ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END – บทที่ 119: เขาต้องการฉันมากที่สุด

บทที่ 119: เขาต้องการฉันมากที่สุด

“อาจจะไม่ได้กลับไปด้วยแล้ว? ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

โรเอลหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะถามต่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่บิดาของเขากำลังจะสื่อ

เป็นบรรยากาศที่เลวร้ายชะมัด! เหมือนการเจรจาระหว่างยากูซ่าสองคนที่กำลังจะมีเรื่อง จากนั้นหนึ่งในนั้นก็พูดประมาณว่า ‘ฮ่า ๆ แกไม่มีทางรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้หรอก!’ อะไรทำนองนั้น

เกิดอะไรขึ้น? ราชวงศ์ได้จัดให้นักแม่นธนู 300 คนไปตั้งค่ายอยู่นอกประตู พร้อมจะเปลี่ยนเราเป็นเม่นในทันทีที่พวกเราเดินออกไปงั้นเหรอ? นั่นมันไม่สมเหตุสมผลเลยนะ …

อาจเป็นเพราะคาร์เตอร์สังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ที่โรเอลมองมาที่เขา มาร์ควิสจึงเสริมคำพูดของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ข้ามีงานด่วนน่ะ มีเรื่องด่วนบางอย่างเกิดขึ้น ข้าจึงไม่สามารถกลับบ้านไปพร้อมกับเจ้าได้แล้ว ข้าหมายถึงแบบนี้”

“หมายความว่าอย่างนั้นเองเหรอ! ท่านพ่อ เลิกทำให้ผมกลัวได้ไหม ผมมีหัวใจที่อ่อนแอนะ… เดี๋ยวก่อนนะ นี่ท่านพ่อเพิ่งได้รับข่าวนี้งั้นเหรอ?”

“ใช่แล้ว องค์ชายเคนเพิ่งแจ้งเหล่าผู้บัญชาการและหัวหน้าระดับสูงของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนจะถูกสั่งให้อยู่ต่อหลังจากงานเลี้ยงจบ”

คาร์เตอร์ถอนหายใจอย่างกังวล เขาน่าจะกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ เห็นได้ชัดจากปฏิกิริยาของเขา นี่ทำให้โรเอลรู้ได้ในทันทีว่าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว

พวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางงานเลี้ยงที่มีตัวหลักของงานคือนอร่าและตระกูลแอสคาร์ด นอกจากนี้สถานที่จัดงานยังเป็นห้องโถงเซนต์เซชูร์อันทรงเกียรติอีกด้วย ในแง่ของขนาดแล้ว งานนี้ถือว่ายิ่งใหญ่กว่างานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนอร่าเลยด้วยซ้ำ

เรื่องด่วนที่ว่าต้องเป็นอะไรที่สำคัญมากถึงสามารถเข้ามาขัดจังหวะงานเลี้ยงนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นหัวข้อที่ต้องรั้งตัวเจ้าหน้าที่และนายทหารทั้งหมดให้อยู่ต่อหลังจากที่งานเลี้ยงจบลงแล้วอีก ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมาก

โรเอลเหลือบมองกลับไปที่ห้องโถง ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ทหารกว่าร้อยคนในเครื่องแบบปะปนอยู่ทั่วห้องโถง มันคงเป็นเรื่องใหญ่มากจริง ๆ ถึงทำให้พวกเขาทุกคนต้องกลับมา

“ท่านพ่อ สะดวกไหมที่จะบอกผมว่าเรื่องด่วนที่ว่ามันเกี่ยวกับอะไร”

โรเอลถามด้วยเสียงเรียบ

คาร์เตอร์มีท่าทางลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ช่างมันเถอะ เร็ว ๆ นี้ยังไงเจ้าก็ต้องรู้อยู่ดี… พวกเราตรวจพบความผิดปกติบางอย่างในบริเวณใกล้เคียงของป้อมปราการทาร์ก”

“อะไรนะ?! พวกกล-”

ก่อนที่โรเอลจะหลุดปากพูดออกมา คาร์เตอร์ก็รีบเอามือมาปิดปากเขาไว้ก่อน คู่พ่อลูกสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว แล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่เห็นว่าไม่มีใครเฝ้าดูพวกเขาอยู่แล้ว

“นี่เป็นข้อมูลความลับทางทหาร พวกเราไม่ได้ประกาศมันออกไป เพราะมันอาจจะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ห้ามปล่อยให้ข้อมูลนี้รั่วไหลออกไปโดยเด็ดขาด”

“ผมเข้าใจ แต่… เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป”

โรเอลกลืนน้ำลาย ตั้งแต่วินาทีที่เขาได้ยินข่าว หัวใจของเขาก็เต้นแรงไม่หยุด การค้นพบการเคลื่อนไหวของพวกกลายพันธุ์ อาจดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก แต่สำหรับใครก็ตามที่มีความรู้พื้นฐานทางด้านการทหารจะรู้เกี่ยวกับความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี

พวกกลายพันธุ์จะไม่โผล่ออกมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนพวกสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูร การค้นพบร่องรอยของพวกกลายพันธุ์นั้นไม่ต่างอะไรไปจากโหมโรงของสงคราม สำหรับพวกกลายพันธุ์แล้วมีเพียงแค่สองกรณีเท่านั้น ก็คือพื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยพวกกลายพันธุ์แล้ว หรือไม่ก็ไม่มีพวกมันเลย

การอพยพของมนุษย์ในช่วงสิ้นสุดยุคที่สอง ไม่เหมือนกับการย้ายจากอาณาจักรหนึ่งไปอีกอาณาจักรหนึ่ง มันเป็นการอพยพครั้งใหญ่ในระดับนานาชาติ เป้าหมายปลายทางของพวกเขาอาจต้องใช้เวลาหลายปี พวกเขาเดินทางมาเป็นระยะทางไกลแสนไกล จนในที่สุดก็มาถึงดินแดนอันสงบสุขแห่งนี้

คำถามก็คือ ถ้าพวกกลายพันธุ์ต้องเดินทางไกลแบบเดียวกัน เพื่อไปให้ถึงเขตแดนของมนุษยชาติ พวกมันจะมาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นจริง ๆ เหรอ?

ยิ่งลงทุนมากเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่หวังจะได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หลักการพื้นฐานนี้ใช้กับพวกกลายพันธุ์ได้เช่นกัน การปรากฏตัวของพวกกลายพันธุ์ เป็นดังคำประกาศเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งความโกลาหล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาหมายจะเปิดฉากการโจมตีครั้งใหญ่

เวลาเพิ่งผ่านมาเพียง 80 ปี นับตั้งแต่การรุกรานครั้งสุดท้ายของพวกกลายพันธุ์มายังทางตะวันตกของทวีปเซีย ในโลกที่การเดินทางและการสื่อสารไม่สะดวกเช่นนี้ เวลา 80 ปีไม่ได้ถือว่านานนักเท่าไหร่เลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแปลกที่พวกกลายพันธุ์จะบุกโจมตีอีกครั้งด้วยระยะเวลาที่รวดเร็วถึงขนาดนี้

“ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไปนะ โรเอล ข้าจะไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนี้เป็นวิกฤตการณ์ที่รุนแรง แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้เลวร้าย”

คาร์เตอร์ตบไหล่ที่ตึงเครียดของลูกชาย แล้วจึงเริ่มอธิบายสถานการณ์จากมุมมองทางการทหารของเขา หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของคาร์เตอร์ ความกังวลของโรเอลก็บรรเทาลงเล็กน้อย

สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องปกติในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ฐานทัพหลักทางตะวันออกทั้งสองแห่งในอาณาเขตของมนุษย์มักจะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในทุก ๆ สองสามทศวรรษ อย่างไรก็ตามพวกเขามักจะสามารถขับไล่พวกกลายพันธุ์กลับไปได้สำเร็จเนื่องจากจำนวนที่มีจำกัดของพวกมัน แต่มีเพียง 4 ครั้งเท่านั้นที่การบุกโจมตีของพวกกลายพันธุ์จากทางทิศตะวันตกมีชื่อเสียงจนคนส่วนใหญ่รู้จัก ซึ่งล้วนเป็นช่วงที่ฐานทัพหลักไม่สามารถยับยั้งศัตรูเอาไว้ได้

“ตราบใดที่เราสามารถจัดการพวกมันได้ จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ที่พวกเราต้องปิดข่าวนี้จากประชาชนก็เพื่อป้องกันความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น สถานการณ์ปัจจุบันก็คือประมาณนี้”

“เข้าใจแล้วครับ ค่อยยังชั่ว”

เมื่อเห็นว่าคาร์เตอร์ค่อนข้างสงบต่อเรื่องนี้ โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในฐานะลูกชายของตระกูลทหาร มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะกังวลเกี่ยวกับสงครามขนาดใหญ่ ดังนั้นเด็กชายจึงโล่งใจเมื่อได้ยินว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

“เอาล่ะ เจ้าไม่ควรเก็บมันไปใส่ใจ ควบคุมอารมณ์ให้ดี วันนี้เจ้าเป็นดาวเด่นของงานเลยนะ”

คาร์เตอร์ตบไหล่โรเอลอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องโถง อย่างไรก็ตามโรเอลนั้นมีสีหน้าที่ดูลำบากใจเป็นอย่างมาก

“ในเมื่อรู้แล้ว มันก็ยากที่จะทำเป็นไม่เคยได้ยินอะไรล่ะนะ…”

โรเอลใช้เวลาสงบสติอารมณ์ลงอีกครั้ง นำรอยยิ้มกลับมาบนใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นยืดอกก่อนที่จะเดินไปทางนอร่า เมื่อเด็กสาวสังเกตเห็นว่าเขากำลังเดินมา เธอก็เดินเข้าไปหาโรเอล

“มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านลุงคาร์เตอร์งั้นเหรอ?”

“โอ้? ไกลขนาดนั้นเธอสังเกตเห็นด้วยเหรอ?”

“แน่นอนสิ มันเป็นเรื่องปกติของข้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอที่จะต้องคอยจับตาดูคู่ของข้าระหว่างงานเลี้ยง?”

“อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ มีบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ แต่เก็บเอาไว้คุยกันหลังจากงานเลี้ยงจบแล้วดีกว่า”

นอร่ามองไปที่โรเอลซึ่งดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ในท้ายที่สุดเธอเลือกที่จะไม่สอบสวนต่อ ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังฝั่งของพระสังฆราชจอห์นด้วยกัน โดยโรเอลคิดจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายของงานเลี้ยงพูดคุยกับชายชราคนนี้

ทันทีที่พวกเขารวมตัวกัน จอห์นก็จับมือโรเอลและเริ่มพูดถึงวัยเด็กของนอร่ากับเขา บางทีโรเอลอาจแค่คิดมากไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่วิธีการพูดคุยของจอห์นดูเป็นกันเองมากขึ้นกว่าครั้งแรกที่พวกเขาพบกันเสียอีก มันเหมือนกับการพูดคุยกับคุณปู่ที่เป็นมิตรในละแวกบ้านจริง ๆ ชายชราเปิดเผยประวัติศาสตร์อันมืดมนของนอร่าโดยไม่ลังเล ทำให้หญิงสาวผมทองเขินขึ้นมาเล็กน้อย

“ท่านปู่ ทำไมท่านถึงบอกเขาเรื่องพวกนั้นล่ะ?”

“เอ๋ มันไม่มีอะไรมากเลยใช่ไหมโรเอล พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วใช่ไหม?”

“ใช่แล้วครับ แน่นอน”

เมื่อเห็นว่าเด็กชายผมดำพยักหน้าอย่างจริงจังเพื่อตอบคำถามของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของจอห์นก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้ว่าประวัติศาสตร์อันดำมืดจะรั่วไหลเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาทั้งสามก็ใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสนาน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ในที่สุดงานเลี้ยงก็จบลง

ที่โต๊ะอาหารในคฤหาสน์เขาวงกตของตระกูลแอสคาร์ด อลิเซียอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นร่องรอยความกังวลเล็ก ๆ บนใบหน้าของเด็กชายผมดำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ

ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเขากลับมาจากพระราชวัง แต่โรเอลก็ยังดูไม่เป็นปกติเท่าไหร่ อลิเซียที่มันจะสังเกตพี่ชายของเธออยู่เสมอ จึงมองเห็นสิ่งผิดปกติได้ในทันที และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่

เด็กสาวชำเลืองมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว มีเพียงแค่สาวใช้และคนรับใช้สองแถวยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา

อลิเซียเบนสายตาไปที่ที่นั่งหลักบนโต๊ะอาหาร มันว่างเปล่า

ตามหลักแล้วสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลแอสคาร์ด ควรกลับมาพร้อม ๆ กัน แต่คาร์เตอร์กลับบอกว่ามันเป็นโอกาสหายากที่บุคลากรทางทหารและอัศวินจำนวนมากจะมารวมตัวกันแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการที่จะจัดงานสังสรรค์หลังจากงานเลี้ยงต่อ เป็นผลให้โรเอลและอลิเซียต้องออกมาจากห้องจัดเลี้ยงกันสองคน

แม้แต่ตอนที่พวกเขากำลังนั่งรถม้ากลับมา อลิเซียก็ยังสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ปกติแล้ว เมื่อใดก็ตามที่โรเอลหมกมุ่นอยู่กับช่วงครึ่งแรกของวันและไม่สามารถให้เวลากับเธอได้ เขาจะชดเชยให้ในเวลาครึ่งวันหลัง ทว่าโรเอลพูดคุยกับเธอเพียงครู่หนึ่งหลังจากขึ้นไปบนรถม้าก่อนที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความงุนงง เหมือนว่าจะมีอารมณ์ที่มืดมนพอสมควร

ตอนแรกอลิเซียคิดว่าโรเอลอาจจะรู้สึกแย่ที่ต้องแยกทางกับนอร่า เพราะพวกเขากำลังจะกลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ดในไม่ช้า ซึ่งจะทำให้เขาพบกับเธอได้ยากขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ อลิเซียจึงโกรธเคืองอยู่เงียบ ๆ และตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อโรเอลตลอดการนั่งบนรถม้า แต่ในไม่ช้าเธอก็ตระหนักได้ว่า มีเหตุผลอย่างอื่นกำลังรบกวนท่านพี่ของเธออยู่

อลิเซียหันกลับไปหาโรเอลอีกครั้ง อีกฝ่ายดูเหมือนจะกินข้าวตามปกติ แต่ด้วยทุกครั้งที่เขากิน ดวงตาของเขาจะพุ่งไปยังที่นั่งที่ว่างอยู่ของคาร์เตอร์ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจึงนับอาการดังกล่าวตลอดมื้อค่ำ และนี่เป็นครั้งที่สิบห้าที่เขาทำเช่นนั้น

เว้นเสียแต่ว่าพี่ชายของเธอจะตื่นมาพร้อมกับรสนิยมแปลก ๆ บางอย่าง นี่น่าจะหมายความว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับพ่อของพวกเขา แต่ปัญหาแบบไหนกันที่จะเกิดขึ้นกับพ่อของพวกเขาได้?

พ่อของพวกเขาเป็นผู้นำของตระกูลแอสคาร์ด หนึ่งในห้าตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียง! หากเขาไม่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง แม้แต่ราชวงศ์ก็ไม่สามารถลงโทษเขาได้…

เดี๋ยวก่อน หรือว่าอาจจะเป็น… แม่เลี้ยงงั้นเหรอ?

อลิเซียขยายขอบเขตความคิดของเธอออกไป เธอก็นึกถึงบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายที่มารวมตัวกันรอบ ๆ คาร์เตอร์ในช่วงก่อนงานเลี้ยง ยิ่งเธอคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น

คาร์เตอร์บอกว่ามันจะเป็นการรวมกันในหมู่ทหาร แต่เมื่อลองคิด ๆ ดูแล้วมีโอกาสมากมายที่พวกเขาจะมารวมตัวกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ได้นี่นา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพิธีอันเหน็ดเหนื่อยที่เพิ่งผ่านพ้นไปด้วย

เป็นไปไม่ได้… ท่านพ่อกำลังออกเดทกับผู้หญิงคนอื่นงั้นเหรอ? ต้องใช่แน่ ๆ นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่ใหญ่โรเอลรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร

แต่ว่าท่านพ่อจะทำอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?

เพื่อความปลอดภัย อลิเซียคิดว่าทางที่ดีที่สุด เธอควรจะลองถามอ้อม ๆ กับโรเอลก่อน

“พี่ใหญ่ กำลังคิดเรื่องของท่านพ่ออยู่เหรอคะ?”

“หืม? อลิเซีย เธอรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”

“ใช่ค่ะ หนูพอมีความคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์นี้”

ดวงตาที่ดูกังวลของอลิเซียทำให้โรเอลตกตะลึงเล็กน้อย เขานึกว่าคาร์เตอร์จะยังไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้อลิเซียทราบ แต่ดูเหมือนว่าพ่อของพวกเขาจะเปิดเผยข้อมูลให้กับพวกเขาทั้งคู่เท่า ๆ กัน

คงไม่มีประโยชน์ที่จะซ่อนเรื่องนี้จากอลิเซียสินะ เพราะยังไงไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องได้รู้เรื่องนี้อยู่ดี

โรเอลก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางช้อนซุปลงและถอนหายใจยาว ๆ

“มันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป พี่เลยยังปรับตัวกับมันไม่ได้เท่าไหร่”

“หนูเข้าใจความรู้สึกของพี่ใหญ่ดีค่ะ”

อลิเซียก้มศีรษะลงอย่างเศร้าสร้อย เธอเคยผ่านประสบการณ์ที่ต้องเผชิญกับสมาชิกใหม่ในครอบครัวมาก่อน ดังนั้นเธอจึงเข้าใจความสับสนที่โรเอลรู้สึกได้ในขณะนี้ เธอโชคดีที่ได้พบกับคนที่ใส่ใจเธอเช่นโรเอล แต่เด็กสาวก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าแม่เลี้ยงของพวกเขาจะใส่ใจแบบเดียวกันกับโรเอล ถ้าหากคาร์เตอร์แต่งงานใหม่

“ท่านพี่ ถ้าท่านพ่อตั้งใจจะเป็นฝ่ายลงมือในครั้งนี้ พี่จะสนับสนุนเขาไหม?”

“เฮ้อ… พี่เข้าใจเขานะ แต่ถ้าให้พูดตามตรง พี่ไม่ต้องการให้เขาเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้”

โรเอลเคยอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับป้อมปราการทาร์กในหนังสือ มันตั้งอยู่ตรงชายแดนของดินแดนมนุษย์และเป็นที่รู้จักกันดีในความด้อยพัฒนาของมัน แม้ว่าคาร์เตอร์จะเป็นชายชาติทหาร แต่ถ้าหากเขาต้องไปประจำการอยู่ในที่แบบนั้นเขาก็คงจะต้องทุกข์ทรมานแน่

อย่างไรก็ตามคาร์เตอร์ก็ยังเป็นทหารผ่านศึก นอกจากนี้ การบุกรุกของพวกกลายพันธุ์เองก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติอีกด้วย ไม่มีทางที่คาร์เตอร์จะนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้แน่

“เฮ้อ… ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าฉันควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้…”

โรเอลมองออกไปนอกเส้นขอบฟ้าอันมืดมิด พลางพึมพำกับตัวเองอย่างเป็นกังวล เมื่อเห็นสิ่งนี้ อลิเซียก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอถูกบีบเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด

พี่ใหญ่โรเอลช่างน่าสงสารจริง ๆ แม้ว่านอร่าจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของครอบครัวมากกว่าสิ่งอื่นใด คนที่เขาต้องการมากที่สุดคือเราสินะ!

“พี่ใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจะไม่ทิ้งพี่ ได้โปรดเชื่อในตัวหนูเถอะ”

อลิเซียวางมือลงบนหน้าอกของเธอ ก่อนจะมองไปที่โรเอลด้วยดวงตาอันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ
Score 5.9
Status: Ongoing Released: N/A Native Language: Chinese
อ่านนิยาย ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบโรเอล แอสคาสต์ เด็กชายที่โชคชะตาของเขาได้ถูกกำหนดให้เป็นตัวร้ายและเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของใครหลายคน… ซ้ำร้ายชีวิตของเขาได้ถูกขีดเส้นตายไว้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็ต้องพบกับจุดจบที่โหดร้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ และถ้าเป็นคุณล่ะ…จะทำเช่นไร !!! นี่คือปฐมบทเรื่องราวของชายหนุ่มที่หลงใหลคลั่งไคล้ในการเล่นเกม ที่ต้องมาใช้ชีวิตในเกมที่เขาเคยเล่นแต่ทว่าตัวละครที่เขาได้รับมานั้นกลับเป็น ‘ตัวร้าย’ ซะนี่ ภารกิจกำจัดเดธแฟล็ก{จุดจบของตัวละคร}จึงได้เริ่มต้นขึ้น เรื่องราวจะกลับตาลปัตรแค่ไหนมาร่วมลุ้นกันได้ใน ทรราชตัวน้อยไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END !!!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset