ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน – ตอนที่ 991 พ่อลูกดวลกัน วิชาขั้นเทพของคุณชายสามเย่ (10)

ในที่สุดเสียงกระดิ่งในงานก็หยุดลง ทันใดนั้นทุกอย่างก็เงียบเป็นปกติ

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็ยังมึนงงไม่ได้สติกันอยู่ ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“เอ๊ะ? ทำไมหยุดแล้วล่ะ? เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่รู้สิ ใครเป็นคนหยุดเอาไว้?”

“เหมือนจะเป็นทางฝั่งของคุณชายสามเย่นะ”

“ประมูลไปถึง 1 ล้านแล้ว ถ้ายังไม่หยุดอีกคงขาดทุนตายเลย คุณชายสามเย่เป็นคนฉลาด เขาหยุดแค่นี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

“คุณชายสามเย่หยุดประมูลแค่นี้เป็นเรื่องปกติเหรอ? ทำไมฉันรู้สึกว่าคุณชายสามเย่จงใจล่ะ?”

“พูดเสียงเบาหน่อย รู้ไว้ในใจก็พอแล้ว”

“ในเมื่อคุณมู่ชอบสิ่งของชิ้นนี้ขนาดนี้ งั้นผมยอมปล่อยให้คุณมู่ก็ได้ครับ” ในห้องหมายเลข 9 มีเสียงของคุณชายสามเย่ดังออกมา น้ำเสียงฟังดูเนิบช้าและเบา แต่ทุกคำที่พูดออกมากลับชัดเจนมาก แต่ละคำนั้นได้ยินถึงหูของทุกคนอย่างชัดเจน

แน่นอนว่า ได้ยินไปถึงหูของหัวหน้าน้อยด้วย

“หัวหน้าน้อยครับ พวกเรา… ดูเหมือนว่าพวกเราจะตกหลุมพรางแล้ว” อะเฉียงเบ้ปากออกมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อครู่หัวหน้าน้อยแข่งกับคุณชายสามเย่อยู่ตลอด จนเขาเองก็ไม่สามารถห้ามได้

จานเส็งเคร็งใบนี้ประมูลได้ถึง 1 ล้าน จากนั้นจู่ ๆ คุณชายสามเย่ก็หยุดประมูล แล้วค้างไว้ที่ตัวเลขนี้ อะเฉียงมองยังไงก็รู้สึกว่าคุณชายสามเย่จงใจ

“ตกหลุมพรางอะไร? ก็แค่ 1 ล้านเองไม่ใช่เหรอ? สะใจดีออก” หัวหน้าน้อยกลับไม่คิดอย่างนั้น เขาคิดว่าเมื่อครู่นี้น่าสะใจดี ส่วนเรื่องเงิน 1 ล้าน เขาไม่สนใจเลยสักนิด

“หัวหน้าน้อยครับ พวกเราอย่าเอาแต่ใจแบบนี้ได้หรือเปล่า? คุณชายสามเย่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัดว่าพวกเราต้องตามเขา เลยจงใจวางแผนให้พวกเราตกหลุมพราง ของชิ้นนี้ไม่มีราคา ประมูลไป 1 ล้านก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ถ้าหากเป็นของที่มีคุณค่า แล้วราคาเพิ่มเป็นสิบเท่าร้อยเท่า นั่นไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ เลยนะครับ” อะเฉียงคิดว่าสถานการณ์อย่างนี้ เขาต้องเตือนหัวหน้าน้อยสักหน่อย จะให้หัวหน้าน้อยทำอะไรตามใจชอบอย่างนี้ไม่ได้

1 ล้านหมดไปก็ไม่เป็นไร แต่จะเสียเงินต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

“พวกเราขาดแคลนเงินเหรอ?” หัวหน้าน้อยหันไปปรายตามองอะเฉียง คำพูดนั้นช่างฟังดูสบายอกสบายใจเสียเหลือเกิน

สำหรับเขาแล้วเงินไม่ใช่ปัญหา เขาโตมาขนาดนี้ไม่เคยคำนึงถึงปัญหาเรื่องเงินมาก่อนเลย

“ครับ พวกเราไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่พวกเราจะสิ้นเปลืองอย่างนี้ไม่ได้นะครับ หัวหน้าน้อยไม่ได้ชอบวัตถุโบราณพวกนั้นเลยสักนิด ใช้เงินมากมายไปประมูลมาเป็นการสิ้นเปลืองเงินเกินไปแล้ว” อะเฉียงแอบถอนหายใจ แล้วพยายามพูดโน้มน้าวหัวหน้าน้อยของตัวเอง

“แกคิดว่าระหว่างฉันกับเย่ซือเฉิน ใครมีเงินมากกว่ากัน?” หัวหน้าน้อยกะพริบตาสองครั้ง จากนั้นก็ถามคำถามนี้ขึ้นมากะทันหัน

“หัวหน้าน้อย?” อะเฉียงอึ้งไปครู่หนึ่ง หัวหน้าน้อยหมายความว่าไง?

หัวหน้าน้อยคิดจะทำอะไรกันแน่?

“หรือว่า วันนี้ฉันจะลองพิสูจน์ดู……” ขณะที่สายตาอะเฉียงยังดูตกตะลึงอยู่ หัวหน้าน้อยก็ได้พูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคอย่างสบายใจ

“หัวหน้าน้อยครับ ถ้าหากเป็นเหมือนครั้งนี้อีกล่ะก็ ถึงเวลาคนที่ต้องเสียเงินก็มีแต่หัวหน้าน้อยนะครับ” อะเฉียงตั้งสติได้ก็กลืนน้ำลายลงคอ เขารู้สึกว่าหัวหน้าน้อยไม่ใช่กำลังแข่งกับคุณชายสามเย่อยู่หรอก แต่นี่มันหาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ

เขารู้สึกว่าการที่หัวหน้าน้อยทำแบบนี้เท่ากับผลาญเงินตัวเองแท้ ๆ ถ้าวิธีนี้ทำให้รู้ว่าคุณชายสามเย่มีเงินมากแค่ไหนก็แปลกแล้วล่ะ

“รอบหน้าตอนที่ประมูลฉันก็หยุดก่อน แล้วให้เย่ซือเฉินเป็นคนจ่ายเงิน แค่นี้ก็จบปัญหาแล้ว” หัวหน้าน้อยดูไม่แยแสอะไรเลย อีกทั้งดูค่อนข้างมั่นใจด้วย

วิธีการที่เย่ซือเฉินทำ เขาเองก็ทำได้เหมือนกัน เขาจะเสียเงินคนเดียวได้ยังไงล่ะ?

“หัวหน้าน้อยครับ คุณมั่นใจเหรอครับว่าคุณจะหยุดได้?” สำหรับเรื่องนี้อะเฉียงไม่ได้สงสัยหรอก แต่เขามั่นใจมากเลยล่ะ เขามั่นใจมาก ๆ ว่าถึงเวลานั้นหัวหน้าน้อยจะไม่หยุดประมูลก่อน

หัวหน้าน้อยนิสัยเป็นยังไง เขารู้ดีที่สุดแล้ว

“แกหุบปากได้แล้วน่า” แต่ไหนแต่ไรหัวหน้าน้อยเป็นคนที่ไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น คำพูดของอะเฉียงเขาฟังไม่เข้าหูเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้ พิธีกรดึงสติกลับมาได้แล้ว แน่นอนว่า ในเมื่อคุณชายสามเย่เอ่ยปากแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล และแน่นอนว่าเขาเป็นพิธีกรในงานประมูลมาหลายต่อหลายครั้ง จึงพบเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาไม่น้อยแล้ว

เห็นได้ชัดเจนว่าคุณชายสามเย่จงใจทำแบบนี้

“1 ล้านครั้งที่หนึ่ง 1 ล้านครั้งที่สอง 1 ล้านครั้งที่สาม จานสำริดใบนี้ตกเป็นของคุณมู่ครับ ยินดีกับคุณมู่ด้วยครับ” หลังจากที่พิธีกรตั้งสติได้ ก็ประกาศผลออกมา

ทุกคนต่างตกตะลึงกันไป ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงปรบมือดังขึ้น เพียงแต่เสียงปรบมือครั้งนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลกชอบกล

“สิ่งของชิ้นถัดไปที่จะประมูลคือภาพวาดมีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์ซ่ง เริ่มประมูลกันที่ราคาแปดสิบล้าน แต่ละครั้งเพิ่มเงินครั้งละห้าล้านนะครับ” บนโพเดียมได้เปลี่ยนสิ่งของชิ้นใหม่แล้ว สิ่งของในครั้งนี้ราคาสูงกว่าชิ้นที่แล้วมากทีเดียว

ราคาเริ่มต้นคือแปดสิบล้าน เสนอราคาแต่ละครั้งเพิ่มเงินครั้งละห้าล้าน สิบครั้งก็เท่ากับห้าสิบล้าน ถ้าหากเสนอราคาเก้าสิบครั้งเหมือนตอนประมูลจานสำริดรอบก่อน ราคาภาพวาดนี้ก็คง……

แต่ว่า ทุกคนที่อยู่ในงานต่างคิดว่าไม่น่าจะมีใครโง่ขนาดนั้นหรอก

อีกอย่าง คนที่รู้จักคุณชายสามเย่ต่างรู้ดีว่า ที่จริงแล้วคุณชายสามเย่ไม่สนใจภาพวาดมีชื่อเสียงแบบนี้หรอก เมื่อก่อนคุณชายสามเย่ไม่เคยซื้อภาพวาดอะไรพวกนี้เลย

ดังนั้นทุกคนคิดว่าคุณชายสามเย่ไม่น่าจะร่วมประมูล

“ลูกพี่ครับ ครั้งนี้พวกเราจะประมูลกันไหม?” กู้หวูหันไปมองภาพวาดที่วางประมูลอยู่บนเวที แล้วหันมามองเย่ซือเฉิน

“ประมูล” คุณชายสามเย่ยิ้มออกมา แล้วตอบกลับอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ เพียงคำเดียว แต่กลับดูมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่

“ลูกพี่ครับ แล้วครั้งนี้พวกเราจะหยุดที่ราคาเท่าไหร่ดีครับ?” เมื่อครู่เพิ่งชนะไป กู้หวูจึงมีความมั่นใจมาก และแน่นอนว่าเดิมทีกู้หวูก็มั่นใจในตัวลูกพี่ของตัวเองมากอยู่แล้ว

“สามร้อยล้าน เสนอราคาไปจนถึงสามร้อยล้านแล้วค่อยหยุด” เย่ซือเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้มนั้นมองแล้วทำให้รู้สึกหวั่นใจ

“สามร้อยล้าน?” เลขาหลิวแทบจะตะโกนออกมา : “ท่านประธานครับ คนคนนั้นไม่น่าจะตามจนถึงสามร้อยล้านหรอกมั้ง? ถ้าหากคนคนนั้นหยุดก่อน งั้นพวกเราก็ต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงิน”

“วางใจเถอะน่า เขาต้องตามแน่นอน” ขณะที่เย่ซือเฉินพูด นัยน์ตาลึก ๆ ของเขาก็มีแสงส่องประกายขึ้นมา

ถึงแม้เมื่อครู่เป็นเพียงการประลองกันสักตั้ง แต่เขากลับพอเข้าใจนิสัยของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าคนคนนั้นไม่มีทางหยุดก่อนแน่นอน

เขามั่นใจถึงขนาดที่ว่าคนคนนั้นไม่มีทางหยุดประมูลก่อนถึงสามร้อยล้านแน่นอน

“ท่านประธาน ถ้าหากฝ่ายนั้นหยุดก่อนล่ะ? นั่นสามร้อยล้านเชียวนะ ไม่ใช่สามล้าน” เลขาหลิวกังวลใจมาก เลขาหลิวคิดว่าถ้าหากฝ่ายนั้นเป็นคนปกติ คงไม่มีทางตกหลุมพรางเป็นครั้งที่สองอีกแน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามร้อยล้านนั่นไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ เลย คนคนนั้นเวลาจะประมูลยังไงก็ต้องคำนึงถึงปัญหาเรื่องเงินบ้างแหละใช่ไหม?

“ไม่มีทางเป็นไปได้” แต่คุณชายสามเย่กลับตอบกลับด้วยความมั่นใจอย่างมาก

คนคนนั้นเสนอราคารวดเร็วมาก ที่จริงสามร้อยล้านใช้เวลาไม่นานหรอก จากการประลองกันครั้งแรกคุณชายสามเย่ก็มองออกแล้ว คนคนนั้นนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ และคนคนนั้นไม่ใช่คนที่คำนึงถึงปัญหาเรื่องเงินเด็ดขาด

คนคนหนึ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าหากไม่คำนึงถึงเรื่องเงิน บวกกับนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจขนาดนั้น ถ้าคิดจะหยุดประมูลก่อน โอกาสเป็นไปได้แทบไม่มีเลย

ดังนั้น เขาจึงมั่นใจมาก

“งั้นผมประมูลเลยนะ” กู้หวูรู้สึกว่าตัวเองรอจนคันไม้คันมือไปหมดแล้ว ในเมื่อลูกพี่แสดงเจตนาชัดเจนขนาดนี้ เขาก็ไม่ต้องรีรออีกแล้ว

ดังนั้น กู้หวูจึงได้กดกระดิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง เพราะท่าทางโผงผาง ทำให้เสียงกดกระดิ่งค่อนข้างดัง ไม่ใช่แค่เสียงกระดิ่งเท่านั้น แต่เสียงที่กู้หวูแตะกระดิ่งแม้แต่คนที่อยู่ในห้องหมายเลข 10 ก็ยังได้ยิน

ที่จริงกู้หวูตั้งใจทำ เขาจงใจให้คนที่อยู่ห้องข้าง ๆ ได้ยิน

จากนั้น เขาก็รอคอย รอให้เสียงกระดิ่งของห้องหมายเลข 10 ดังขึ้นตามติด ๆ เหมือนรอบก่อน……

แต่ว่า

ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน

ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset