ท่องภพสยบหล้า – ตอนที่ 22 เคลื่อนพลฉุกเฉิน

อันอันน้อยเริ่มต้นชีวิตในเมืองเฟิงหลินเช่นนี้เอง หลังจากนั้นน้าซ่งก็ส่งจดหมายมาครั้งหนึ่ง บอกว่าแต่งงานไปอยู่เมืองวั่งเจียงแล้ว

ในฐานะเมืองที่ขึ้นชื่อว่าการค้าขายเจริญรุ่งเรือง เมืองวั่งเจียงเป็นรองเพียงเมืองชิงเหอเมืองหลักของเขตปกครองชิงเหอเท่านั้น โดยเฉพาะตระกูลหลินบ้านสามียังนับว่าเป็นตระกูลมีชื่อเสียงของท้องถิ่น เช่นนั้นก็นับว่านางไปได้ดีแล้ว

มิน่าเล่าถึงพาลูกสาวไปด้วยไม่ได้

ส่วนกิจการที่เหลืออยู่ในตำบลเฟิ่งซีของตระกูลเจียง เจียงวั่งไม่ได้ถามอะไรอีก ไม่ว่าจะอย่างไร น้าซ่งกับบิดาของเขาก็เป็นสามีภรรยากันช่วงหนึ่ง หลังจากที่บิดาล้มป่วยก็ดูแลเป็นอย่างดี ให้สินสอดทองหมั้นนางติดตัวไปบ้างก็สมเหตุสมผล

แต่ว่าทั้งสองฝ่ายนับว่าจบสิ้นกันเพียงเท่านี้ ไม่มีความจำเป็นต้องติดต่อกันอีก

อายุสี่ห้าขวบเป็นช่วงเริ่มเรียนรู้พอดี เจียงวั่งหาสถานศึกษาส่วนบุคคลให้น้องสาวแห่งหนึ่ง เป็นที่ที่ดีที่สุดนอกจากสถานศึกษาส่วนบุคคลของสามตระกูลใหญ่ ปกติไม่รับคนทั่วไป เจียงวั่งโดดเด่นเป็นเลิศอยู่ในสายนอกของสำนักเต๋าประจำเมืองนานขนาดนั้น จึงพอจะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ชีพจรเต๋าปรากฏชัด จะเป็นเสาหลักของรัฐจวงในอนาคตแน่นอนแล้ว คนทั่วไปย่อมไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขาง่ายๆ

ทุกวันร่ำเรียนที่สำนักเต๋า หลังจากฝึกฝนรอบหนึ่งแล้วค่อยไปรับอันอันหลังเลิกเรียนที่สถานศึกษา การรับภารกิจก็พยายามเลือกที่มีเวลาไม่เกินหนึ่งวัน โดยทั่วไปจะไปวันนั้นกลับวันนั้น ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดูแลอันอัน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ก็จะให้พวกหลิงเหอและเจ้าหรู่เฉิงผลัดกันช่วยดูแล

วันเวลาผ่านไปอย่างเต็มที่เช่นนี้ แผนผังรากฐานในจุดผ่านสวรรค์ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เริ่มปรากฏเค้าโครงให้เห็นแล้ว เพียงแต่ยิ่งผ่านไป การจัดวางแผนผังรากฐานก็ยิ่งยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายรากพลังเต๋าก่อนจะวางรากฐานได้ หากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย รากพลังเต๋าก็จะสลาย เสียแรงทะลวงชีพจรไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยเพราะเลือกใช้แผนผังจักรวาลดารา รากฐานของเขาจึงช้ากว่าคนอื่น ดังนั้นการเคลื่อนย้ายจุดพลังทุกครั้งในการวางรากฐาน เขาจึงไม่ยอมให้ตัวเองล้มเหลวเด็ดขาด

ในด้านกำลังรบ เนื่องจากรากฐานยังไม่เสร็จจึงฝึกวิชาเต๋าไม่ได้ เจียงวั่งทำได้เพียงทุ่มเทฝึกฝนเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาให้มาก เคล็ดกระบี่นี้มีทั้งหมดเก้ากระบวนท่าฝึกฝน ห้ากระบวนท่าสังหาร พิจารณาจากชื่อแล้ว ท่าฝึกฝนก็คือวิชาฝึกตน ท่าสังหารก็คือวิชาสังหาร ใช้ท่าฝึกฝนขัดเกลาร่างกายและการเรียนรู้วิถีกระบี่ ใช้ท่าสังหารโจมตีต่อสู้ กำจัดภัยสังหารศัตรู

ดีที่หลังจากฝึกเก้ากระบวนท่าฝึกฝนได้เชี่ยวชาญแล้ว ผลของการหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อลมปราณก็น่าทึ่งมาก เจียงวั่งถึงขั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงผลการตอบสนองที่กายเนื้อมอบวิญญาณแท้ให้ชีพจรเต๋าได้มากขึ้น ทำให้การรวมรากพลังเต๋ารวดเร็วยิ่งขึ้น

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเพิ่มโอกาสฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรอีกหนึ่งครั้ง ทุกวันจะสามารถหลอมรวมรากพลังเต๋าได้สามเม็ด ช่วยย่นระยะเวลาการวางรากฐานให้สำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย

ชีวิตทั้งเต็มอิ่มทั้งน่าพึงพอใจ ในชีวิตแบบนี้ เจียงวั่งเผชิญกับภารกิจใหญ่เป็นครั้งแรกนับจากก้าวเข้าสู่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินมา

……

“ภารกิจเคลื่อนพลฉุกเฉิน ทุกคนห้ามออกไปไหน!”

ในหอภาวนา วิชาเช้าของวันนี้เพิ่งเลิก หัวหน้าทหารชุดดำคนหนึ่งก็กระแทกประตูตรงเข้ามา

“คนคนนี้เป็นใครกัน”

“ทำอะไรน่ะ”

ลูกศิษย์ทั้งหลายกระซิบกระซาบ แต่ไม่นานก็มีคนเฉลย “เบาเสียงหน่อย นั่นคือเว่ยเหยี่ยน!”

ทั้งหอภาวนาเงียบกริบในทันที

อันดับสองบนกระดานแต้มเต๋า หรือขุนพลที่มีอำนาจแท้จริงของกองทัพประจำเมือง ไม่ว่าจะเป็นฐานะใดก็ล้วนมากพอจะสยบคนทั้งหลายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางทหารคนนี้ได้ชื่อว่ามีบุคลิกแข็งกร้าวเย็นชาด้วย

เว่ยเหยี่ยนเหมือนไม่สนใจท่าทีของทุกคน หรือพูดได้ว่าเขาเพียงต้องการแสดงท่าทีของตัวเองเท่านั้น

“นับจากสัปดาห์ก่อน ตำบลเสี่ยวหลินไม่มีข่าวส่งมาห้าวันเต็มๆ แล้ว”

เจียงวั่งสบตาหลิงเหอแวบหนึ่ง ตำบลเสี่ยวหลินเป็นตำบลใหญ่ภายใต้การดูแลของเมืองเฟิงหลิน แม้จะไม่รายงานเสียทุกเรื่อง แต่ทุกสามวันห้าวันก็ต้องรายงานอะไรมาบ้าง

ไม่มีข่าวคราวถึงห้าวันเต็ม แทบจะเท่ากับว่าเมืองเฟิงหลินเสียการควบคุมตำบลเสี่ยวหลินไปแล้ว ตำบลที่มีประชากรหนึ่งพันคนจู่ๆ ก็ตัดขาดหายไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

เว่ยเหยี่ยพูดต่อไปว่า “ข้าถือตราคำสั่งเจ้าเมือง จะเคลื่อนพลศิษย์สายในของสำนักเต๋าประจำเมืองอย่างน้อยสามสิบคน ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังตำบลเสี่ยวหลินเพื่อสืบเรื่องนี้”

“นี่ไม่ใช่หน้าที่ของกรมอาญาหรอกหรือ” มีศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่พอใจ

ภารกิจใหญ่แบบนี้ ครั้งหนึ่งเคลื่อนพลศิษย์สายในของสำนักเต๋าประจำเมืองสามสิบคน ความอันตรายจะต้องสูงมากแน่นอน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงไม่ยินยอม

“สยงเวิ่นมารกลืนจิตใจปรากฏตัวที่เมืองซานซาน ตอนนี้กำลังส่วนใหญ่ของกรมอาญาทั่วทั้งเขตปกครองชิงเหอเคลื่อนขบวนไปที่นั่นหมดแล้ว”

เว่ยเหยี่ยนไม่ตอบ แต่นายทหารผู้ช่วยของเขาที่อยู่ข้างๆ อธิบายแทน

ระบบราชการของรัฐจวงลอกแบบมาจากรัฐยง คดีทั่วไปศาลาว่าการเป็นผู้จัดการ แต่หากเกี่ยวพันถึงเรื่องเหนือมนุษย์กรมอาญาจะรับช่วงต่อ คดีเหนือมนุษย์ทั่วรัฐที่กรมอาญารับผิดชอบ ตามหลักแล้วจะควบคุมดูแลโดยการปกครองส่วนท้องถิ่น แต่เพราะความพิเศษเฉพาะของเมืองหลวง ส่วนการปกครองท้องถิ่นแต่ละแห่งจึงไม่อาจสั่งการตามใจนึก

ก็เหมือนกับครั้งนี้ การเคลื่อนกำลังพลไล่จับสยงเวิ่นเป็นความต้องการจากคนเบื้องบนของกรมอาญา ต่อให้เป็นเว่ยชวี่จี๋เจ้าเมืองเฟิงหลินก็ไม่สามารถสอดมือเข้ายุ่งแล้วเรียกตัวพวกเขากลับมาได้

“เช่นนั้นกองทัพประจำเมืองเล่า” ลูกศิษย์คนนั้นถามขึ้นอีก

กองทัพประจำเมืองเป็นกองกำลังที่ขึ้นตรงต่อเจ้าเมือง ปราบกบฏโจรชั่วทั้งหมด EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq มากพอจะให้กองทัพประจำเมืองออกมาจัดการแล้ว

“กองทัพประจำเมืองมีภารกิจสำคัญอื่น” เว่ยเหยี่ยนตัดบทอย่างรำคาญ “ภารกิจครั้งนี้รางวัลแต้มเต๋าจะเพิ่มขึ้นสามส่วน แต่เดิมรับคนตามความสมัครใจ แต่หากศิษย์สายในลงชื่อไม่ถึงสามสิบคน ข้าที่ถือตราคำสั่งเจ้าเมืองจะบังคับเคลื่อนพล!

สิ่งที่ต้องเตือนทุกคนก็คือ ก่อนหน้าภารกิจครั้งนี้ ผู้บำเพ็ญระดับเก้าเคลื่อนชีพจรสองคนที่จวนเจ้าเมืองส่งไปตรวจสอบที่ตำบลเสี่ยวหลินถูกโจมตี หวังว่าทุกคนจะรู้อันตราย ทำอะไรรู้จักประมาณตน”

ระบบของสำนักเต๋าเป็นระบบการยกระดับสู่ขั้นเหนือมนุษย์ที่สำคัญที่สุดของรัฐจวง สำนักเต๋าระดับเมืองแต่ละแห่งจะรับต้นกล้าผู้บำเพ็ญ หลังจากฝึกฝนหลายปี จึงค่อยก้าวสู่สำนักเต๋าระดับเขตปกครองผ่านการสอบ จากนั้นเลื่อนจากสำนักเต๋าเขตปกครองก้าวเข้าสู่สำนักเต๋าระดับรัฐ คัดเลือกไปเป็นขั้นๆ

สุดท้ายอัจฉริยะทั่วทั้งรัฐจวงก็จะไปรวมกันที่เมืองหลวง หากพัฒนาก็ช่วงชิงความเป็นใหญ่กับผู้เยี่ยมยุทธ์ของรัฐอื่น หากถดถอยก็ไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ปกครองดูแลพื้นที่หนึ่ง

ถึงแม้ทุกรอบสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินจะรับศิษย์สายในเพียงสิบคน แต่เนื่องจากความยากในการเข้าสำนักเต๋าเขตปกครองสูงมาก ผู้บำเพ็ญมากมายอยู่ไปวันๆ ในสำนักเต๋าประจำเมืองหลายปีหรือกระทั่งหลายสิบปี ทั้งสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินสะสมคนนานปีเข้า เมื่อหักผู้ที่ออกไปพเนจรยังไม่กลับมาและผู้ที่ปิดด่านยังไม่ออกจากด่าน ศิษย์สายในก็มีประมาณสามร้อยคน

จากมุมมองของเว่ยเหยี่ยน เขาอยากให้จำนวนคนลงชื่อไม่เยอะพอยิ่งนัก จะได้ระดมคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเต๋าสามสิบคนโดยบังคับใช้คำสั่งเรียกพลตามความตั้งใจเดิมของเขา ความมั่นใจในการเดินทางครั้งนี้ก็จะยิ่งมาก แต่สำนักเต๋าไม่ได้ขึ้นตรงต่อจวนเจ้าเมือง หากเกิดปัญหาขึ้นมาจัดการให้สงบได้ยาก

“พี่ใหญ่ท่านไปหรือไม่” เจียงวั่งถามหลิงเหอเสียงเบา อันที่จริงเขากังวลเล็กน้อย เพราะภารกิจครั้งนี้ต้องเกี่ยวพันกับพลังเหนือมนุษย์แน่ และหลิงเหอกับตู้เหยี่ยหู่ชีพจรยังไม่เปิด พูดได้ว่าอันตรายอย่างมาก

“ต้องไปอยู่แล้ว” หลิงเหอไม่ลังเลเลย เส้นทางการฝึกบำเพ็ญช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง โอกาสเพิ่มแต้มเต๋าสามส่วนแบบนี้เขาย่อมไม่พลาดอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอันตรายน่ะหรือ ถ้ากลัวอันตรายก็ควรทำไร่ไถนาอยู่ที่หมู่บ้านตั้งแต่แรก

“ข้าลงชื่อ!” ตู้เหยี่ยหู่ตะโกนโหวกเหวกขึ้นมา “พวกเราสี่คนลงชื่อหมด!”

เจ้าหรู่เฉิงกระแทกไหล่เขาอย่างไม่พอใจ “ทำอะไรเนี่ย ข้าว่าจะกลับไปนอนเสียหน่อย”

ในบรรดาสี่คน เขาเป็นคนที่ไม่มีใจฮึกเหิมต่อสู้ที่สุด ทุกวันแค่กินดื่มรอความตายเท่านั้น ชีวิตนอกจากผ่อนคลายสบายใจแล้วก็มีแต่ความไร้กังวล

เว่ยหยี่ยนกวาดตามองอย่างไร้อารมณ์ ครั้นเห็นว่ารากฐานพลังยังไม่สำเร็จทั้งนั้นก็ไม่สนใจอะไร ทำแค่สั่งทหารผู้ช่วยไปตามปากว่า “จดชื่อเอาไว้”

ทหารผู้ช่วยเอ่ยเสียงดังกังวานขึ้นว่า “มีเวลาลงชื่อแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น ยังเหลืออีกยี่สิบหกคน”

“พวกข้าเป็นผู้ฝึกตน ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากรัฐ สมควรทำเพื่อบ้านเมือง ภารกิจครั้งนี้ข้าขออาสา” หลีเจี้ยนชิวมาถึงตามเสียงพูด เดินเข้ามาจากนอกประตูสำนัก

ลูกศิษย์ที่มีพลังเช่นเขามีอิสระมากแล้ว ไม่ใช่แค่ไม่ต้องมาขานชื่อที่หอภาวนาในยามเหม่า[1]ทุกวัน กระทั่งการบังคับเคลื่อนพลระดับนี้ก็ยังปฏิเสธได้ นอกเสียจากบ้านเมืองจะอยู่ในวิกฤต ปกติพวกเขาแค่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญยกระดับพลังเท่านั้นพอ การที่เขามาปรากฏตัวในตอนนี้จึงสร้างความฮือฮาไปทั่ว

“จะกล้าให้เจี้ยนชิวมีชื่อเสียงดีงามคนเดียวได้อย่างไร นับข้าหวางฉางเสียงคนนี้ด้วย” ต่างไปจากหลีเจี้ยนชิวซึ่งเดินถือกระบี่มา บุคลิกท่าทางของหวางฉางเสียงนิ่งสงบกว่ามาก เขายังสวมชุดนักพรตผ้าป่านเหมือนตอนที่เจียงวั่งเห็นที่ตำหนักแต้มเต๋าตอนนั้น ฝีก้าวช้าเนิบมั่นคง

“มีสหายหวางสหายหลีเข้าร่วม การเดินทางครั้งนี้ก็ยิ่งมีความมั่นใจ!” ใบหน้าเย็นชาแข็งกระด้างของเว่ยเหยี่ยนแย้มรอยยิ้มบางๆ ออกมาอย่างหาชมได้ยาก

เมื่ออยู่ต่อหน้าหวางฉางเสียงที่อยู่ในอันดับเจ็ดบนกระดานแต้มเต๋า ต่อให้เป็นเขาก็วางท่าข่มได้ยาก

พอมีหวางฉางเสียงและหลีเจี้ยนชิวเข้าร่วม ความกระตือรือร้นในการลงชื่อของคนทั้งหลายก็เพิ่มสูงทันที ไม่นานรายชื่อก็ครบถ้วน

ศิษย์สายในสามสิบคน นอกจากพวกเจียงวั่งสี่คนพี่น้อง ทุกคนแทบจะมีพลังบำเพ็ญระดับเก้ายืนพื้น แต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา กลุ่มพลังเหนือมนุษย์เช่นนี้แทบจะกวาดล้างในเขตเมืองเฟิงหลินได้แล้ว

เว่ยเหยี่ยนรับรายชื่อมากวาดตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าพอจะมีเลือดอันกล้าหาญอยู่บ้าง ไม่ได้อ่านคัมภีร์เสียจนความเป็นมนุษย์หายไปหมด”

สำหรับเขานี่อาจเป็นการชมเชย แต่ความหยิ่งทะนงในน้ำเสียงก็ยังชวนให้คนไม่สบอารมณ์

กรมทหารกับสำนักเต๋าเป็นคนละระบบการเลื่อนขั้น ระหว่างสองฝ่ายทั้งร่วมมือและแข่งขัน ไม่สบอารมณ์ซึ่งกันและกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ

มีลูกศิษย์เอ่ยอย่างไม่พอใจทันทีว่า “หากศิษย์พี่จู้อยู่ที่นี่ด้วย ก็ไม่รู้ว่าใครบางคนจะยังกล้าเจ้ากี้เจ้าการหรือไม่!?”

คนที่คนผู้นี้พูดถึงแน่นอนว่าคือจู้เหวยหว่ออันดับหนึ่งบนกระดานแต้มเต๋าของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน

เว่ยเหยี่ยนก็ไม่โมโห ทำเพียงสะบัดชุดคลุมยาวก่อนเดินออกไปนอกสำนักเต๋า “ออกเดินทาง!”

………………………………………………………

[1] ยามเหม่า หมายถึงช่วงเวลาตี 5 – 7 โมงเช้า

ท่องภพสยบหล้า

ท่องภพสยบหล้า

ท่องภพสยบหล้า
Status: Ongoing
อ่านนิยาย ท่องภพสยบหล้าแม้นโลกาสวรรค์เที่ยงธรรมเสมือนไร้หัวใจ ข้าจะขอใช้ใจสัตย์จริงท่องแสวงไปสุดหล้าท้าคลื่นลม

Comment

Options

not work with dark mode
Reset