ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – ตอนที่ 484 จอมยุทธ์กำเนิดญาณ ดอกใบบานครบสิบ

เยี่ยนจ้าวเกอรั้งสายธนูให้โค้งดุจดวงจันทร์เต็มดวง พลางมอง ‘ตงเซิงจวิน’ ที่คิดหนี

ทันทีที่เขาปล่อยมือ สายธนูสั่นไหวส่งคันศรทำลายมารออกไป พุ่งทะลุความว่างเปล่า ปักใส่กลางอกของ ‘ตงเซิงจวิน’!

‘ตงเซิงจวิน’ คิดหลบหลีก ทว่าเมื่อครู่ได้รับพลังงานของตราประทับสีทอง ขยับเขยื้อนไม่ได้เพราะบาดเจ็บหนัก คันศรทำลายมารจึงทะลุจากด้านหลังออกไปด้านหน้า ทะลวงร่างของเขาในครั้งเดียว

รูที่เปิดออกกลางอกเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ ร่างกายของ ‘ตงเซิงจวิน’ ถูกบาดแผลบนร่างตัวเองกลืนกินกลับ

“แค่ร่างแยกร่างเดียว” เขาแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง ร่ายกายหยุดดิ้นรน คล้ายกับไม่สนใจ เพียงแต่เสียดายอยู่บ้างเท่านั้น

แต่ว่าในวินาทีถัดมา ใบหน้าของ ‘ตงเซิงจวิน’ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ “…คันศรทำลายมาร?! ในโลกนี้มีคนรู้วิธีหลอมคันศรทำลายมารด้วยหรือ?”

ไม่ใช่แค่ร่างกายของ ‘ตงเซิงจวิน’ ที่กำลังพังทลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

ในสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปอีกมิติหนึ่ง ก็เหมือนกำลังมีอะไรบางอย่างพังทลายไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน

ประตูนพยมโลกที่ถูกอาคมสีทองผนึกไว้เบื้องล่าง พลันสั่นไหวขึ้นครั้งหนึ่ง

ฝั่งตรงข้ามของประตูคล้ายกับเกิดการซัดสาดอย่างรุนแรง ความโกรธ ความแค้น ความเจ็บปวด และความสิ้นหวังทะลุมิติออกมา

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บคันธนูหลังจากยิงออกไปครั้งหนึ่ง ไม่มอง ‘ตงเซิงจวิน’ อีก เขาหมุนตัวพุ่งไปที่หลุมดำซึ่งอยู่อีกด้าน

ที่ด้านหลังมีเสียงโหยหวนครั้งสุดท้ายของ ‘ตงเซิงจวิน’ ดังมา จากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ

ภายในเหวลึกของปฐพีพิภพยังคงเต็มไปด้วยวิญญาณร้ายจากนพยมโลกที่กำลังกระจัดกระจาย แต่ว่าในตอนนี้เหล่ามารร้ายที่บ้าคลั่งได้หายไปแล้ว

แสงสีทองบนผิวของตราประทับสีทองสลายไป กลิ่นอายอันแข็งแกร่งถูกกักเก็บ เพียงลอยอยู่ที่นั่นราวกับตราประทับสำริดสีแดงทั่วไปอันหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอพุ่งไปยังด้านหน้าหลุมดำโดยไม่ได้สนใจตราประทับนี้นัก

แรงดึงดูดอันมหาศาลที่หลุมดำส่งมา คิดจะดูดเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปด้านใน

ชายหนุ่มนำกระจกยังสูงส่งออกมา ก่อนจะเติมญาณจริงแท้ของตนเองเข้าไปด้านใน กระตุ้นแสงกระจกสายหนึ่งออกมา

แสงกระจกสาดลงบนหลุมดำ หลุมดำคล้ายกับหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะ

หลังจากทรงตัวได้แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็รีบมองไปด้านในหลุมดำ

เขาเห็นร่างของหยวนเจิ้งเฟิงและฟางจุ่นจมลงไปในพายุหมุนไร้รูปร่าง และยังคงจมลงไปอย่างต่อเนื่อง

ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวด พวกหยวนเจิ้งเฟิงเข้าไปในหลุมดำเองแตก ต่างกับพวกมารร้าย และได้จมลงไปอยู่ในระดับที่ยากจะหวนกลับอีกแล้ว

แสงกระจกยังสูงส่งหยุดทางเข้าหลุมดำเอาไว้ แต่ว่าพวกหยวนเจิ้งเฟิงกลับยังคงจมลงด้านล่างต่อ เกือบจะหายลับไปในกระแสปั่นป่วนของมิติที่ไร้สิ้นสุด

เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองตราประทับนั้น

ตราประทับแข็งแกร่งเกินไป ยากจะใช้งาน

ร่างจุติท่าหมัดที่เจ้าของตราประทับทิ้งไว้ เป็นสิ่งที่ใช้สำหรับปิดผนึกนพยมโลกอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้มันสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว ทันทีที่สลายไป ตราประทับก็เข้าสู่สภาวะเงียบงันอีกครั้ง อีกทั้งยังเงียบงันยิ่งกว่าก่อนหน้า

ในกระแสปั่นป่วนของมิติ หยวนเจิ้งเฟิงที่สวมเสื้อคลุมเอกนภายืดปราณพิสุทธิ์หลายสายออกไปอย่างไร้สิ้นสุด พันเกี่ยวกับหลุมดำเอาไว้

ชายชรามีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยรอยยิ้ม “กลิ่นอายมารด้านนอกถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว ดูท่าไม่ใช่เฉินหัวล้านที่ไปแล้วกลับมา แต่เป็นฝีมือของจ้าวเกอกระมัง?”

ดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอสั่นสะท้าน “ไปแล้วกลับมา? เกิดอะไรขึ้นกับเฉินลี่หรือขอรับ”

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าว “หนีไปแล้ว

“หากเขาไม่หนี พวกเราคงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีตกตายร่วมกันเช่นนี้ อาจจะฝืนทนรอเจ้าทำสำเร็จได้”

“แต่ว่าเพราะเขาหนีไป ตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอะไรแม้แต่น้อย และไม่ได้รับผลเสียจากนพยมโลก” หยวนเจิ้งเฟิงหัวเราะเยาะเย้ยตนเอง “หากมองเช่นนี้ เฉินหัวล้านก็ฉลาดกว่าข้าจริงๆ”

ชายหนุ่มพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม “เฉินลี่…”

“โง่ก็โง่เถอะ ข้าไม่เสียใจ” หยวนเจิ้งเฟิงเอ่ย “ข้าเข้ามาในกระแสปั่นป่วนของมิติ อาจจะไม่ตายก็ได้ ไม่แน่ว่าวันหน้าคงจะมีโอกาสกลับโลกแปดพิภพ หรือสักวันพวกเราคงได้เจอกันบนในโลกแห่งอื่น”

เขามองไปอีกทาง ฟางจุ่นหลับตาสองข้าง ไม่รู้สึกตัว คล้ายกับนอนหลับ

“แต่อาจารย์ลุงสองของเจ้าทนไม่ไหวแล้ว เขาสูญเสียเลือดอย่างหนัก ต่อให้ไม่เข้ามาในกระแสปั่นป่วนของมิติ ก็อาจจะตายอยู่ดี”

ขณะหยวนเจิ้งเฟิงมองฟางจุ่น ในห้วงสมองปรากฏภาพของเด็กที่กราบตนเป็นอาจารย์เมื่อครั้งเข้ามายังเขากว่างเฉิง

ปราณพิสุทธิ์สั่นไหว เสื้อคลุมนภาพลันหลุดจากร่างของยวนเจิ้งเฟิง ม้วนร่างของฟางจุ่นเอาไว้!

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็ตกใจ “อาจารย์ปู่!”

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถึงข้าจะออกไปไม่ได้ แต่ก็ยังส่งศิษย์ออกไปได้”

ชายชราส่งเสียงหัวเราะด้วยความยินดี ขณะเดียวกันมือซ้ายของเขาก็พลันแตกละเอียด กลายเป็นละอองเลือดกลุ่มหนึ่ง

ละอองเลือดลอยออกไปด้านบน กลายเป็นแสงสีเลือดหลายสาย ตัดเส้นเลือดที่พันระหว่างร่างของฟางจุ่นและหลุมดำทิ้ง จากนั้นก็กลายเป็นมือยักษ์ ดันเสื้อคลุมนภาและร่างของศิษย์ผู้นี้ขึ้นด้านบน!

หลังจากร่างของฟางจุ่นลอยขึ้นด้านบนแล้ว ร่างของหยวนเจิ้งเฟิงก็ตกลงด้านล่างเร็วขึ้น!

เยี่ยนจ้าวเกอร้อนใจ แต่ไม่กล้าลังเล เพราะเกรงว่าจะทำให้ความพยายามของหยวนเจิ้งเฟิงเสียเปล่า จึงรีบใช้พลังทั้งหมดรับตัวฟางจุ่นเอาไว้

ครั้นมองไปยังหยวนเจิ้งเฟิงอีกครั้ง เขาก็เห็นร่างของชายชราเริ่มเลือนรางอยู่ในกระแสปั่นป่วนของมิติ ห่างไกลออกไปอย่างยิ่ง

หยวนเจิ้งเฟิงหัวเราะอย่างอ่อนโยน โบกมือขวาข้างที่เหลืออยู่ “ดูแลตัวเองด้วย เหล่าเด็กน้อยของข้า”

ชายหนุ่มรู้สึกโกรธแค้นในทรวงอก พลันส่งเสียงร้องคำรามขึ้นมา

เหนือศีรษะของเขามีเงาแสงสว่างวาบขึ้น

ในเงาแสงนั้น ใบไม้วิญญาณทั้งเก้าส่องแสงระยิบระยับ บนใบสลักไว้ด้วยลวดลายอาคมอันลี้ลับที่แตกต่าง แต่ก็เป็นหลักการอัศจรรย์ล้ำลึกทั้งสิ้น

นอกเหนือใบไม้วิญญาณทั้งเก้าใบนั้น ใบไม้วิญญาณใบที่สิบโผล่ขึ้นมากลางที่ว่าง คล้ายกับอยู่ในดินแดนที่ไม่อาจหยั่งวัด มิอาจอธิบาย มิอาจพรรณนา

“ฟุ่บ!”

ใบวิญญาณทั้งสิบใบสั่นไหวพร้อมกัน

แสงสว่างมากมายสว่างขึ้นบนร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ ลมปราณบริสุทธ์สีน้ำเงินและแสงอาทิตย์สีทองสายแล้วสายเล่า ไหลเข้าไปในใบไม้วิญญาณพร้อมกัน

ขณะที่ใบไม้วิญญาณโบกไหว ผิวใบต่างก็มีแสงละลานตารวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมแสง แล้วลอยขึ้นข้างบน

ลูกกลมแสงขนาดเล็กลอยอยู่เหนือใบไม้วิญญาณ จากนั้นประกายแสงก็พลันส่องสว่างทั่วบริเวณ ก่อนจะเบ่งบานออกราวกับดอกไม้!

ใบวิญญาณทั้งเก้าเบ่งบานพร้อมกันก่อน

แสงมายาครอบคลุมทั่วทั้งร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ ประกอบกันเป็นลำแสงขนาดยักษ์ แล้วพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ในลำแสงที่คล้ายปลอมคล้ายจริงนี้ มีสรรพสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง ดวงดาวกระจัดกระจาย คล้ายกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคดึกดำบรรพ์

ในเหวลึกของปฐพีพิภพที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยเมฆหมอกเบาบาง ในตอนนี้กลับเกิดเสียงบรรเลงของฟ้าดินดังขึ้นไม่ขาดหู

นี่คือปรากฏการณ์ใบวิญญาณออกดอกวิญญาณ และปรากฎการณ์ประสานเสียงพร้อมกับฟ้าดิน ของจอมยุทธ์ที่มีวิญญาณสุกงอมจนถึงขีดสุด เลื่อนขั้นจากมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณระยะกลาง สู่มหาปรมาจารย์ขั้ยกำเนิดญาณระยะท้าย

ขั้นตอนนี้เป็นการสร้างรากฐานในการปีนป่ายไปยังระดับที่สูงกว่า ตัดสินว่าต่อจากนี้พวกเขาจะเดินไปได้สูงถึงระดับใด เป็นบทประพันธ์อันงดงามครั้งเดียวในชีวิตของมหาปรมาจารย์ทุกคน

ใบไม้ทั้งเก้าใบให้กำเนิดดอกเก้าดอก ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่สูงที่สุด ดังนั้นฟ้าดินจึงประสานเสียงอย่างแจ่มชัดเป็นพิเศษ ไกลเป็นพิเศษ และนานเป็นพิเศษ

ในอากาศเหนือศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ บนใบไม้วิญญาณใบที่สิบที่คล้ายกับไม่มีอยู่นั้น ครั้งนี้เริ่มส่องแสงสว่างขึ้น

แสงของมันไม่ได้สวยงามและละลานตา แต่กลับลี้ลับยากหยั่งคาดมากกว่า

ใบไม้วิญญาณใบที่สิบบานจนสุดเหนือศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ ภาพอันสับสนทั้งหมดในลำแสงมายาที่ครอบคลุมเขาอยู่หายไปจนหมดสิ้น ปรากฏภาพอันโกลาหลขึ้นมาแทน

คล้ายกับการรังสรรค์ของจักรวาลได้ถอยกลับสู่ช่วงเวลาที่ยังไม่มีความกลมกลืน

เมื่อมีเลือดมังกรสร้างรากฐาน และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของแสงอาทิตย์ รวมถึงได้รับการชี้ทางจากตราประทับสีแดงทอง เยี่ยนจ้าวเกอก็เลื่อนขั้นเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นที่หก ขั้นกำเนิดญาณระยะท้ายได้สำเร็จ

จอมยุทธ์กำเนิดญาณ ใบวิญญาณก่อกำเนิดดอกสิบดอก!

สมบูรณ์แบบยิ่งนัก!

ครั้นหยวนเจิ้งเฟิงมองเห็นภาพนี้ เขางงงันไปครู่หนึ่งเท่านั้น แล้วก็ขึ้นด้วยความยินดี

ชายชราเคลื่อนที่อยู่ในความว่างเปล่าไปยังสถานที่อันไร้สิ้นสุดพร้อมกับเสียงหัวเราะ แม้จะไม่รู้ว่าตนจะเป็นหรือตาย แต่ก็ยังมีท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset