ตำนานเทพยุทธ์ – ตอนที่ 35

กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งชายหนุ่มที่ยืนเมืองดูหนึ่งในอาวุโสหลักของซื่อตู่ได้ล้มตายไปต่อหน้า

ด้วยความสาแก่ใจ แต่อีกมุมหนึ่งบุตรชายเจ้าเมืองซื่อตู่ที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และหันไปมองทหารหนุ่มที่รีบนำหินอาคมที่บันทึกการต่อสู้มามอบให้แก่ผู้เป็นนาย

โดยทหารนายนั้นเสนอให้ ตู่หลู่เก็บบันทึกนี้ไว้ เพื่อเสนอแก่นายน้อยเต้าเหล่ย แต่ตู่หลู่กลับกระทืบทหารนายนั้นปางตายด้วยโทสะแทน และชั่วเวลาต่อมาเป่าฮู่เองก็ได้รีบเดินทาง เพราะหากเสียเวลาในเมืองนี้มากเกินไปการจะเดินทางต่อไปจะยาก ด้วยคนเหล่านี้ย่อมมีมาอีกไม่หยุดหย่อน

 

เพียงเวลาไม่นาน ข่าวของเมืองซื่อตู่ล้มเหลวในภารกิจที่ตระกูลเต้ามอบมา

ก็ดังไปไกลถึงเมืองหลวงของแดนศักดิ์สิทธิ์ เต้าเหล่ยได้เห็นกินอาคมของผู้ติดตามของตนแอบบันทึกไว้ขณะที่คนเหล่านั้นต่อสู้กัน

 

ณ ตระกูลเต้า

เมื่อเหล่าองครักษ์ และตัวเต้าเหล่ยพร้อมบิดาของมัน นั่งพิจารณาบันทึกอาคมนั้นด้วยสายตาที่ตกใจกับความสามารถของเจ้าหนุ่มคนนี้

“น่าสนใจลูกพ่อ พ่อว่าข่าวที่เจ้าเมืองตระกูลหง บิดาบุญธรรมของเจ้าเป่าฮู่ผู้นี้ได้ออกกว้านซื้อกล่องปริศนาจากหอศักดิ์สิทธิ์ไปมากมาย คงเพราะเจ้าบัดซบนี่มันดันมีพลังธาตุน้ำ โชคชะตาเล่นตลก ท่านบรรพชนเคยกวาดล้างสำนักนิกายพลังธาตุน้ำมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เท่าที่เห็นตอนนี้แดนเสวียนอู่เองก็ไม่มีใครที่โดดเด่นเท่ามัน เอาหละพ่อมีแผนที่จะจัดการมันแล้ว”

 

เมื่อตาเฒ่าผู้เป็นผู้นำตระกูลรองของตระกูลเต้า บิดาของเต้าเหล่ยมองเห็นความอับอายของบุตรชายและความน่าเสื่อมเสียของเต้าอิงเฉิงที่ชนะก็เหมือนแพ้กลับมา

“ครั้งนี้ตระกูลเราต้องจัดการเจ้าบัดซบนี่ แต่จะให้ตระกูลหลักทำเสร็จก่อนเราไม่ได้ ความสามรถของมันไมใช่ของปลอม นั่นคือของจริง และมันเองก็เก่งกาจของจริง แต่อย่างไรก็แค่ชนชั้นราชา ส่งอาวุโสของตระกูลระดับราชัน 3 คนไปจัดการมัน และสั่งให้เมืองต่างขัดขวางมันไว้ก็พออย่าเข้าปะทะไม่เช่นนั้น จะพบจุดจบเช่นเมืองซื่อตู่”

 

เพียงคำสั่งของชนชั้นผู้นำของตระกูลเต้าถูกสั่งการลงมา อันตัวเป้าหมายก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวมันเองตกเป็นเหยื่อ แต่เหยื่อตัวนี้ไม่ใช่เหยื่อธรรมดา การเสาะหาสถานที่พักชั่วคราวหลังจากสลัดพวกตระกูลเต้าพ้น

เป่าฮู่คิดว่าตนเองควรเร่งพัฒนาตนเองอย่างน้อยก็ควรจะยกระดับความสามารถของมันกลับมาให้มากกว่าเดิมได้ในเวลาอันสั้นก็ดี แต่คิดไปก็เท่านั้นตอนนี้มีทางเดียวที่เป่าฮู่ทำคือต้องแกร่งขึ้นเท่านั้น

ป่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ กลับมีพลังลมปราณที่เข้มข้นอยู่เป็นจำนวนมาก เป่าฮู่จึงใช้มันเพื่อขัดเกลาตนเองต่อไป เพราะการเดินทางที่ว่าง่ายมันไม่ง่ายอีกต่อไปหลังจากที่ตัวเป่าฮูได้แสดงฝีมือออกไปแทนที่จะหลบซ่อนในครั้งแรก

 

“ข้าต้องฝึก และข้าต้องแกร่งขึ้นในเวลาอันสั้น”

แต่เพียงการดูดซับลมปราณจากสถานที่ลับนี้คงไม่อาจชักนำลมปราณในตอนราตรีของทุกๆวันนี้ให้มากเพิ่มขึ้นเป็นแน่เป่าฮู่จงออกเสาะหาสถานที่ที่รับรู้ถึงพลังปราณหยินที่เข้มข้นมากที่สุดและแล้ว ในที่สุดเป่าฮู่ก็พบว่า สถานที่อันพลังหยินหนาแน่นกลับเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งที่ ด้านล่างมีแต่ซากศพมากมายที่ถูกนำมาทิ้งไว้

สถานที่แห่งนี้ในแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกว่า หุบเขาคนตาย น้อยคนนักจะเข้ามายามค่ำคืน เพราะมันถือเป็นสถานที่ของพวกชนชั้นต่ำในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

และสถานที่อันเป็นที่น่ารังเกียจแห่งนี้กลับถูกพบโดยเป่าฮู่ สถานที่อันเป็นแหล่งรวมของซากศพและเหล่ขอทาน ทาส หรือแต่ พวกที่ตกตายไปในเมืองที่ห่างออกไป จึงถูกนำพามายังสถานที่แห่งนี้ในตอนกลางวันและถูกทิ้งร้างในตอนกลางคืน

 

เมื่อเป่าฮู่เดินทางมาจนพบสถานที่แห่งนี้ เป่าฮู่กลับรู้สึกสดชื่นที่หุบเขานี้มากด้วยพลังหยินจากกองศพเหล่านั้น และมากพอที่จะช่วยให้ชายหนุ่มก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น

 

แต่สถานที่แห่งนี้กลับมีสิ่งที่น่าหวาดกลัวเฝ้าอยู่นั่นคือ กลุ่มขอทานหรือคนเร่ร่อนที่หากินกับกองซากศพของคนตายที่ถูกนำมาทิ้ง เป่าฮู่มองดูแสงไฟที่ส่องสว่าง จากเบื้องล่างและมองจนแน่ใจในที่สุดก็รู้ว่าที่นี่มีคนเฝ้าอยู่ แม้ไม่ได้สำคัญมากนัก แต่ก็จะให้พบกับตนไม่ได้

 

“ฮึ! แบบนี้คงต้องเจาะโพรงไม้นอนเสียแล้ว”

การใช้กระบี่ที่ผนึกลมปราณลงไป ทำการเจาะโพรงไม้ใหญ่เพื่อหลับนอน พักผ่อนก่อนและเริ่มฝึกลมปราณในอีก 2 ชั่วยามต่อไป

เป่าฮู่ฝึกอย่างเคร่งคัดแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร หลายวันที่ผ่านมา แม้จะหนีแต่ก็ไม่ละเลยการฝึกตนเองเลย

เพียงการนั่งลงเพื่อพักผ่อน เป่าฮู่ก็ลองชักนำลมปราณโดยรอบเข้ามาที่ตัว ความรู้สึกที่แผ่กว้างออกไป ลมปราณที่กระจายไปทั่วทำให้เป่าฮู่สัมผัสได้ถึงของบางสิ่งที่อยู่ไปไม่ไกลจากจุดที่พัก และมีพลังงานหยินที่เข้มขึ้นแผ่ออกมากด้วย

 

เป่าฮู่ไม่รอช้ารีบทะยานลงไปและเสาะหามันใต้แสงแห่งดวงจันทร์ จนเวลาผ่านไปนานสองนาน แสงที่ถูกเปล่งออกมาจากดวงจันทร์ก็ทำให้ เป่าฮู่ได้เห็นถึงของสิ่งนั้น ดอกไม้ประหลาดที่ออกจากศพและมันส่องประกายในยามค่ำคืน ลมปราณหยินที่มันดูดซับมานั้นนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ตามบันทึกของนิกายเสวียนอู่สมุนไพรหรือวัตถุดิบที่ช่วยยกระดับลมปราณธาตุหยิน ได้ง่ายดาย ก็คือ สมุนไพรที่แผ่กลิ่นอายของลมปราณหยินในยามค่ำคืน ได้ดีเช่นนี้

 

เมื่อสัมผัสและรับรู้ได้ ด้วยนิสัยของเป่าฮู่จะไม่รอช้าที่พิสูจน์มัน และนั่นคือสิ่งที่จะชักนำเป่าฮู่ไปสู่เจ้าของสมบัติชิ้นนั้น

 

ด้วยกระท่อมที่ห่างไปไม่ไกลกลับมีชายชราผู้หนึ่งที่เป็นนักปรุงโอสถและสิ่งที่เขาทุ่มเทเวลามานานกับการค้นคว้าหา

สุดยอดโอสถ ที่จะช่วยยกระดับพลังลมปราณหยินของบุตรสาว ให้สามารถหยัดยืนท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งแดนใต้ได้

ตาเฒ่าคนนี้ก็คือ มารฟ้าโอสถ หลางจง นักปรุงยาที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งในยุคสมัยก่อน แต่บัดนี้ด้วยบุตรสาวของตัวมันกับหญิงแดนเหนือ ที่ป่วยด้วยพิษร้ายจากแดนใต้ ไม่อาจทานทนพิษของเปลวเพลิงได้ มีทางเดียวคือการยกระดับพลังลมปราณหยินของนางให้แกร่งจนสามารถพิชิตพิษร้อนอันร้ายกาจนั้นซะ

ด้วยเหตุนั้นทำให้เป่าฮูได้พานพบกับกับ เจ้าของดอกราตรีกลืนวิญญาณนั้นเป็นแน่ เมื่อเป่าฮู่ทะยานร่างไปตามที่รู้สึกได้ ก็พบว่าดอกราตรีกลืนวิญญาณ ยอดโอสถทิพย์ยกระดับพลังธาตุหยินในกายให้สูงส่งและมีความเสถียรที่สุด

“นั่นมัน! ดอกโอสถทิพย์”

ด้วยสายตาที่แหลมคมได้เห็น ดอกไม้ราตรีที่งดงาม แต่ด้านในกระท่อม กลับมีคนที่รับรู้ได้ว่า มีคนแปลกหน้ามาเยือน

“หยุดมือเจ้าซะเจ้าเด็กบัดซบ กล้าเช่นไรคิดช่วงชิงสมบัติที่ข้าเพียรเฝ้าถนุถนอมมานานแสนนาน”

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์
Status: Ongoing
อ่านนิยายตำนานเทพยุทธ์ “ข้าจะกลับไปแก้แค้นพวกเจ้าทุกคน” ชายหนุ่มที่มีวัย เพียง 18 ปี ผู้เป็นศิษย์ที่มีพรแสวงมากที่สุด จากจำนวนศิษย์ภายใน สำนักกว่า 200 คน นามของเขาก็คือ เป่าฮู่ ชายผู้เกิดมาพร้อมชะตาที่อาภัพ บิดามารดาทั้งสองตกตายไปอย่างอนาถ ทิ้งชายหนุ่มหาเลี้ยงตนเองตลอดระยะเวลาหลายปี โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ดังนั้นบิดามารดาจึงได้ล้มตายจากไปอย่างมีเงื่อนงำ แต่เป่าฮู่ก็ไม่อับจนโชคชะตาซะทีเดียว สวรรค์มิได้รังแกเขามากนัก เด็กชายวัยเยาว์จึงถูกชุบเลี้ยงโดยอาวุโสระดับสูงของนิกายนักยุทธ์นาม เสวียนอู่ อันเป็นนิกายอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ การพบเจอด้วยความบังเอิญ จึงได้รับตัวเข้ามาเป็นศิษย์ชุบเลี้ยงอย่างเอ็นดูรักใคร่ดั่งบุตรในสายตระกูล

Comment

Options

not work with dark mode
Reset