ตำนานเทพยุทธ์ – ตอนที่ 32

ภาพที่เหล่าอาวุโสที่ยิ่งใหญ่ในตระกูลเร่อ และหลายๆตระกูลเห็น เริ่มสับสนดังนั้น ผลการตัดสินใจของนายน้อยแห่งตระกูลเต้า ทำให้ตระกูลเร่อตั้งใจผูกสัมพันธ์กับตระกูลเต้าจะเป็นเหตุผลหลัก แต่การที่ได้เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลมู่แห่งแดนมังกรฟ้าก็นับว่าไม่เลว

แต่สำหรับเว่ยซู ธิดาเทพหงส์เพลิงแห้งแดนใต้กลับถูกมองข้ามและชายที่นางใฝ่ถวิลหากลับชายตามองไปยัง ศัตรูของนาง นางลุกขึ้นมาจากแท่นหินที่นางเข้าประจำตำแหน่งนั้น

หลังจากที่ประจักษ์กับสายตาตนเองถึงความยิ่งใหญ่และเก่งกาจของชายผู้นั้น

จนตัวนางรู้สึกอิจฉาดาวกาลกิณีของปีนี้ เช่นหย่วนชิวหยูขึ้นมาทันที

แผลในใจครั้งนี้ทำให้เว่ยซู เกลียดชังทุกคนที่ใกล้ชิดหย่วนชิวหยู นางไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไรนางเคลื่อนไหวไปเพื่อจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่านางคือเทพธิดาหงส์เพลิง แต่กลับถูกบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าใครพวกหยุดยั้งเอาไว้

“เว่ยออร์ นั่นหลานจะทำอะไร สิ่งที่เราสืบทอดมานานจะพังทกลายเพราะเจ้าไม่ได้กลับมานั่งที่”

 

คำสั่งจากมุมมืดที่ทุกคนในตระกูลเร่อคุ้นเคย เป็นเสียงปรมาจารย์

เร่อหลุ่นห่าวบรรพชนผู้เป็นสุดยอดคนแหงแดนใต้ในเวลานี้

“ท่านปู่ ข้า ข้า”

หลุนห่าวได้แต่ทอดถอนใจ พร้อมกล่าวออกไป ถึงสิ่งที่เป็นเหตุผลหลักของการประกอบพิธีในครั้งนี้ เว่ยซูจึงกลั้นฝืนทนรับเอาหน้าที่ของนางอีกครั้ง

 

แต่ตรงกันข้าม การปะทะครั้งสุดท้ายของเป่าฮู่และเต้าอิงเฉิงที่บังเกิด

เต้าอิงเฉิงที่ทะยานออกมา พร้อมมือผนึกลมปราณศักดิ์สิทธิ์ ของตระกูลที่ตัวพัดเหล็กเพื่อเข้าปะทะกับกระบี่ของเป่าฮู่ที่ผนึกลมปราณเทพลงไป ลมปราณทังสองนับว่าแข็งแกร่ง และพลังภายในของทั้งสองนับว่าสูงกว่าที่รุ่นเยาว์ด้วยกันจะตามทัน ชนชั้นราชาลมปราณด้วยอายุไม่ห่างกันมากนัก เต้าอิงเฉิงและเป่าฮู่ถูกลมปราณของอีกฝ่ายกระแทกตกลงไปยังขอบเวทีทั้งคู่

 

แต่ที่ตางออกไปนั่นคือ ใต้อาภรณ์ของเต้าเหล่ยมีเกราะสวมใส่ระดับสูงอยู่ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมาก สำหรับเป่าฮู่ที่ร่างกายอันแข็งแกร่งจากการฝึกฝนมากลับดูดซับพลังกระแทกมากกว่า 1 ส่วนกระอักเลือดออกมาอย่างเห็นได้ชัด หากไม่มีพลังที่ได้จากการฝึกลมหายใจเทพมาช่วยคงบาดเจ็บมากกว่านี้

เป่าอู่บัดนี้รับรู้ได้ทันทีว่า คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นก็มีคนที่เป็นปีศาจอยู่เช่นกัน

และบัดนี้เป่าฮู่จะขอจดจำนามของชายผู้นี้เอาไว้ เพราะในใจของเป่าฮู่รู้เพียงว่าตนพ่ายแพ้ไป

แต่ในความเป็นจริงหากเต้าอิงเฉงไม่มีเกราะสวมใส่แล้ว คงยากที่จะอยู่ในสภาพแบบนั้นได้

(แกร่ง ชายคนนี้แกร่งจริงๆ)

นี่คือสิ่งที่เต้าอิงเฉิงคิดไว้และตอนนี้เต้าอิงเฉิงจะขอจดจำนามของเป่าฮู่ไว้เป็นสัตรูที่ควรค่าแก่การนับถือ

ทั้งสองหลังจากพยุงร่างกายขึ้นมา กลับสามารถคิดได้ในเรื่องเดียวกันนั่นคือการถอยเพื่อกลับมาสู้อีกครั้ง แม้ภานอกสดใสข้างในอาจบอบช้ำหนักก็เป็นได้

แต่กลับเป็นเป่าฮู่ที่รีบช่วงชิเวลาอันมีค่าออมาก่อน

“ฮ่าๆๆๆ ข้านึกหลงคิดว่าตนเองเก่งแล้ว แต่วันนี้นับว่าสวรรค์ชี้ทางให้ข้า คุณชายจากนี้ข้าจะขอจดจำนามของท่านไว้ ข้าขอยกแม่นางหย่วนคนนี้แก่ท่าน หากวันใดข้าพบท่านแลท่านละทิ้งนางที่เปรียบดั่งมุกเม็ดงามนี้ไป เชื่อได้ว่าข้าจะล้มท่านลงให้ราบคราบ”

 

เพียงคำกล่าวเช่นนี้ดังออกมา เหล่าผู้ติดตามตระกูลเต้าคิดติดตามออกไปสั่งสอนแต่สำหรับ เต้าอิงเฉิงกลับร้องห้ามเอาไว้ ทำให้ทหารที่ติดตามมาตกใจ

“พวกเจ้าหยุด!”

จากนั้นทหารที่หันมาเพื่อถามหาเหตุผลที่รั้งพวกมันไว้ ก่อนที่ร่างของเต้าอิงเฉิงจะพ่นโลหิตออกมาอย่างน่ากลัว

((((พร๊วด!)))) เหล่าทหารได้เห็นก็ตกใจไม่คิดว่าตัวคุณชายของตนเองก็บาดเจ็บไปด้วย

เช่นนั้นแล้วใครกันที่ชนะ ศึกครั้งนี้ทุกคนล้วนสงสัย แต่กลับมีเพียงคนเดียวที่มีเพลิงแค้นสุมในหัวอก และเมื่อตาเฒ่าเต้าหวงเย่ได้เห็นการต่อสู้นี้จากที่ห่างไกล ก็คิดว่า เด็กหนุ่มคนนั้นต้องเป็นทายาทของตระกูลเป่าที่แท้จริงแน่ ตอนนั้นตัว เต้าหวงเย่ก็หลับตาลง พร้อมระบายลมหายใจออกมา

“เห้ย! สวรรค์ชี้นำ จากนี้ยุคของข้าหมดลง หลานข้าต้องพึ่งเจ้าแล้วที่จะค้ำจุนตระกูลต่อไป เด็กน้อยเอ๋ย หากเจ้าไม่นำภัยร้ายแรงมาสู่ตระกูลข้า ข้าเต้าหวงเย่คนนี้จะไม่ไปยุ่งกับเจ้า”

 

หลังจากนั้นขาวที่ยิ่งใหญ่ก็ถูกกระจายออกไปถึง หนึ่งบุรุษที่หาญกล้าท้าทายตระกูลเต้า และลุกขึ้นสู้กับยอดอัจฉริยะของตระกูลเต้า เต้าอิงเฉิงจนบาดเจ็บลง

ข่าวที่ถูกส่งกลับไปยังเมืองตระกูลหง และตัวหงซวนก็รูสึกประทับใจกับบุตรบุญธรรมเป็นอย่างมาก

 

แม้แต่เหล่าองครักษ์ประจำเมืองยังพลอยดีใจไปด้วย ที่คุณชายเป่าฮู่ได้แสดงพลังของเมือง

ตระกูลหงออกไปในงานใหญ่เช่นนั้น

“ฮ่าๆๆๆ นี่สินะผลจากการค้นพบหยกชิ้นงามของข้า ฮ่าๆๆๆ หากลูกเป่าถูกฟ้าดินขัดเกลาไปมากกว่านี้ คงถึงวันที่ข้าจะได้ยืดออกไปด้วยในใต้หล้านี้”

ทุกแห่งหนต่างกำลังปล่อยข่าวต่างๆเกี่ยวกับเป่าฮู่ แต่ในกระท่องล้างในป่าใหญ่ เป่าฮู่กำลังเผชิญกับ พลังลมปราณที่ปั่นป่วน ด้วยผลข้างเคียงจากเกราะลมปราณระดับสูงของเต้าอิงเฉิง

 

“((((อั๊ก!))) บัดซบ! ข้า ข้าแพ้แก่ศัตรูตลอดกาลเช่นตระกูลเต้า และข้าคนนี้กลับเพราะทายาทตระกูลเต้า”

การโทษตัวเองของเป่าฮู่ กำลังทำให้จิตใจของเขาขุ่นมัว เป็นอย่างมาก แต่เพียงเท่านั้นยังไม่อาจกลบรัศมีสังหารที่ครุกรุ่นจากตัวเขาได้

ความแค้นผลักดัน ทำให้การฝึกฝนต่อจากนี้ต้องหนักกว่าเดิม หนักจนไม่อาจพูดได้ว่ามีอะไรที่ยังทำไม่ได้อีกมาเป็นสิ่งเดิมพัน

วันเวลาที่ไหลผ่าน ไม่นานเป่าฮู่ก็ได้รักษาอากาบาดเจ็บของตนเองเสร็จจนได้

แววตาที่มองเห็นภาพตรงหน้าคือภาพการประลองวันนั้นวนไปวนมาจนไม่อาจลบเลือนได้

จากนั้นการลงมาจากเขาทำให้เป่าฮู่มุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมขของตนเอง โดยฝากให้คนเหล่านั้นที่เป็นองครักษ์บอกบิดาของตนว่า จากนี้ไมต้องห่วงจะกลับมาเยี่ยมหากบรรลุในสิ่งที่ตั้งใจ

เป่าฮู่เดินย้ำอกไปจากโรงเตี้ยมเพื่อมุ่งสู่ ดินแดนเดิมของตน แดนเสวียนอู่กำราบดินแดนของตนเองก่อนที่จะทะยานออกไปสู้กับแดนศักดิ์สิทธิในวันข้างหน้า

 

เป่าฮู่เดินทางขึ้นเหนือ แต่บัดนี้เลือกใช้เส้นทางทางบก ไม่ใช้บริการ เรือเหาะอีกต่อไป การจะได้มาซึ่งคามแข็งแกร่งนับว่าสำคัญเช่นกันในชีวิตขิงชาวยุทธ์ธรรมดาเช่นนี้

การมุ่งหน้าไปยังแดนศักดิ์อันเป็นทางผ่านและนั่นจะทำให้ได้ศึกษาดินแดนของศัตรูไปด้วย

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์
Status: Ongoing
อ่านนิยายตำนานเทพยุทธ์ “ข้าจะกลับไปแก้แค้นพวกเจ้าทุกคน” ชายหนุ่มที่มีวัย เพียง 18 ปี ผู้เป็นศิษย์ที่มีพรแสวงมากที่สุด จากจำนวนศิษย์ภายใน สำนักกว่า 200 คน นามของเขาก็คือ เป่าฮู่ ชายผู้เกิดมาพร้อมชะตาที่อาภัพ บิดามารดาทั้งสองตกตายไปอย่างอนาถ ทิ้งชายหนุ่มหาเลี้ยงตนเองตลอดระยะเวลาหลายปี โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ดังนั้นบิดามารดาจึงได้ล้มตายจากไปอย่างมีเงื่อนงำ แต่เป่าฮู่ก็ไม่อับจนโชคชะตาซะทีเดียว สวรรค์มิได้รังแกเขามากนัก เด็กชายวัยเยาว์จึงถูกชุบเลี้ยงโดยอาวุโสระดับสูงของนิกายนักยุทธ์นาม เสวียนอู่ อันเป็นนิกายอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ การพบเจอด้วยความบังเอิญ จึงได้รับตัวเข้ามาเป็นศิษย์ชุบเลี้ยงอย่างเอ็นดูรักใคร่ดั่งบุตรในสายตระกูล

Comment

Options

not work with dark mode
Reset