ตำนานเทพยุทธ์ – ตอนที่ 43

เพียงร่างที่ใหญ่โตของอสูรลมปราณชนชั้นราชา อสรพิษฟ้าครามที่มีลำตัวใหญ่กว่าเป่าฮู่หลายสิบเท่าตัว ลำตัวที่มีขนาด ความกว้างของลำตัว 2 จั้ง (20 ฟุต) ยาวกว่า 4 -5 จั้ง เป็นอสรพิษที่ตัวใหญ่เอามากๆ ทำให้ใบหน้าของเป่าฮู่มีเม็ดเหงื่อหลั่งไหลออกมา ใครจะไปคิดกันว่าคำว่า ราชาของเหล่าอสรพิษฟ้าครามตัวเล็กๆที่จับมากินนั้นจะมีขนาดใหญ่ได้ถึงเพียงนี้

 

แต่ตัวใหญ่กว่าแล้วจะทำไม เป่าฮู่คิดว่าอสรพิษก็เป็นเพียงสัตว์อสูรลมปราณจะมีสติปัญญาเหนือตนได้เช่นไร ดังนั้นเป่าฮู่จึงไม่รอช้ารีบโคจรลมปราณเทพเต่าดำคุ้มกายและพุ่งทะยานไต่อากาศไปอยู่เหนือส่วนลำตัวของเจ้าอสรพิษตัวใหญ่ยักษ์นี้

 

“ขนาดใหญ่โตใช้ได้ แบบนี้หากจะนำมาเป็นพาหนะก็ย่อมได้ใช่หรือไม่?”

เมื่อเต่าอักขระที่เกาะอยู่บนส่วนหัวของเป่าฮู่ได้ฟังและมองเห็นท่าทีของเป่าฮู่เปลี่ยนไปจึงกล่าวตักเตือนสติออกมา

“ช้าก่อนเจ้าหนู หากคิดว่าอสูรลมปราณระดับชนชั้นราชาไร้ความสามารถเจ้าคิดผิดมหันต์ เพราะพวกมันมีสติปัญญาและสามารถเรียนรู้พลังลมปราณและมีลมปราณเป็นของคนเอง และหากข้าเดาผิดเจ้าราชาอาสรพิษตนนี้ก็มีลมปราณพิษที่กล้าแกร่งน่าดูทีเดียว”

 

นั่นคือสิ่งที่ได้รับฟังจากเต่าอักขระบ้า หลังจากนั้นเป่าฮู่ก็รู้ว่าเจ้ายักษ์นี่คงเคี้ยวยากน่าดูจึงไม่อาจทำเป็นดูแคลนมันได้ การระเบิดพลังและวงแหวนต่อสู้ออกมาสู้เห็นจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง

เมื่อระเบิดพลังลมปราณพร้อมปลดปล่อยวงแหวนออกมา วงแหวนทั้งสามที่อยู่ด้านหลังส่องประกายสีม่วงงดงามออกมา และวงแหวนของเต่าอักขระเป็นวงแหวนที่มีอักขระสีทองสองประกายอยู่ทำให้เจ้าราชาอสรพิษได้รับรู้ถึงพลังของอสูรสายพันธุ์บรรพกาลที่เจ้าหนุ่มนี่นำมาเป็นวงแหวน

“ฮึ! ถึงขั้นมีอสูรบรรพกาลมาเป็นวงแหวนให้นับว่าไม่เลว แต่เพียงสายพันธุ์เต่ามิอาจต้านพลังของข้าเหล่าอสรพิษได้หรอก”

 

การพุ่งเข้ามาด้วยหัวที่ใหญ่โต กว่า 1 จั้ง และคมเขี้ยวที่แหลมคม คมเขี้ยวนั้นตัดกระชากต้นไม้ที่อยู่เบื้องหลังของเป่าฮู่จนพินาศย่อยยับ อสรพิษฟ้าครามแม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันตรงๆ แต่นี่เป่าฮู่เพียงระดับราชาลมปราณกลับหาญกล้าท้าทายมันด้วยตัวเพียงลำพัง

 

หากไม่มีพิษที่มีความเข้มข้นพอในร่างกาย ทุกครั้งที่เผชิญกับลมหายใจและไอระเหยจากพิษที่ราชาอสรพิษสร้างขึ้นมารอบกายคงได้นำพาเป่าฮู่ไปยังปรโลกแล้ว

เมื่อเกราะลมปราณที่กล้าแกร่งหมุนวนรอบกายตามเคล็ดลมปราณเทพเต่าดำ ลมปราณที่มีก่อรูปเป็นกระดองเต่าขนาดใหญ่กว่าลำตัวของเป่าฮู่ครอบคลุมร่างกายเอาไว้และทำให้เป่าฮู่ได้อาศัยมันหลบการโจมตีจากอสรพิษฟ้าคราม แต่ว่าการหลบอยู่ด้านในเกราะลมปราณจะทำให้สามารถพิชิตเจ้าอสรพิษตัวนี้ได้หรือ

 

เป่าฮู่พิจารณาถึงแรงปะทะของส่วนหางที่ทรงพลัง ราชาอสรพิษแม้จะมีพละกำลังที่มากมายแต่ด้วยขนาดลำตัวที่ใหญ่โตยากที่จะเคลื่อนไหวได้ทันความเร็วของเป่าฮู่ ดังนั้นเป่าฮู่จึงไม่อยากหลบในกระดองหากแต่จะเคลื่อนที่ไปพร้อมเกราะลมปราณเสียมากกว่า

 

ด้วยเวลาที่ผ่านมาตลอดกาลฝึกเป่าฮู่ฝึกการหน่วงนำเกราะลมปราณจากเคล็ดลมปราณเทพเต่าดำไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยการควบคุมเกาะลมปราณนี้ใช้สมาธิมากพอสมควรแต่ดีที่เป่าอู่เองก็มีเคล็ดวิชาที่สามารถโจมตีได้ในขณะที่ตนเองอาศัยเกราะลมปราณนี้คุ้มครองร่างกาย

“จงผงาด กระบี่ราชันไร้รูป กระบี่ที่หนึ่ง กระบี่เดียวดาย”

 

เพียงการผนึกลมปราณเพื่อสร้างกระบี่น้ำแข็งออกมาและใช้มือข้างซ้ายควบคุมกระบี่ให้พุ่งออกมาโจมตีในส่วนที่เป็นจุดชี้ชะตาของการต่อสู้ ในขณะที่เจ้าอสรพิษกำลังใช้แรงจากส่วนกรามของตัวมันเองบดขยี้เกราะลมปราณที่ครอบคลุมร่างกายของเป่าฮู่อยู่

“คิดจะกินข้ามันไม่ง่ายนักหรอก กระบี่ที่สอง กระบี่คู่ดับแสง”

 

กระบี่เล่มที่สองพุ่งตามกระบี่เล่มแรกออกไปเป้าหมายคือดวงตาที่ส่องประกายของอสรพิษฟ้าคราม การเป็นสัตว์ใหญ่และมองข้ามอันตรายจากสัตว์ที่เล็กกว่านั่นคือสิ่งที่ชี้ชัดถึงความตายที่จะมาถึง

กระบี่พุ่งเป้าไปที่ดวงตา แต่ขณะที่กระบี่จะแทงเข้าไปที่ดวงตา อสรพิษฟ้าครามก็ปิดเปลือกตาได้ทัน ด้วยเกล็ดที่แข็งแกร่งแม้กระทั้งเปลือกตา ดวงตาข้างซ้ายจึงถูกหนึ่งกระบี่น้ำแข็งแทงเข้าไปทำให้ดวงกลายเป็นน้ำแข็งเพียงข้างเดียว พิษเย็นที่เข้าไปหักล้างกับพิษในร่างของอสรพิษฟ้าครามก็สร้างความเจ็บปวดให้เจ้าอสูรพิษไม่น้อย

 

ด้วยความโกรธที่ได้รับจากเจ้าสิ่งมีชีวิตอ่อนแอตรงหน้า พละกำลังที่มีกลับปรากฏมาพร้อมท่อนหาง ของอสรพิษฟ้าคราม หางที่ฟาดลงมาด้วยพลังทั้งหมด ทำให้เกราะลมปราณที่กางไว้ของเป่าฮูแตกสหายไป

(((ฟลิ้ว))) (((ครึ่ม!)))  “อั๊ก!…บัดซบ!”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้เป่าฮู่ชอบใจและคิดว่า น่ากลัว เจ้าอสรพิษตนนี้น่ากลัว เช่นนี้สิถึงจะเหมาะกับการที่ต้องกลายมาเป็นวงแหวนโจมตีของตัวมันเอง

“เจ้าเทพเต่าบ้า ได้เวลาที่เจ้าต้องทำประโยชน์กับข้าแล้ว”

ถ้อยวาจาที่เปลี่ยนไปทำให้เต่าอักขระรับรู้ถึงสิ่งที่ชายหนุ่มตั้งใจจำ เมื่อการพุ่งเป้าไปที่คู่ต่อสู้นั้นเป็นโอกาสที่จะทำให้เต่าอักขระสร้างค่ายกลขึ้นมาในช่วงเวลานั้นได้

 

ด้วยร่างกายของเป่าฮู่ที่พุ่งทะยานออกไปด้วยท่าท่องวารี ด้วยกระบวนท่าที่รวดเร็วดุจสายน้ำหลาก ความเงียบที่มาพร้อมอันตรายทุกฝีก้าว

“ท่องธาราพิสุทธ์”

ความเงียบในท่าเท้าที่พุ่งทะยานออกไป ทิ้งภาพเงาลวงตาไว้สำหรับหลอกล่อเป้าหมายของตัวเป่าฮู่เองสามารถทำได้ และเมื่อการเปิดกล่องปริศนาได้นั้นเป่าฮู่พบหนึ่งวิชาที่มีความพิเศษ แม้จะเป็นดั่งเช่นวิชาระดับกลางไม่สูงเด่นแต่หากนำมาใช้ในช่วงเวลาที่ดีพออาจเปลี่ยนกระแสของการต่อสู้ได้

“จงภูมิใจเจ้างูบ้า เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะใช้ในการต่อสู้จริง

ทิ้งร่างลวงตา เคล็ดวิชาดักแด้เหมันต์”

เมื่อการก้าวเท้าออกไปในทุกๆ 3 ก้าว เป่าฮู่กับทิ้งร่างแยกของตนเองไว้ 1 ร่าง และร่างแยกเหล่านั้นกลับ เคลื่อนไหวได้ดั่งมีชีวิต แม้จะเป็นเวลาไม่นานตราบเท่าที่ลมปราณของเป่าฮู่ยังคงอยู่ ทำให้เป่าฮู่ก้าวเข้าไปใกล้และใกล้ตัวราชาอสรพิษเต็มที

 

“นับว่าทำให้ข้าตกใจมากเช่นกัน แต่เพียงแค่เพิ่มสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำมาอีกไม่กี่ตัวคิดว่าจะ”

 

เพียงเท่านั้นกลับทำให้อสรพิษฟ้าครามรับรู้ถึงสิ่งที่แปลกไปของส่วนช่วงท้องอันเป็นตำแหน่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังชีวิตของมันที่จู่ก็รู้สึกถึงอันตรายอย่างบอกไม่ถูก

 

ด้วยสายตาที่เหลือเพียง 1 ข้างและหันไปมองดูยังร่างของศัตรู แต่ทันใดนั้นเป่าฮู่กลับร้องตะโกนออกมาโดยทันที

“ตอนนี้แหละเจ้าเต่า เปิดใช้ค่ายกลของเจ้าซะ”

เพียงเต่าอักขระได้ฟังถ้อยคำที่เปลี่ยนไปแม้จะรู้สึกโกรธ เพราะเต่าอักขระเป็นตัวตนที่ชอบคำยกยอปอปั้นแต่กลับมาถูกสั่งดั่งผู้รับใช้และติดตามแบบนี้ทำให้ตัวมันรู้สึกเสียความรู้สึกที่ดีไป

“ได้เจ้าหนูวันนี้ข้าจะยอมฟังเจ้าหนึ่งวัน จงเปิดค่ายกลอักขระสังหาร”

เมื่อกลุ่มอักขระที่ถูกปลดปล่อยออกมา ด้วยพลังลมปราณของเต่าอักขระที่มีระดับทัดเทียมกับราชาอสรพิษ ทำให้แรงกดดันนี้สร้างภาระให้แก่สรพิษฟ้าครามและตัวเป่าฮู่ที่เป็นนายใน

พันธะสัญญาวิญญาณของเต่าอักขระจึงไม่มีผลใดๆเกิดขึ้น

 

เป่าฮู่กระโดดเข้าไปยังจุดตายของอสรพิษฟ้าคราม การใช้เคล็ดวิชากระบี่ราชันไร้รูปและเคล็ดวิชากระบี่วารีไหล เจาะทะลวงผ่านเกล็ดที่แข็งแกร่งนี้เข้าไปในชั้นเนื้อ และเพียงไอเย็นที่เกาะกุมเกล็ดด้านนอกจนแผ่ขยายออกไปอย่างช้าด้วยพลังลมปราณของเป่าฮู่

เมื่อเป่าฮู่เหลือบมองดูเต่าอักขระเองก็อ่อนล้าลงเพราะเจ้าอสรพิษฟ้าครามตนนี้แข็งแกร่งเกินที่จะคาดเดาได้ แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะทำให้ร่างทั้งร่างเป็นน้ำแข็งได้ พิษเย็นเข้ากัดกินในเนื้อหนังชั้นในลึกลงไปจนถึงแก่นแท้ของของร่างที่ใหญ่โตนี้

“เจ้า!”

เพียงเท่านั้นวาระสุดท้ายของราชาอสรพิษก็มาถึงจะมีสิ่งใดคาดคิดได้ว่า มนุษย์ตัวเล็กจะสามารถใช้ลมปราณของเทพสัตว์อสูรโบราณได้และยังมีพลังจากแก่นแท้แห่งเหมันต์ที่เข้ากันได้ดีกับลมปราณชนิดนี้ วาระสุดท้ายของราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าตอแยกับต้องมาถูกจัดการได้อย่างง่ายดายเพียงนี้

 

เป่าฮู่ได้เห็นเช่นนั้นก็ผนึกกำลังที่เหลืออยู่ทะลวงเข้าไปในร่ากายที่ใหญ่โตผ่านกะโหลกที่ใหญ่โต คว้าเอาแก่นแท้ออกมา เพื่อทำการดูดซับให้กลายมาเป็นวงแหวนที่ยิ่งใหญ่ของมันอีกหนึ่งวงแหวน

พลังลมปราณจากร่างของราชาอสรพิษฟ้าครามกลับทำให้ร่างของเป่าฮู่รู้สึกร้อนผ่างออกมา ลมปราณที่เจ้าอสรพิษฟ้าครามตนนี้สะสมไว้กำลังระเหยออกไปแต่เป่าฮู่กลับฉุดคิดขึ้นได้

รีบระเบิดพลังเฮือกสุดท้าย สร้างอักขระปิดกั้นบริเวณรอบตัวของมันไว้ชั่วคราวและทำการดูดซับลมปราณพิษเหล่านั้นให้เข้าไปสู่แก่แท้แห่งพิษในตันเถียน

พลังลมปราณของราชาอสรพิษฟ้าครามไหลเข้าไปสู่แก่นแท้แห่งพิษและหมุนวนในตันเถียนจนหนาแน่นพอ และเมื่อลมปราณที่ถูกดูดซับมากพอ จนทำให้ช่วงชั้นที่กั้นกลางระหว่างระดับชั้นสั่นสะเทือน เป่าฮู่ผู้ที่กำลังเหยียบย่ำเท้าข้างหนึ่งเข้าสู่ระดับราชันลมปราณและยกระดับวงแหวนของตนเองขึ้นมาตามระดับชั้นของตนเอง

“ข้าเห็นแล้ว”

ม่านพลังที่ตั้งตระหง่านเป็นกำแพงลมปราณที่หนาแน่นและเมื่อเป่าฮู้รวบรวมพลังที่ได้จากการดูดซับจากร่างราชาอสรพิษฟ้าครามเป็นหนึ่งเดียวก็บีบอัดจนแหลมคมและทะลวงผ่านกำแพงขนาดใหญ่นั้นออกไป

(((ฟู่!))) “ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ในที่สุด ในที่สุดข้าก็ทะลวงผ่านมาได้ ข้าไม่จำเป็นต้องดูดซับเฉพาะลมปราณหยิน แต่ว่าลมปราณพิษจากสิ่งมีชีวิตที่สร้างพิษไว้ข้าก็แปลเปลี่ยนสภาพของมันได้เช่นกัน”

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์
Status: Ongoing
อ่านนิยายตำนานเทพยุทธ์ “ข้าจะกลับไปแก้แค้นพวกเจ้าทุกคน” ชายหนุ่มที่มีวัย เพียง 18 ปี ผู้เป็นศิษย์ที่มีพรแสวงมากที่สุด จากจำนวนศิษย์ภายใน สำนักกว่า 200 คน นามของเขาก็คือ เป่าฮู่ ชายผู้เกิดมาพร้อมชะตาที่อาภัพ บิดามารดาทั้งสองตกตายไปอย่างอนาถ ทิ้งชายหนุ่มหาเลี้ยงตนเองตลอดระยะเวลาหลายปี โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ดังนั้นบิดามารดาจึงได้ล้มตายจากไปอย่างมีเงื่อนงำ แต่เป่าฮู่ก็ไม่อับจนโชคชะตาซะทีเดียว สวรรค์มิได้รังแกเขามากนัก เด็กชายวัยเยาว์จึงถูกชุบเลี้ยงโดยอาวุโสระดับสูงของนิกายนักยุทธ์นาม เสวียนอู่ อันเป็นนิกายอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ การพบเจอด้วยความบังเอิญ จึงได้รับตัวเข้ามาเป็นศิษย์ชุบเลี้ยงอย่างเอ็นดูรักใคร่ดั่งบุตรในสายตระกูล

Comment

Options

not work with dark mode
Reset