ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน – ตอนที่ 79 คำนินทา

บทที่ 79 คำนินทา พูดมาถึงตรงนี้ จวี๋ฮวาก็พลันอธิบายกระอึกกระอักเล็กน้อย “ข้าไม่ได้จะเย้ยหยันเจ้านะ ข้าเพียงคิดว่าเราสองคนสนิทกัน ถ้าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงก็ดีแล้ว แต่ถ้าจริง ข้าว่าเจ้าเลิกคบค้ากับคนพวกนั้นดีกว่า มันไม่ดีกับตัวเจ้า” คำพูดของจวี๋ฮวาทำเอาจางซิ่วเอ๋อจับต้นชนปลายไม่ถูก ถามกลับด้วยความงุนงง “จวี๋ฮวา นี่มันเรื่องอะไรกัน? ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย” จวี๋ฮวาได้ฟังก็มีดวงตาเป็นประกาย พูดอย่างดีใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น ต้องเป็นแค่คำนินทาของคนพวกนั้นแน่ ๆ” “นินทาอะไร?” จางซิ่วเอ๋อพอจับใจความได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตนเอง แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นนางยังงงอยู่ จวี๋ฮวาพูดใส่อารมณ์ “มีคนบอกว่าเจ้าใช้เรือนร่างแลกเงินของพวกเขา” นางพูดเสร็จแล้วก็หน้าแดง รู้สึกไม่ดีเลยที่เรื่องแบบนี้ต้องออกจากปากตน จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็อึ้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงจะได้สติ “ใครเป็นคนพูด?” จวี๋ฮวาเอ่ย “สองสามวันมานี้ข้าไปซักผ้าแถวแม่น้ำ ข้าก็ได้ยินคนพูดกัน พูดกันเป็นตุเป็นตะเลยล่ะ บอกว่าหลี่เอ้อร์ หวังหมาจือในหมู่บ้านเคยให้เงินเจ้าทั้งนั้น…..” จางซิ่วเอ๋อกุมขมับ รู้สึกเหมือนโดนอสนีบาต! ความสามารถในการสร้างเรื่องใส่ร้ายของชาวบ้านชิงสือนี่สุดยอดจริง ๆ จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจแรง เอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะจวี๋ฮวาที่บอกเรื่องนี้กับข้า แล้วก็ขอบคุณที่เชื่อข้าด้วย” “ซิ่วเอ๋อ ทำไมเจ้านิ่งเฉยได้ขนาดนี้ล่ะ?” จวี๋ฮวามองจางซิ่วเอ๋ออย่างฉงน นึกว่าหลังจากที่ตัวเองเล่าให้จางซิ่วเอ๋อฟังแล้วอีกฝ่ายจะอับอายและโกรธเคืองหรืออาจจะร้องไห้เสียอีก แต่ตอนนี้นอกจากหน้าตาจางซิ่วเอ๋อจะดูมืดครึ้มลงไปบ้าง ทว่านางดูเหมือนจะไม่ได้เจ็บปวดนัก จางซิ่วเอ๋อไม่เจ็บปวดทุรนทุรายเพราะคำนินทาไม่กี่คำของคนอื่นหรอก แต่นางโมโหจริง ๆ พอคิดได้ว่ามีคนกลุ่มพูดถึงตัวเองลับหลังแบบนี้ และอีกหน่อยอาจจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของชุนเถาและซานหยา นางก็เดือดจัด! อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นคนพูด ไม่อย่างนั้นนางได้ฉีกปากคน ๆ นั้นให้เละแน่! จางซิ่วเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาต “ข้าเป็นแม่ม่าย โดนใส่ร้ายแบบนี้ ถึงข้าร้องไห้ก็เปล่าประโยชน์! กลับทำให้พวกคนที่ใส่ร้ายข้าสะใจเสียอีก!” พูดมาถึงตรงนี้ สายตาจางซิ่วเอ๋อก็ดูอ่อนโยนขึ้น “จวี๋ฮวา เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะเป็นอะไรหรอก เจ้ารีบไปทำกับข้าวเถอะ ข้าจะกลับแล้ว” ที่บ้านทำปลาเป็นอาหารเย็น ซานหยาจึงกินอย่างเปรมปรีดิ์ นางยังเด็กเกินไป เรื่องที่ลือกันในหมู่สตรีแบบนี้นางไม่รู้เรื่องแน่นอน แต่ต่อให้ตอนนี้แม่โจวยังไม่รู้ ช้าเร็วก็ต้องรู้ จางซิ่วเอ๋อนวดขมับตัวเอง กังวลว่าแม่โจวจะเครียดแทนตน ถ้าวิตกเกินเหตุไม่ใช่เรื่องดีแน่ เช้าวันรุ่งขึ้น จางซิ่วเอ๋อได้แบกของเข้าเมือง โดยนั่งรถลากของเฒ่าหลี่เหมือนเดิม พวกผู้หญิงบนรถนั่งกันเป็นกลุ่ม มองจางซิ่วเอ๋อด้วยสายตาแปลก ๆ ตลอด บทจะพูดจากันก็สื่อนัยยะ จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ปล่อยข่าวพวกนี้ มาทะเลาะกับพวกที่ฟังเขาพูดมาอีกทีแล้วก็เอาไปเล่าต่อตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ และอาจจะทำให้คนพวกนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังดีที่บนรถไม่มีคนแบบแม่หลิน คนพวกนี้จึงแค่นินทา ไม่ได้เข้ามาชวนทะเลาะ ทันทีที่จางซิ่วเอ๋อเข้าเมือง นางก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล อย่างกับมีคนสะกดรอยตามตน จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้ว หรือมีใครหมายหัวนาง? แต่วันนี้นอกจากเหรียญค่านั่งรถ นางก็ไม่ได้เอาอะไรมาเลย ตั้งใจจะขายปลากับเครื่องเทศให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปซื้อของที่ต้องการซื้อ นี่มันเรื่องอะไรกัน? จางซิ่วเอ๋อตัดสินใจว่าจะรีบเอาของไปขายแล้วรีบกลับ ถึงแม้ยังไม่มั่นใจนักว่าความรู้สึกแปลก ๆ นั้นเป็นการคิดไปเองหรือไม่ แต่ก็ไม่สบายใจอยู่ดี หารู้ไม่ ตอนที่นางกำลังไปโรงเตี๊ยมฝูหยวนและจะเดินเข้าประตูไปอยู่แล้ว กลับถูกขวางไว้ จางซิ่วเอ๋อจำคนผู้นี้ได้ เขาคือเสี่ยวเอ้อที่โรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวี ก็คือคนที่คราวก่อนดูถูกนาง แต่จางซิ่วเอ๋อตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้จักคนผู้นี้ จึงเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นใคร? ขวางข้าทำไม?” “แม่นางเถาฮวา! ข้าขออภัยได้หรือไม่? เจ้าอย่าไปโรงเตี๊ยมฝูหยวนเลยนะ ถ้าวันนี้เจ้าเข้าโรงเตี๊ยมฝูหยวนไป เถ้าแก่ตีข้าขาหักแน่!” เสี่ยวเอ้อพูดอย่างน่าสงสาร แทบจะเช็ดน้ำตา จางซิ่วเอ๋ออึ้ง นี่มันเรื่องอะไร? ไม่ได้มาหาเรื่องเอาคืนหรอกเหรอ? จางซิ่วเอ๋อดึงแขนเสื้อตัวเองออกจากมือเสี่ยวเอ้อ “เจ้าอย่ามายื้อยุดข้านะ” “แม่นางเถาฮวา เจ้าตกลงกับเถ้าแก่แล้วไม่ใช่หรือว่าจะไปอิ๋งเค่อจวี ข้ารู้ว่าที่เจ้าไปโรงเตี๊ยมฝูหยวนเพราะคราวก่อนข้าล่วงเกินเจ้า แต่เจ้าโปรดมีเมตตา เจ้าเป็นคนดีจิตใจกว้างขวาง อย่าถือสาข้าเลยนะ” เสี่ยวเอ้อพูดอย่างขมขื่น จางซิ่วเอ๋อมองเสี่ยวเอ้ออย่างไม่เข้าใจ “นี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเอ้อรีบบอก “คืออย่างนี้ เครื่องปรุงที่เจ้าขายให้ร้านเราคราวก่อนใช้ดีมาก เถ้าแก่ของเราอยากคุยเรื่องซื้อขายกับเจ้า แต่ช่วงนี้เจ้าไม่มาเลย เขาจึงสั่งข้าให้เฝ้าหน้าทางเข้าเมืองไว้ ในที่สุดวันนี้ก็เจอเจ้า” จางซิ่วเอ๋อมองเขาอย่างไม่พอใจและเอ่ยคาดคั้น “เมื่อครู่เจ้าเป็นคนสะกดรอยตามข้ามาเหรอ?” เสี่ยวเอ้อรีบบอก “ข้าไม่ได้สะกดรอยตามเจ้า ข้าเดินอยู่ข้างหลังเจ้าอย่างเปิดเผยตลอด แค่ยังคิดไม่ออกว่าจะขอโทษเจ้าอย่างไรดี” เห็นเสี่ยวเอ้อทำท่าพร้อมโดนดุด่าทุบตี จางซิ่วเอ๋อก็รู้แล้วว่าไม่มีอันตราย นางจึงแอบโล่งใจ ตอนแรกนึกว่าตัวเองไปมีเรื่องกับใครไว้เสียอีก ที่ไหนได้ครั้งก่อนทางโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวีซื้อเครื่องปรุงไปแล้วใช้ดี จึงอยากซื้อเพิ่ม ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของจางซิ่วเอ๋อ การขายเครื่องปรุงให้อิ๋งเค่อจวีตัดปัญหาไปได้เยอะจริง ๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเสนอขายที่โรงเตี๊ยมฝูหยวน แถมยังได้ราคาที่น่าพอใจกว่า แต่ถึงอย่างนั้นจางซิ่วเอ๋อก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก นางจึงถามลองเชิง “ไม่ทราบว่าคุณชายฉินกินอาหารที่ใส่เครื่องเทศนี้แล้วเขาว่าอย่างไรบ้าง?” เสี่ยวเอ้อพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง “ช่วงนี้คุณชายฉินไม่อยู่ในแคว้นชิงสือ ได้ข่าวว่ามีธุระให้ออกไปข้างนอก” จางซิ่วเอ๋อเห็นแววผิดหวังในสายตาเขาแล้วไม่เหมือนโกหก จึงรู้สึกเบาใจ ส่วนเถ้าแก่ของอิ๋งเค่อจวีน่ะเหรอ? คนค้าขายเห็นแก่กำไร เขาต้องเห็นแก่ผลประโยชน์และไม่ถือสาเรื่องเล็กพวกนั้นของตัวเองหรอก แถมตอนนี้ส่งเสี่ยวเอ้อมาขอโทษด้วย เห็นได้ว่าเขาจริงใจอยู่ คิดได้แบบนี้จางซิ่วเอ๋อก็นึกในใจ เอาเถอะ ยอมตามเสี่ยวเอ้อไปดูหน่อยก็ได้ โบราณบอกว่าคนยอมตายเพราะเงิน นกยอมตายเพราะอาหาร นางก็ต้องมุ่งหาผลประโยชน์สูงสุด ไม่อย่างนั้นมัวแต่กลัวนู่นกลัวนี่แล้วเมื่อไรจะได้มีชีวิตที่ดี? ……………………………………

บทที่ 79 คำนินทา

พูดมาถึงตรงนี้ จวี๋ฮวาก็พลันอธิบายกระอึกกระอักเล็กน้อย “ข้าไม่ได้จะเย้ยหยันเจ้านะ ข้าเพียงคิดว่าเราสองคนสนิทกัน ถ้าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงก็ดีแล้ว แต่ถ้าจริง ข้าว่าเจ้าเลิกคบค้ากับคนพวกนั้นดีกว่า มันไม่ดีกับตัวเจ้า”

คำพูดของจวี๋ฮวาทำเอาจางซิ่วเอ๋อจับต้นชนปลายไม่ถูก ถามกลับด้วยความงุนงง “จวี๋ฮวา นี่มันเรื่องอะไรกัน? ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย”

จวี๋ฮวาได้ฟังก็มีดวงตาเป็นประกาย พูดอย่างดีใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น ต้องเป็นแค่คำนินทาของคนพวกนั้นแน่ ๆ”

“นินทาอะไร?” จางซิ่วเอ๋อพอจับใจความได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตนเอง แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นนางยังงงอยู่

จวี๋ฮวาพูดใส่อารมณ์ “มีคนบอกว่าเจ้าใช้เรือนร่างแลกเงินของพวกเขา”

นางพูดเสร็จแล้วก็หน้าแดง รู้สึกไม่ดีเลยที่เรื่องแบบนี้ต้องออกจากปากตน

จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็อึ้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงจะได้สติ “ใครเป็นคนพูด?”

จวี๋ฮวาเอ่ย “สองสามวันมานี้ข้าไปซักผ้าแถวแม่น้ำ ข้าก็ได้ยินคนพูดกัน พูดกันเป็นตุเป็นตะเลยล่ะ บอกว่าหลี่เอ้อร์ หวังหมาจือในหมู่บ้านเคยให้เงินเจ้าทั้งนั้น…..”

จางซิ่วเอ๋อกุมขมับ รู้สึกเหมือนโดนอสนีบาต! ความสามารถในการสร้างเรื่องใส่ร้ายของชาวบ้านชิงสือนี่สุดยอดจริง ๆ

จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจแรง เอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะจวี๋ฮวาที่บอกเรื่องนี้กับข้า แล้วก็ขอบคุณที่เชื่อข้าด้วย”

“ซิ่วเอ๋อ ทำไมเจ้านิ่งเฉยได้ขนาดนี้ล่ะ?” จวี๋ฮวามองจางซิ่วเอ๋ออย่างฉงน นึกว่าหลังจากที่ตัวเองเล่าให้จางซิ่วเอ๋อฟังแล้วอีกฝ่ายจะอับอายและโกรธเคืองหรืออาจจะร้องไห้เสียอีก แต่ตอนนี้นอกจากหน้าตาจางซิ่วเอ๋อจะดูมืดครึ้มลงไปบ้าง ทว่านางดูเหมือนจะไม่ได้เจ็บปวดนัก

จางซิ่วเอ๋อไม่เจ็บปวดทุรนทุรายเพราะคำนินทาไม่กี่คำของคนอื่นหรอก แต่นางโมโหจริง ๆ พอคิดได้ว่ามีคนกลุ่มพูดถึงตัวเองลับหลังแบบนี้ และอีกหน่อยอาจจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของชุนเถาและซานหยา นางก็เดือดจัด!

อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นคนพูด ไม่อย่างนั้นนางได้ฉีกปากคน ๆ นั้นให้เละแน่!

จางซิ่วเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาต “ข้าเป็นแม่ม่าย โดนใส่ร้ายแบบนี้ ถึงข้าร้องไห้ก็เปล่าประโยชน์! กลับทำให้พวกคนที่ใส่ร้ายข้าสะใจเสียอีก!”

พูดมาถึงตรงนี้ สายตาจางซิ่วเอ๋อก็ดูอ่อนโยนขึ้น “จวี๋ฮวา เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะเป็นอะไรหรอก เจ้ารีบไปทำกับข้าวเถอะ ข้าจะกลับแล้ว”

ที่บ้านทำปลาเป็นอาหารเย็น ซานหยาจึงกินอย่างเปรมปรีดิ์ นางยังเด็กเกินไป เรื่องที่ลือกันในหมู่สตรีแบบนี้นางไม่รู้เรื่องแน่นอน แต่ต่อให้ตอนนี้แม่โจวยังไม่รู้ ช้าเร็วก็ต้องรู้

จางซิ่วเอ๋อนวดขมับตัวเอง กังวลว่าแม่โจวจะเครียดแทนตน ถ้าวิตกเกินเหตุไม่ใช่เรื่องดีแน่

เช้าวันรุ่งขึ้น จางซิ่วเอ๋อได้แบกของเข้าเมือง โดยนั่งรถลากของเฒ่าหลี่เหมือนเดิม

พวกผู้หญิงบนรถนั่งกันเป็นกลุ่ม มองจางซิ่วเอ๋อด้วยสายตาแปลก ๆ ตลอด บทจะพูดจากันก็สื่อนัยยะ

จางซิ่วเอ๋อแค่นเสียง ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ปล่อยข่าวพวกนี้ มาทะเลาะกับพวกที่ฟังเขาพูดมาอีกทีแล้วก็เอาไปเล่าต่อตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ และอาจจะทำให้คนพวกนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ยังดีที่บนรถไม่มีคนแบบแม่หลิน คนพวกนี้จึงแค่นินทา ไม่ได้เข้ามาชวนทะเลาะ

ทันทีที่จางซิ่วเอ๋อเข้าเมือง นางก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล อย่างกับมีคนสะกดรอยตามตน

จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้ว หรือมีใครหมายหัวนาง?

แต่วันนี้นอกจากเหรียญค่านั่งรถ นางก็ไม่ได้เอาอะไรมาเลย ตั้งใจจะขายปลากับเครื่องเทศให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปซื้อของที่ต้องการซื้อ

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

จางซิ่วเอ๋อตัดสินใจว่าจะรีบเอาของไปขายแล้วรีบกลับ ถึงแม้ยังไม่มั่นใจนักว่าความรู้สึกแปลก ๆ นั้นเป็นการคิดไปเองหรือไม่ แต่ก็ไม่สบายใจอยู่ดี

หารู้ไม่ ตอนที่นางกำลังไปโรงเตี๊ยมฝูหยวนและจะเดินเข้าประตูไปอยู่แล้ว กลับถูกขวางไว้

จางซิ่วเอ๋อจำคนผู้นี้ได้ เขาคือเสี่ยวเอ้อที่โรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวี ก็คือคนที่คราวก่อนดูถูกนาง

แต่จางซิ่วเอ๋อตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้จักคนผู้นี้ จึงเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นใคร? ขวางข้าทำไม?”

“แม่นางเถาฮวา! ข้าขออภัยได้หรือไม่? เจ้าอย่าไปโรงเตี๊ยมฝูหยวนเลยนะ ถ้าวันนี้เจ้าเข้าโรงเตี๊ยมฝูหยวนไป เถ้าแก่ตีข้าขาหักแน่!” เสี่ยวเอ้อพูดอย่างน่าสงสาร แทบจะเช็ดน้ำตา

จางซิ่วเอ๋ออึ้ง นี่มันเรื่องอะไร? ไม่ได้มาหาเรื่องเอาคืนหรอกเหรอ?

จางซิ่วเอ๋อดึงแขนเสื้อตัวเองออกจากมือเสี่ยวเอ้อ “เจ้าอย่ามายื้อยุดข้านะ”

“แม่นางเถาฮวา เจ้าตกลงกับเถ้าแก่แล้วไม่ใช่หรือว่าจะไปอิ๋งเค่อจวี ข้ารู้ว่าที่เจ้าไปโรงเตี๊ยมฝูหยวนเพราะคราวก่อนข้าล่วงเกินเจ้า แต่เจ้าโปรดมีเมตตา เจ้าเป็นคนดีจิตใจกว้างขวาง อย่าถือสาข้าเลยนะ” เสี่ยวเอ้อพูดอย่างขมขื่น

จางซิ่วเอ๋อมองเสี่ยวเอ้ออย่างไม่เข้าใจ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

เสี่ยวเอ้อรีบบอก “คืออย่างนี้ เครื่องปรุงที่เจ้าขายให้ร้านเราคราวก่อนใช้ดีมาก เถ้าแก่ของเราอยากคุยเรื่องซื้อขายกับเจ้า แต่ช่วงนี้เจ้าไม่มาเลย เขาจึงสั่งข้าให้เฝ้าหน้าทางเข้าเมืองไว้ ในที่สุดวันนี้ก็เจอเจ้า”

จางซิ่วเอ๋อมองเขาอย่างไม่พอใจและเอ่ยคาดคั้น “เมื่อครู่เจ้าเป็นคนสะกดรอยตามข้ามาเหรอ?”

เสี่ยวเอ้อรีบบอก “ข้าไม่ได้สะกดรอยตามเจ้า ข้าเดินอยู่ข้างหลังเจ้าอย่างเปิดเผยตลอด แค่ยังคิดไม่ออกว่าจะขอโทษเจ้าอย่างไรดี”

เห็นเสี่ยวเอ้อทำท่าพร้อมโดนดุด่าทุบตี จางซิ่วเอ๋อก็รู้แล้วว่าไม่มีอันตราย นางจึงแอบโล่งใจ ตอนแรกนึกว่าตัวเองไปมีเรื่องกับใครไว้เสียอีก

ที่ไหนได้ครั้งก่อนทางโรงเตี๊ยมอิ๋งเค่อจวีซื้อเครื่องปรุงไปแล้วใช้ดี จึงอยากซื้อเพิ่ม

ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของจางซิ่วเอ๋อ

การขายเครื่องปรุงให้อิ๋งเค่อจวีตัดปัญหาไปได้เยอะจริง ๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเสนอขายที่โรงเตี๊ยมฝูหยวน แถมยังได้ราคาที่น่าพอใจกว่า แต่ถึงอย่างนั้นจางซิ่วเอ๋อก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก

นางจึงถามลองเชิง “ไม่ทราบว่าคุณชายฉินกินอาหารที่ใส่เครื่องเทศนี้แล้วเขาว่าอย่างไรบ้าง?”

เสี่ยวเอ้อพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง “ช่วงนี้คุณชายฉินไม่อยู่ในแคว้นชิงสือ ได้ข่าวว่ามีธุระให้ออกไปข้างนอก”

จางซิ่วเอ๋อเห็นแววผิดหวังในสายตาเขาแล้วไม่เหมือนโกหก จึงรู้สึกเบาใจ

ส่วนเถ้าแก่ของอิ๋งเค่อจวีน่ะเหรอ? คนค้าขายเห็นแก่กำไร เขาต้องเห็นแก่ผลประโยชน์และไม่ถือสาเรื่องเล็กพวกนั้นของตัวเองหรอก แถมตอนนี้ส่งเสี่ยวเอ้อมาขอโทษด้วย เห็นได้ว่าเขาจริงใจอยู่

คิดได้แบบนี้จางซิ่วเอ๋อก็นึกในใจ เอาเถอะ ยอมตามเสี่ยวเอ้อไปดูหน่อยก็ได้ โบราณบอกว่าคนยอมตายเพราะเงิน นกยอมตายเพราะอาหาร นางก็ต้องมุ่งหาผลประโยชน์สูงสุด ไม่อย่างนั้นมัวแต่กลัวนู่นกลัวนี่แล้วเมื่อไรจะได้มีชีวิตที่ดี?

……………………………………

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน
Status: Ongoing
จางซิ่วเอ๋อหญิงสาวชะตาขาดจากอุบัติเหตุทางลิฟต์ได้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุคโบราณที่มีชื่อเดียวกัน แต่ดันเป็นสตรีอาภัพผู้มีดวงกินคู่ ทำเจ้าบ่าวสิ้นชีพกลางพิธีวิวาห์เสียนี่! ช่างน่ารันทดอะไรเช่นนี้?​ ไม่เป็นไร…​ถึงถูกตราหน้าว่าเป็นแม่ม่ายผัวตาย​ เธอก็จะขอใช้ร่างนี้ทำสวนทำไร่​ สร้างเกียรติศักดิ์ศรีของตนขึ้นมาเอง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset