ตำนานเทพยุทธ์ – ตอนที่ 11

เพียงกลุ่มคนผู้ก้าวลงมาจากรถม้า เพียงการก้าวเข้าไปยังด้านในสถานที่ลับ หรือสิ่งที่ถูกเรียกว่าทางเข้าของสุสานโบราณ อันบรรพชนของตระกูลหงปกปักษ์รักษามาช้านาน

แต่หลังจากผ่านยุคสมัยที่เลวร้าย แดนศักดิ์สิทธ์ส่งคนมีฝีมือแทรกซึมเข้ามาตามหายอดเคล็ดวิชาที่ทรงคุณค่าเข้าไปเก็บยังหอยอดยุทธ์ คนของหอยอดยุทธ์นั้นมีความสามารถมากมาย ทั้งยังแตกแขนงออกไปเป็นสองนิกายใหญ่

 

หลังจากที่จ้าวยุทธ์ภพคนแรกในรอบ 100 ปีก่อน ริเริ่มการกระจายอำนาจของกลุ่มชนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้หอยอดยุทธ์คือจุดสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์ และนิกายใหญ่ของแดนศักดิ์ต่างที่จะให้ชื่อของตนได้ประทับในหอนยอดยุทธ์

วันนี้ เต้าเหล่ย คุณชายลำดับที่ 6 ของตระกูลเต้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นตระกูลที่ปกครองดินแดนส่วนใหญ่และยังเป็นศิษย์ของนิกายเทพเมฆาด้วย

เพียงเต้าเหล่ยเดินเข้าไปด้านใน ลู่จวิ้นก็หันมาสั่งคนของตนที่นำพามาจากนิกายเสือขาว ให้ดูแลและกำชับว่าหากพบเจอสิ่งที่ผิดปกติให้รีบเข้าไปแจ้งโดยทันที

อนาคตของตัวลู่จวิ้นในนิกายเสือขาวถึงทางตันแล้ว ด้วยในนิกายมีการแข่งขันสูงดังนั้นทางที่จะก้าวเดินต่อไปคือย้ายนิกายและประสบพบโชคที่ลู่จวิ้นได้ทำการติดต่อคุณชาย 6 แห่งตระกูลเต้า ผ่านช่องทางของตระกูลลู่ ให้ทราบถึงแผนการนี้

 

บัดนี้เป่าฮู่ได้เห็นคนกลุ่มนั้นก้าวเข้าไปด้านในของเขตสุสาน ทำให้เป่าฮู่ต้องการที่จะเข้าไป การผนึกเข็มน้ำแข็งขึ้นมา จากอากาศธาตุ พลังลมปราณที่โคจรอย่างหนาแน่นนั้นก็คือ ลมปราณเทพเต่าดำ เข็มที่ทรงพลังนั้นได้ถูกขัดเกลาจนเล็กมาพอ ขณะที่เป่าฮู่ที่หยัดยืนบนซอกหิน กำลังจะซัดเข็มทั้ง 5 เล่มออกไปเสียงที่ร้องออกมาก็คือเต่าอักขระคนเดิม

“เจ้าหนู เก็บซ่อนพลังของเจ้าเดี๋ยวนี้มียอดฝีมือกำลังเดินทางมาทางนี้”

เป่าฮู่รีบสลายพลังและใช้พลังจากอสูรในพันธะสัญญา อำพรางตัวตนไว้ ขณะที่ผู้มาเยือนเหมือนจับสัมผัสของยอดฝีมือระดับราชาได้ แม้เพียงชั่วครู่

แต่เมื่อได้เห็นกลุ่มคนที่เฝ้าทางลับที่นิกายเสือขาวเพียรเฝ้ามานาน โดยที่ประตูทางเข้าด้านในมีอักขระชั้นสูงป้องกันไว้อยู่ จึงทำให้ต้องควานหาตัวผู้ใช้อักขระมาแก้ค่ายกลอักขระนั้นให้

เพียงกลุ่มยอดฝีมือที่นำพาผู้ใช้อักขระมานั้นได้เห็นรถม้าและกลุ่มศิษย์ที่สวมใส่ชุดฝึกยุทธ์ระดับศิษย์ชั้นในของนิกายเสือขาว

“ไอ้พวกบัดซบ! ใครให้พวกแกมายุ่งกับสมบัติที่จ้าวนิกายหมายตาไว้?”

เสียงที่ถูกตะวาดมาจาก หยุนเปียว ศิษย์เอกอันดับหนึ่งของนิกายเสือขาว ผู้ดำรงตำแหน่งศิษย์เอกมากว่า 3 ปี ระดับ ราชาลมปราณขั้นปลาย เพียงก้าวเดียวจะข้ามไปยังดินแดนราชันแล้ว

วันนี้หยุนเปียวนำพาผู้ใช้อักขระที่เชิญมาจากเมืองเชิ่งเสี่ยที่อยู่สุดเขตแดนเสือขาว สำนักอักขระสวรรค์ ที่น่าเกรงขาม แต่ภาพที่เห็นคือกลุ่มศิษย์ชั้นในที่มีสัญญาลักษณ์ตระกูลลู่ และรถม้าของตระกูลเต้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์

เพียงไม่นาน หยุนเปียวสามารถตัดต่อภาพที่เห็นร้อยเรียงให้เป็นไปในแนวทางเดียวได้ นั่นคือ ไอ้คนพวกนี้คือศิษย์ทรยศกำลังนำพาคนนอกเข้ามาแย่งชิงของลำค่าของตน

เพียงความหวังเดียวที่จะนำอสูรลมปราณเสือขาวไม่มอบแก่ ศิษย์น้องหญิงไป๋ลี่เหยียน บุตรสาวคนเดียวของจ้าวนิกายคนปัจจุบัน เพื่อช่วงชิงดวงใจที่เฝ้าถวิลหามานาน ดังนั้นว่าที่บุตรเขยของจ้าวนิกายมีหรือจะไม่ทุ่มสุดตัว

“เจ้าพวกบัดซบ”

เพียงโทสะที่ระเบิดออกมา กลับทำให้สมาชิกตระกูลลู่ต้องรีบขยำยันต์หยกสื่อสาร เพื่อเตือนให้ด้านในรู้ว่า ด้านนอกกำลังเกิดเรื่องร้ายแรง

 

ณ ด้านสุสาน

“แย่แล้ว”  หยุนเปียว ต้องเป็นมัน หยุนเปียวคนนั้น

“อะไรแย่ เกิดสิ่งใดด้านนอก?”

คำถามที่เต้าเหล่ยได้ถามออกไป และเป็นลู่จวิ้นที่รีบอธิบายออกไป เมื่อเต้าเหล่ยรับรู้ระดับของศิษย์เอกนิกายเสือขาวจึงยิ้มออกมา เพราะตัวของเต้าเหล่ย อัจฉริยะของตระกูลรองแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือนครศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นเพียงบ้านรองแต่ความสามารถก็ทัดเทียมกับ เต้าอิงเฉิง ผู้ครอบครองดวงตาพลังธาตุเลยทีเดียว

“ฮ่าๆๆๆ สหายลู่เรานึกว่าท่านกังวลใจอันใด  ท่านจงนำธงสามสีนี้ไปใช้และเปิดใช้ค่ายกลนี้ไว้ ใครก็ตามที่จะเข้ามาคงต้องใช้เวลาหน่อย ข้าจะใช้โอกาสนี้ จัดการกับอักขระด้านหน้านี้ก่อน”

เมื่อถึงคราวจำเป็นเต้าเหล่ยก็จำเป็นต้องพึ่ง ลู่จวิ้นให้ถ่วงเวลาให้เพราะเดิมทีคิดว่า อักขระป้องกันนี้จะเป็นของที่จัดการได้ง่ายๆ สิ่งที่สำคัญเต้าเหล่ยก็คือ ผู้ใช้อักขระโบราณที่จัดได้ว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง หากไม่นับสำนักอักขระสวรรค์แห่งแดนเสือขาวที่น่าเกรงขามเหล่านั้น

ในแดนศักดิ์สิทธิ์มีการสอนการใช้อักขระมานานหลายสิบปี เพราะปรมาจารย์ของนิกายทั้งสองที่ได้นำเอาวิชาอันทรงคุณค่ามาจากศิษย์ของสำนักอักขระสวรรค์เมื่อนานมาแล้ว และทำการสอนเหล่าอัจฉริยะให้มีความสามารถมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เหมือนกลุ่มนักปรุงโอสถด้วยเหมือนกัน

ลู่จวิ้นถือธงสามสีไว้ในมือ สายตาที่มองไปยังธงนั่นถึงกลับต้องตกอกตกใจ

“นายน้อยเต้า นี่มัน ! นี่มัน อาวุธระดับราชัน ค่ายกลสังหารธงสามทิศ”

เมื่อได้ฟังชื่อเต็มที่ได้เอ่ยออกมา เต้าเหล่ยก็กล่าวว่า

“นำมันไปใช้ได้ ข้าตัดสัมผัสกับมันได้ชั่วคราว อาวุธชิ้นนี้ของข้า หากข้าเรียกมันกลับมาเจ้าอาจใช้งานมันไม่ได้อีก ไปรีบไปทำหน้าที่ของเจ้า เก็บกวาดขยะเหล่านั้น หากเจ้ามีสิ่งนี้ บางทีอาจกำจัดหยุนเปียวลงได้ในวันนี้ก็ได้”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ภาพแห่งการกดขี่ที่ได้รับมาหลายปี ทำให้ความอัปยศมากมายหลั่งไหลเข้ามา แววตาที่เต้าเหล่ยสัมผัสได้ก็ทำให้เต้าเหล่ยมั่นใจ

(ฮ่าๆๆๆๆ เผามันต่อไปจิตวิญญาณที่คั่งแค้น ธงสามทิศของข้าจะได้สูบเอาพลังชีวิตของพวกเจ้าได้ง่ายๆ)

เมื่อธงสามทิศมันเป็นอาวุธที่ถูกปลุกหรือสวมใส่จิตวิญญาณเข้าไป เช่นเดียวกับ กระบี่ระดับราชาในมือเป่าฮู่ที่มีจิตวิญญาณ แต่ระดับของเป่าฮู่ยังปลุกมันออกมาไม่ได้เท่านั้น

การก้าวเท้าออกไปยังทางเข้าถ้ำ ภาพที่ลู่จวิ้นได้เห็นคือ เท้าที่เตะร่างของสมุนของลูจวิ้นลอยไปชนกับกำแพงหิน ภาพเหล่านั้นทำให้ลู่จวิ้นคำรามลั่นป่า ถึงชื่อของผู้ที่กระทำเช่นนั้นลงไป

“หยุนเปียว! ไอ้บัดซบ วันนี้ข้าลู่จวิ้นจะสับแกเป็นหมื่นๆชิ้น กล้าลงมือกับคนของข้าแบบนี้”

 

มือที่สะบัดธงสามสีออกไป ทิศที่ธงทั้งสามเคลื่อนไหวครอบคลุม ปากถ้ำและกลุ่มคนทั้ง 10 คนของหยุนเปียว เมื่อหยุนเปียวสัมผัสได้ว่ามีพลังกดดันที่รุนแรง เย็นวาบมาจากด้านบน เสียงรองตะโกนออกมาถึงการป้องกันของตัวมัน

“ระวัง นั่นมัน อาวุธระดับราชัน ค่ายกลธงสามทิศ”

เมื่อการเป็นศิษย์หลักย่อมรู้ถึงอาวุธระดับสูงที่เหล่าศิษย์นิกายใหญ่ๆใช้และนั่นก็คืออาวุธประจำตัวของเต้าเหล่ย เจ้าปีศาจนั่นมันกล้ามาแย่งอสูรเสือขาวถึงที่นี่

“คุ้มกันท่านอาวุโสเฉิง ที่เหลือตามข้ามา”

หยุนเปียวรีบนำอาวุธของตนเองออกมาต่อต้าน เพราะตัวหยุนเปียวผู้เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลหยุนสมบัติระดับราชันย่อมต้องมีในครอบครองอยู่แล้ว

เมื่อหยุนเปียวนำกระจกชิ้นเล็กๆออกมา ทำให้อาณาเขตที่พลังลมปราณอันกล้าแกร่งของสมบัติชิ้นนี้ขยายตัวออกไปคุ้มกันทุกคนในระยะ 20 ก้าว

 

อีกด้านหนึ่งเป่าฮู่ที่นั่งมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นได้ถามเต่าอักขระผ่านเสียงทางช่องวิญญาณ

“ท่านเทพเต่าผู้ยิ่งใหญ่ อาวุธเหล่านั้นท่านพอทราบไหมว่ามันคืออาวุธระดับใด?”

เมื่อการมีชีวิตในยุค 100 ปีก่อน เป็นได้เพียงศิษย์ชั้นในที่ยากจน และการที่ได้รับกระบี่ระดับราชามา 1ชิ้น ก็ได้พรจากสวรรค์แล้ว 1ครั้ง

“เจ้าโง่เอ๋ย ไปอยู่ที่ไหนมา อายุก็มาก อยู่มาก็ 100ปี นั่นนะมันเรียกว่าอาวุธที่ปลุกจิตวิญญาณแล้ว หนึ่งคือค่ายกลสังหารระดับราชัน อีกหนึ่งก็คือ กระจกจันทร์สะท้อน ระดับราชันเช่นกัน เอ๊ะ! ของเจ้าก็มีนะ อาวุธในวงแหวนสีม่วงชิ้นนั้น กระบี่เล่มงาม ระดับราชา ข้าสัมผัสได้ว่าด้านในมีจิตวิญญาณดวงหนึ่งอาศัยอยู่แต่ว่า ยังไม่อาจปลุกมันขึ้นมาได้ เพราะรับของเจ้ายังอ่อนด้อยนัก”

เมื่อระดับของเป่าฮู่ก้าวหน้ามาถึงเพียงนี้ กระบี่ระดับราชาเป่าฮู่กลับยังไม่อาจปลุกพลังของมันให้ตื่นขึ้นมาได้

“ท่านเต่าแล้วข้าต้องมีระดับเท่าใดถึงปลุกมันได้?”

ตัวเต่าอักขระก็กล่าวเพียงบางเบา และสั้นๆ แต่คำๆนั้นดังสะท้อนในหูของเป่าฮู่ไปอีกนาน

“ระดับเหรอ?…….ข้าไม่รู้ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์
Status: Ongoing
อ่านนิยายตำนานเทพยุทธ์ “ข้าจะกลับไปแก้แค้นพวกเจ้าทุกคน” ชายหนุ่มที่มีวัย เพียง 18 ปี ผู้เป็นศิษย์ที่มีพรแสวงมากที่สุด จากจำนวนศิษย์ภายใน สำนักกว่า 200 คน นามของเขาก็คือ เป่าฮู่ ชายผู้เกิดมาพร้อมชะตาที่อาภัพ บิดามารดาทั้งสองตกตายไปอย่างอนาถ ทิ้งชายหนุ่มหาเลี้ยงตนเองตลอดระยะเวลาหลายปี โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ดังนั้นบิดามารดาจึงได้ล้มตายจากไปอย่างมีเงื่อนงำ แต่เป่าฮู่ก็ไม่อับจนโชคชะตาซะทีเดียว สวรรค์มิได้รังแกเขามากนัก เด็กชายวัยเยาว์จึงถูกชุบเลี้ยงโดยอาวุโสระดับสูงของนิกายนักยุทธ์นาม เสวียนอู่ อันเป็นนิกายอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ การพบเจอด้วยความบังเอิญ จึงได้รับตัวเข้ามาเป็นศิษย์ชุบเลี้ยงอย่างเอ็นดูรักใคร่ดั่งบุตรในสายตระกูล

Comment

Options

not work with dark mode
Reset