พื้นที่แถบเขากว่างเฉิงเปลี่ยนจากค่ำคืนอันมืดมิดเป็นกลางวันในชั่วพริบตาเดียว

พลังยิ่งใหญ่มหาศาลอันไร้ขอบเขตสิ้นสุด ล้ำเหนือจอมมารศักดิ์สิทธิ์หยวนเทียนในตอนแรก กวาดเป็นทางยาวจากทิศใต้สู่ทิศเหนือ

หากกล่าวว่าเผชิญหน้าจอมมารศักดิ์สิทธิ์หยวนเทียน ยังสามารถคิดต่อต้านได้ ทว่าบัดนี้ก้นบึ้งจิตใจกลับบังเกิดความรู้สึกสิ้นหวังและความรู้สึกไร้กำลังออกมาเลือนราง

มหาค่ายกลนภาบนท้องฟ้าเหนือเขากว่างเฉิง อันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ สั่นสะเทือนดังอึกทึกในชั่วขณะนี้

มหาค่ายกลราวกับมีชีวิตเป็นของตัวเอง ตื่นตระหนกตกใจ ลวดลายค่ายกลที่เดิมทีไร้รูปร่างซ่อนอยู่ในอากาศเปล่งแสงขึ้นมาในช่วงแรก โคจรพลังจนถึงขีดสุด ปรากฏร่องรอยตนเองให้เห็น

กระนั้นเผชิญหน้าลำแสงสุดลูกหูลูกตาที่ใกล้เข้ามาตลอดเวลานั่น การสั่นสะเทือนของมหาค่ายกลนภาก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพฉากนี้ด้วยใบหน้าเยี่ยนจ้าวเกอไร้อารมณ์ความรู้สึก สูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง

ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่า จากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มา สิ่งที่สามารถมีพลังอำนาจเช่นนี้ได้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คืออดีตประมุขสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นที่สละตำแหน่ง หวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือน

ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในขณะนี้

ผู้เฒ่าท่านนี้กักตนเข้าฌานในช่วงไม่กี่ปีนี้ วันนี้ออกฌานก็พลันเร่งร้อนตรงมายังเขากว่างเฉิง

มองดูจากลักษณะของเขาแล้ว ชัดเจนว่าประสบผลสำเร็จออกฌานโดยสมบูรณ์ พลังความสามารถและพลังฝึกปรือรุดหน้าขึ้นอีกก้าวได้สำเร็จ

เผชิญหน้าจอมมารศักดิ์สิทธิ์หยวนเทียน มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือ ยังมีพลังความสามารถสู้รบ มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์และมหาค่ายกลนภาเสริมหนุน ยิ่งเป็นไปได้ที่จะล้มหยวนเทียนให้แพ้พ่าย

ทว่าหวงกวงเลี่ยในตอนนี้ ต่อให้เยี่ยนตี๋สวมทับด้วยชุดคลุมนภา เสริมหนุนด้วยพลังมหาค่ายกลนภา ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถโจมตีเขาให้ถอยร่นได้เช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธของเขาก็ไม่เหมือนอาวุธของหยวนเทียน เพราะเป็นอาวุธวิญญาณระดับสูงชิ้นหนึ่ง

หวงกวงเลี่ยเดินทางมาครั้งนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ มาตรสุริยันวัดสวรรค์มาด้วย!

ขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ หนำซ้ำเฉกเช่นหวงกวงเลี่ยผู้นี้มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือ พลังยิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง

ความเร็วหวงกวงเลี่ยเร็วรี่อย่างยิ่ง มาอย่างฉับไวเหลือประมาณ ถึงแม้การเคลื่อนไหวของเขาหรือมาตรสุริยันวัดสวรรค์ออกจากยอดเขาเรืองรองล้วนอึกทึกอย่างยิ่ง แต่ทางฝั่งเขากว่างเฉิงยากนักได้รับข่าวสารทันกาล

ที่โชคดีเพียงหนึ่งเดียวตลอดมาคือ จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงที่รักษาการณ์อยู่นอกสถานที่ ล้วนรวมกำลังกลับสำนักล่วงหน้าแล้ว ไม่ถึงกับถูกหวงกวงเลี่ยกวาดล้างตามรายทาง

ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตปะทุเหตุโกลาหลขึ้น กองกำลังของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์บุกประชิดพรมแดน กว่าทางฝั่งเขากว่างเฉิงจะสามารถอ่านสถานการณ์ออกได้ วันที่หวงกวงเลี่ยออกฌานก็ใกล้เข้ามาแล้ว

ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตใช้ประโยชน์จากการที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สร้างแรงกดดันให้กับเขากว่างเฉิง แล้วไฉนเลยสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ยืมภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตเป็นดาบเล่า?

หลังจากตั้งฐานที่มั่นแล้ว เขากว่างเฉิงก็เริ่มประกาศให้ยอดฝีมือที่รักษาการณ์อยู่นอกเมืองกลับสำนัก

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูแสงสีขาวที่สาดคลุมฟ้าดินนั่น

เวลานี้ อาหู่ปีนขึ้นยอดเขาพายุสะท้าน ร้องตะโกนว่า “คุณชาย นั่นคือหวงกวงเลี่ยกระมัง? เขาออกฌานในช่วงไม่กี่วันนี้จริงๆ ด้วย!”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ซินตงผิงเลือกเวลานี้ในการลงมือ หากเขาประสบผลสำเร็จ ก็จะมีนพยมโลกมาเยือน หากเขาปราชัย ก็จะมีสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาต่อกรกับพวกเราอยู่ดี”

ใบหน้าอาหู่ถูกแสงโชติช่วงไกลลิบฉาบไปทั่วทั้งหน้า “คุณชายขอรับ ท่านว่าเขาจะนำมาตรสุริยันวัดสวรรค์มาด้วยหรือไม่?”

“เขามาอย่างรวดเร็วยิ่ง สำนักเราไม่ทันได้รับข่าว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “หากแต่ เกินกว่าครึ่งเขาต้องนำมาด้วย หากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขจัดไส้ศึกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตที่แทรกซึมอยู่ภายในสำนักนั้นทิ้งไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพะวงหลัง”

ทะเลตะวันออกมีปีศาจอัคคีหลอกหลอน เมืองทะเลมรกตและหอคลื่นโหมกำลังจัดการ

เขาไร้พรมแดนก็มีตำหนักอัสนีสวรรค์จ้องอยู่ ถึงแม้ว่าตำหนักอัสนีสวรรค์อาจจะคิดวางแผนด้วยตัวเอง ทว่าล้วนจะตรึงเขาไร้พรมแดนไว้ได้ไม่มากก็น้อย

ส่วนผู้อาวุโสโม่ ปราชญ์ภาพวาดไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวภายในการต่อสู้ของผู้คนอยู่แล้ว

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอะไรต้องพะวงอย่างแท้จริง

หวงกวงเลี่ยแม้จะอยู่ในช่วงชีวิตที่สมปรารถนาที่สุด ทว่าก็เป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชนมาหลายปีแล้วเช่นกัน ที่ต้องรับมือคือเขากว่างเฉิงที่เหมือนหนามขวางตามาโดยตลอด หนนี้จักต้องสร้างผลลัพธ์ที่กดดันดุจดั่งภูเขาไท่ชานทับถม สังหารในคราวเดียว ต้องทำลายชื่อเขากว่างเฉิงจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ถึงที่สุด

มาตรสุริยันวัดสวรรค์ เกินกว่าครึ่งเขาจะต้องนำมาด้วยเป็นแน่

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้อยู่ในมือของหวงกวงเลี่ย ย่อมเป็นคนละเรื่องกับอยู่ในมือหวงซวี่ บุตรชายของเขาที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้าย อานุภาพต่างกรรมต่างวาระยิ่งไม่อาจนำมาเทียบกันได้

เยี่ยนจ้าวเกอเหลียวศีรษะกลับไปถามอาหู่ “เรื่องที่พูดไปเมื่อครู่ จัดเตรียมไว้หมดแล้วหรือไม่?”

อาหู่รีบกล่าวตอบ “ขอรับคุณชาย ทางด้านหุบเขาผนึกเวหา ผู้อาวุโสฟางกำลังตระเตรียม รับประกันว่าลมปราณแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่รั่วไหล ดินนพยมโลกเหล่านั้น ข้าก็ฝังกลบไว้ทั้งเก้าสถานที่ตามที่ท่านชี้บอกแล้วเช่นกัน”

“เช่นนั้นก็ดี” เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ

ต่อจากนั้น เยี่ยนจ้าวเกอไม่เอ่ยอะไรอีก ก้มลงมองใต้ฝ่าเท้าของตนเองครั้ง ร่องรอยแต่ละสายที่กำลังถูกวาดออกมา ค่อยๆ กอปรเป็นเค้าโครงแนวค่ายกลที่เรียบง่าย มีท่วงทำนองโบราณ แต่กลับคล้ายแฝงความลุ่มลึกเป็นเอกลักษณ์ไว้ค่ายหนึ่ง

บนยอดเขานภากาศ เยี่ยนตี๋สวมทับด้วยชุดคลุมนภา นั่งขัดสมาธิ วางดาบสวรรค์มังกรทะยานไว้บนหัวเข่า

ผู้อาวุโสจางและผู้อาวุโสอยู่ข้างกายเขา ทั้งสองดูเหมือนเช่นปกติ ทว่าสีหน้าล้วนเซื่องซึมอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะอาการเจ็บสาหัสยังไม่หายดี

ภายใต้การกดขี่ของแสงสุกสว่างไร้ที่สิ้นสุดนั่น มหาค่ายกลนภาเริ่มหดตัวลงไม่หยุด กระชับลงเรื่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ หดตัวจนมีขนาดไม่ถึงหนึ่งหมู่ กลายเป็นลวดลายค่ายกลขนาดใหญ่ แขวนอยู่เหนือยอดเขานภากาศ ต่อต้านเป็นขั้นสุดท้าย

ในแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุดนั่น ผู้เฒ่าชุดขาวคนหนึ่งสืบเท้าออกมาอย่างไม่รีบร้อน

คนผู้คือหวงกวงเลี่ยนั่นเอง

เขาไพล่สองมือไว้ด้านหลัง ก้มมองยอดเขานภากาศเบื้องล่าง

สายตาเขาไม่มองผู้อาวุโสจางกับผู้อาวุโสกงเลยสักนิด หากแต่มองไปยังร่างของเยี่ยนตี๋ หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่แวบหนึ่ง เขาถึงค่อยเอ่ยอย่างชืดชาว่า “เจ้ากราบเข้าเป็นศิษย์ภายใต้กว่างเฉิง ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

เยี่ยนตี๋กล่าวตอบเรียบสงบ “เป็นเกียรติต่างหาก”

“กาลก่อนโน้น ข้าเคยถามเจ้าว่ายินดีย้ายมาเข้าร่วมสำนักข้าหรือไม่ แต่เจ้าปฏิเสธ” หวงกวงเลี่ยรำพัน “แต่ไรมาข้าไม่เคยให้โอกาสครั้งที่สองกับใคร แต่สำหรับเจ้า ข้าจะยอมแหกกฎสักครั้งหนึ่ง”

“นี่เป็นครั้งที่สองที่จะถามเจ้า เจ้ายินดีร่วมสำนักข้าหรือไม่?”

เยี่ยนตี๋ยิ้ม ทว่าไม่ตอบกลับ มือขวาชูดาบสวรรค์มังกรทะยานขวางไว้ด้านหน้าอก มือซ้ายงอนิ้วดีดไปบนคมดาบเบาๆ

หวงกวงเลี่ยเห็นดังนั้น ก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าถามเจ้าเป็นครั้งที่สองและเป็นครั้งสุดท้าย ในเมื่อเจ้าดื้อดึงนัก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ”

ขณะกล่าว สายตาหวงกวงเลี่ยกวาดมองเขากว่างเฉิง เอ่ยถามในลำคอ “ได้ยินว่าลูกชายของเขาก็ไม่ธรรมดายิ่ง?”

ผู่กวงจวินปรากฏกายออกมาจากด้านหลังเขา ก่อนจะกล่าวตอบเชื่องช้า “ไม่อาจประเมินเขาอย่างทั่วไปได้ ไม่อาจมองเขาไม่สลักสำคัญได้”

เสียงฮึดฮัดเยียบเย็นดังขึ้น ร่างของพานป๋อไท่ก็ปรากฏอยู่ด้านหลังหวงกวงเลี่ย

หวงกวงเลี่ยกล่าว “ซวี่เอ๋อร์ก็ประเมินให้สูงพอควร กลับทำให้ข้าใคร่สงสัยขึ้นมาจริงๆ อยู่บ้างแล้ว”

“ออกมา ให้ข้ายลสักหน่อย”

เขากระโชกเสียงลง ราวกับคลื่นทะเลสั่นสะเทือนทั้งเขากว่างเฉิงอย่างไรอย่างนั้น

มีศิษย์กว่างเฉิงที่พลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำ รู้สึกเพียงว่าวิญญาณคล้ายกับกำลังถูกกระเทือนจนหลุดจากร่าง

ผู้อาวุโสจางและผู้อาวุโสกงต่างหน้าเปลี่ยนสี ท่าทีนี้ของหวงกวงเลี่ยประหนึ่งกำลังเอ่ย หากไม่ทำตามคำของเขา ก็จะสั่นไหวจนทุกคนทั้งเขากว่างเฉิงสิ้นชีพ

สีหน้าท่าทางหวงกวงเลี่ยเรียบเฉย “สังหารคนสำนักข้าไปไม่น้อย ทำลายเรื่องดีของสำนักข้าไปก็ไม่น้อย หยามสำนักข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ออกมา ให้ข้ายลสักหน่อยว่าอัจฉริยะวัยเยาว์หน้าตาเป็นเช่นไร”

…………………………

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset