ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย – บทที่ 104 ฝ่ามือของพี่จิ้ง

หนึ่งร้อยสี่

ฝ่ามือของพี่จิ้ง

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งมาถึงสถานที่แข่งขันจีจวี ก็พบว่ามีคนมากมายแน่นขนัดอยู่หน้าประตู มีคนผู้หนึ่งตะโกนบอกคนเหล่านั้นให้เข้าแถว โดยผู้มีตั๋วเท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าไปได้

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นคนแออัดอยู่ตรงนั้นเป็นจำนวนมาก คิ้วงามได้รูปก็ขมวดแน่นทันที ก่อนจะหันไปสั่งเสวี่ยเจียเยว่

“พอเข้าไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ห้ามถอดหมวกเด็ดขาด”

พอเสวี่ยเจียเยว่รับปาก เขาก็วางใจและจับมืออีกฝ่ายเดินผ่านประตูที่อยู่ด้านข้าง

ประตูด้านข้างนี้มีไว้สำหรับผู้เข้าแข่งขันและบุคคลสำคัญเท่านั้น แม้ว่าตั๋วในมือของเสวี่ยเจียเยว่จะไม่ใช่ตั๋วสำหรับบุคคลสำคัญ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นหนึ่งในผู้แข่งขัน ผู้ดูแลประตูจึงปล่อยให้พวกเขาผ่านไปได้

เมื่อเดินเข้ามาภายใน กลับไม่มีคนแออัดเหมือนด้านนอก เพราะสนามแข่งขันแห่งนี้กว้างขวางมาก และผู้คนจะกระจายไปตามจุดต่างๆ

ทั้งสองได้พบผู้คนระหว่างเดินต่อไป เมื่อหลายคนเห็นเสวี่ยเจียเยว่สวมหมวกที่มีผ้าคลุมในฤดูใบไม้ร่วง ก็อดหันไปมองไม่ได้ หากเป็นบุรุษจะไม่ใส่ใจเท่าไรนัก เพราะมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ พวกเขาคงประหลาดใจเพียงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นสตรี เมื่อพวกนางได้เห็นชุดบนตัวเสวี่ยเจียเยว่ แววตาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม และเมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ด้านข้าง พวกนางก็มองเขาด้วยความตะลึงงัน

มีสตรีผู้หนึ่งเดินมาพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ เอ่ยถามว่าชุดที่เธอสวมนี้ได้มาจากที่ใด ขณะเดียวกันใบหน้าก็แดงเรื่อไปด้วย เพราะสายตาแอบมองไปที่เสวี่ยหยวนจิ้ง แต่เขาก็ทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น… เขาไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องคุยกับนาง

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มจนตาหยีว่าชุดนี้เธอตัดที่ร้านซู่ยวี่เซวียน และหยิบกระดาษแข็งคล้ายกับนามบัตรในภพที่จากมา ออกมาจากถุงผ้าใบเล็กที่ห้อยไว้ข้างตัว… บนนั้นเขียนชื่อร้านด้วยอักษรตัวใหญ่ ด้านล่างคือที่อยู่ของร้าน เธอส่งกระดาษแผ่นนั้นให้สตรีที่มาถามไถ่ด้วยรอยยิ้ม และบอกว่ามีชุดกระโปรงหลายแบบในร้าน พร้อมกับยินดีต้อนรับแม่นางคนนี้เข้ามาตัดชุด อีกทั้งกระดาษแข็งแผ่นนี้ยังทำให้นางได้สิทธิพิเศษต่างๆ ด้วย

เมื่อนางรับกระดาษแข็งแผ่นนั้นไป สตรีที่อยู่ใกล้ๆ และได้ยินบทสนทนาต่างก็เดินมาขอกระดาษแข็งจากเสวี่ยเจียเยว่บ้าง เธอจึงหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากถุงผ้าใบเล็ก แล้วส่งให้พวกนางทีละคนด้วยรอยยิ้มสดใส

หลังจากสตรีเหล่านั้นจากไป เสวี่ยหยวนจิ้งก็แค่นเสียงออกมา พร้อมกับหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ทันที “ที่แท้กระดาษที่เจ้าให้ข้าเขียนเมื่อหลายวันก่อน ก็ใช้เพื่อการนี้นี่เอง”

เสวี่ยเจียเยว่เก็บกระดาษแข็งแผ่นเล็กที่เหลือใส่กลับลงไปในถุงผ้าใบเล็กเช่นเดิม ก่อนเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งพลางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“ท่านพี่ ร้านนี้เป็นของพวกเราสองคนนะเจ้าคะ กำไรที่ได้ท่านเองก็จะได้ส่วนแบ่ง ให้ท่านเขียนไม่กี่ตัวยังจะบ่นอีกหรือเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้นต่อไปกำไรที่ได้ข้าจะไม่แบ่งให้ท่านแล้ว”

เสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ พลางยกมือขึ้นเพื่อจะหยิกแก้มเสวี่ยเจียเยว่เหมือนที่เคยทำ แต่น่าเสียดายที่มีผ้าโปร่งสีดำกั้นไว้ จึงเปลี่ยนเป็นตบหมวกเบาๆ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าช่างพูดมากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเงินกำไรของร้าน เดิมทีข้าก็ไม่เคยคิดต้องการเลย ดังนั้นเจ้าเก็บเงินทั้งหมดไว้ใช้จ่ายส่วนตัวเถอะ”

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ล้อเล่นกับเธอ ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่หมู่บ้านซิ่วเฟิง เงินทั้งหมดเธอก็เป็นผู้ดูแล เมื่อมาอยู่ในเมืองผิงหยาง แม้เขาจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชูและได้เงินสองตำลึงทุกเดือน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งจะนำเงินนั้นมามอบให้เธอ ส่วนเงินที่ติดตัวเขาล้วนเป็นเงินที่เธอมอบให้เขาอีกที ทว่าอันที่จริงเขาไม่ค่อยได้ใช้เงินเท่าไร บางครั้งก็เก็บเอาไว้ถึงหนึ่งเดือนโดยไม่ได้ใช้แม้แต่อีแปะเดียว สุดท้ายก็คืนให้เธออยู่ดี

ความอ่อนโยนพลันเกิดขึ้นในหัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะใช้เงินมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร มีแต่เก็บเอาไว้เท่านั้น ต่อไปเมื่อท่านพี่เข้าสอบคัดเลือกขุนนางก็ยังต้องใช้เงินจำนวนมาก หากมีเงินพอแล้ว พวกเราจะได้ซื้อเรือนหลังโต ขอเพียงได้มีเรือนเป็นของตัวเองก็พอแล้ว อีกอย่าง… ต่อไปเมื่อท่านพี่โตขึ้นกว่านี้ก็ต้องสู่ขอภรรยา หากไม่มีเงินจะทำเช่นไรเล่าเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มขณะฟังมาตลอด แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็หายไป

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคิดว่าเขาจะต้องแต่งงานกับสตรีอื่น แต่ไหนเลยเขาจะเคยคิดเช่นนั้น เขาอยากแต่งงานกับเสวี่ยเจียเยว่เพียงผู้เดียว

ทว่าในใจของเสวี่ยเจียเยว่กลับเห็นเขาเป็นเพียงพี่ชาย ไม่อย่างนั้นจะวางแผนเก็บเงินให้เขาสู่ขอภรรยาได้อย่างไร หากตอนนี้เขาบอกความในใจออกไป เกรงว่าแม่นางน้อยจะต้องไม่ยอมรับอย่างแน่นอน

เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตาลงโดยไม่กล่าวคำใดออกมา พลางนึกเสียใจว่าเหตุใดเขาจึงมักกล่าวว่าจะดูแลและปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนน้องสาวแท้ๆ เสวี่ยเจียเยว่คงจริงจังกับคำพูดของเขาไปแล้ว…

ทันใดนั้นเสียงเยาะเย้ยถากถางก็ดังขึ้น “เจ้าเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น ไม่ใช่แม่ของเขา เหตุใดต้องเก็บเงินให้เขาไปสอบ ทั้งยังจะซื้อเรือนให้เขา แล้วต้องสู่ขอภรรยาให้อีก เรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นพี่ชายคิดเพื่อน้องสาวไม่ใช่หรือ พี่ชายเช่นนี้เจ้าจะเก็บไว้เพื่ออะไร อยากทำให้ตัวเองเหนื่อยจนตายหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นตันหงอี้แน่นอน แล้วคำพูดของเขามันหมายความว่าอย่างไร…

เธอหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง… และเป็นจริงดังคาด สีหน้าของเขาหม่นหมองลงทันที

ด้วยความกังวลว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเดือดดาลจนถึงขั้นลงมือกับตันหงอี้ เสวี่ยเจียเยว่จึงรีบจับแขนเขาแน่นด้วยสองมือ แล้วเปล่งเสียงร้องเรียกทันใด

“ท่านพี่ ท่านพี่!”

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลใจ จึงตบหลังมือบอบบางเบาๆ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจแล้ว

เห็นเช่นนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็สบายใจลงได้บ้าง เธอกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้พลางเดินตรงไปข้างหน้า แต่จู่ๆ ก็ต้องชะงักเพราะมีคนผู้หนึ่งยืนขวางพวกเขาเอาไว้

ชุดของสำนักศึกษาถัวเยว่แตกต่างจากชุดของสำนักศึกษาไท่ชู โดยที่ชุดของสำนักศึกษาถัวเยว่เป็นสีแดง บนหน้าผากคาดผ้าสีทอง

สีทั้งสองล้วนเป็นสีที่งดงาม แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของตันหงอี้สามารถข่มรัศมีของสีเหล่านั้นลงไปได้ ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยอย่างเห็นได้ชัด

เสวี่ยเจียเยว่คาดเดาในใจว่าตันหงอี้ต้องเกิดปีไก่อย่างแน่นอน และต้องเป็นไก่ชน เพราะเขาชอบจิกกัดคนอื่นในเวลาว่าง

เธอไม่อยากให้ความสนใจแก่เขา จึงกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งเดินอ้อมตัวอีกฝ่ายไปแล้วเดินต่อ

ตันหงอี้มองพิจารณาเสวี่ยเจียเยว่ตั้งแต่ศีรษะจดเท้า จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม “ตอนนี้ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เจ้าจะสวมหมวกที่มีผ้าคลุมเพื่ออันใดกัน ไม่อึดอัดหรือ รีบถอดออกมาเดี๋ยวนี้เลย”

เมื่อสิ้นประโยคนั้น เขาก็เอื้อมมือไปเพื่อจะถอดหมวกใบนั้นออก

ทว่ามือเขายังไม่ทันสัมผัสหมวกของเสวี่ยเจียเยว่ กลับเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยื่นมือมาขวางอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว สุดท้ายตันหงอี้ก็เป็นฝ่ายเก็บมือกลับ โดยซ่อนมือขวาไว้ด้านหลัง เพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นข้อมือเขียวช้ำที่ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งบีบ กระนั้นใบหน้าเขาก็ยังคงซีดเผือด

ตอนที่เขายังเด็ก บิดาจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญอาจารย์มาสอนวรยุทธ์ให้เขา อาจารย์หลายท่านต่างก็บอกว่าเขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ หลังจากเรียนได้หลายปี เหล่าอาจารย์ก็เห็นพ้องต้องกันว่าเขาเป็นศิษย์ ทว่ามีความสามารถมากกว่าอาจารย์เสียอีก เขารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก คิดว่าคงไม่มีศัตรูหน้าไหนเอาชนะเขาได้อีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ประมือกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

พอนึกไตร่ตรองดูอีกครั้ง เมื่อครู่เขาใช้มือขวา แต่เสวี่ยหยวนจิ้งใช้มือซ้าย กระนั้นก็เอาชนะเขาได้ หากเมื่อครู่อีกฝ่ายใช้มือขวาละก็…

ใบหน้าของตันหงอี้ยิ่งเขียวคล้ำมากกว่าเดิม

เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะบาดเจ็บ จึงรีบดึงมือซ้ายของเขามาดู เมื่อเห็นว่ายังเป็นปกติ ไม่มีบาดแผลใด เธอก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงสองสามประโยค กระทั่งเขายิ้มและพยักหน้าให้ เธอถึงได้เบาใจลง

ขณะเดียวกันเธอก็โกรธตันหงอี้เป็นอย่างมาก จึงหันไปเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะสวมหมวกหรือไม่นั้นมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า เจ้ากับข้าเป็นอะไรกันหรือ กล้าดีอย่างไรถึงได้ยื่นมือของเจ้ามา เจ้าไม่รู้จักข้อห้ามระหว่างชายหญิงหรืออย่างไร”

ตอนที่เผชิญหน้ากับเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น ตันหงอี้ถูกครอบงำด้วยความทะนงตน กระทั่งเอ่ยยังไม่ทันจบก็สามารถลงมือได้ทันที ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ เขากลับทำตัวไม่ถูก

เขาไม่อาจลงมือกับเสวี่ยเจียเยว่ได้ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ อีกทั้งวาจาที่กล่าวออกมาแต่ละคำก็เป็นดั่งคมมีด ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร

ขณะนี้ในอกของตันหงอี้อัดแน่นไปด้วยความโกรธ แต่ทำได้เพียงกลืนความโกรธนั้นกลับลงไปและอธิบาย

“เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะอึดอัดจนหายใจไม่ออก จึงอยากถอดหมวกให้เจ้า แต่ใครจะรู้ว่าสุนัขบางตัวกลับมองไม่เห็นความตั้งใจดีของข้า ถึงขั้นเข้ามากัดมือผู้ให้อาหารมัน”

“เจ้าหวังดีเช่นนั้นหรือ” เสวี่ยเจียเยว่ยกยิ้มเย็นชา “เก็บความหวังดีของเจ้าไว้ใช้กับผู้อื่นเถอะ ข้ารับไว้ไม่ได้”

ตันหงอี้กระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโกรธ

เสวี่ยเจียเยว่ชำนาญด้านการใช้ปากต่อสู้คน ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ชำนาญในด้านนี้ เขาชอบต่อสู้กันซึ่งๆ หน้า แต่ตอนนี้เขาไม่อยากให้แม่นางน้อยพูดคุยกับตันหงอี้

เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้ว่า แม้ภายนอกตันหงอี้กับเสวี่ยเจียเยว่จะปะทะฝีปากกัน และต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกัน แต่ถ้าลองคิดดูอย่างถี่ถ้วน ตันหงอี้มักจะมีสีหน้าหยิ่งยโสเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น และสามารถลงมือได้ทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยสักคำ มีหรือจะยังอดทนปะทะฝีปากกับเสวี่ยเจียเยว่เช่นนี้ อีกทั้งคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้น หากตัดน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ออกไปและไตร่ตรองดูอีกครั้ง ก็จะพบว่าอีกฝ่ายคิดเพื่อเสวี่ยเจียเยว่

เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะยอมให้เสวี่ยเจียเยว่ทะเลาะกับตันหงอี้ไปมากกว่านี้ได้อย่างไร คิดแล้วสีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งก็เย็นชาทันที ก่อนจะรีบคว้ามือแม่นางน้อยแล้วคิดจะเดินหนีไป

ตันหงอี้ยังไม่อยากยอมแพ้จึงรีบก้าวตามพวกเขา ทว่ากลับถูกพลังบางอย่างซัดเข้าใส่จนหยุดชะงัก

พลังรุนแรงราวกับสามารถผลักภูเขาพลิกทะเลได้นั้นมาจากฝ่ามือของเสวี่ยหยวนจิ้ง ซึ่งทำให้หัวใจของตันหงอี้สั่นสะท้านในทันที และไม่กล้าตามไปยุ่งวุ่นวายกับคนทั้งสองอีก ทำได้เพียงหลีกทางให้เท่านั้น

ถึงอย่างนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่าพลังจากฝ่ามือของเสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่หายไป ก่อนจะได้ยินเสียง ‘สวบ’ ดังขึ้น และเห็นต้นตงชิง[1] ข้างถนนโค่นลงอย่างฉับพลัน

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่พลันกระตุกอย่างหวาดกลัว พลางคิดในใจว่าหากเมื่อครู่นี้ฝ่ามือของเสวี่ยหยวนจิ้งโดนตัวตันหงอี้ เขาจะมีสภาพอย่างไร…

มือที่จับแขนของชายหนุ่มกระชับแน่นขึ้นทุกขณะ

เสวี่ยหยวนจิ้งล้วงเหรียญเงินจากถุงผ้าแล้วโยนออกไป ความเร็วนั้นดุจดวงดาวตกลงมาอย่างรวดเร็วก็ไม่ปาน เหรียญนั้นพุ่งไปหาตันหงอี้

แม้ตันหงอี้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่พุ่งมาหาตนคืออะไร แต่เขาก็รับไว้ตามสัญชาตญาณ เมื่อของสิ่งนั้นสัมผัสมือเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกเจ็บแปลบทันที เขาจึงรีบก้มลงมองและแบมือออก พบว่าเป็นเพียงเหรียญเงินเท่านั้น แต่ฝ่ามือเขากลับมีบาดแผลเพราะถูกเหรียญนี้บาด แม้ว่าจะไม่มีเลือดซึมออกมา ทว่าก็ทำให้เขาบาดเจ็บอยู่ดี

จากนั้นเสียงเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้น “เหรียญนี้คงจะพอให้เจ้าซื้อต้นตงชิงได้สักร้อยต้นกระมัง”

ตันหงอี้เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย…

ที่นี่เป็นลานกว้างของตระกูลตันซึ่งใช้เป็นสนามแข่งขันจีจวีในวันนี้ เมื่อครู่พลังจากฝ่ามือของเสวี่ยหยวนจิ้งทำให้ต้นตงชิงโค่นลง ดังนั้นเหรียญนี้จึงถือว่าเป็นค่าชดใช้ให้แก่พวกเขา

แต่ตันหงอี้รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้มีเจตนาดีอันใด อีกฝ่ายคงจำได้ว่าบ่าวรับใช้ของเขาทำอุปกรณ์การเรียนของตนเลอะโคลนที่หน้าประตูสำนักศึกษาเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาโยนก้อนทองให้อย่างไม่ใส่ใจ ทั้งยังบอกว่ามันเพียงพอสำหรับการซื้อกระดาษ พู่กัน หมึก และที่ฝนหมึกได้ทั้งร้าน

เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังแก้แค้นเขาในแบบเดียวกัน

ตันหงอี้กำเหรียญแน่นด้วยความโกรธ และไม่รู้ตัวเลยว่าเหรียญนั้นยิ่งปักเข้าไปในบาดแผลบนฝ่ามือ

“เสวี่ยหยวนจิ้ง” สีหน้าของคนที่ทะนงตัวเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาเข้ามาแทนที่ “อีกประเดี๋ยวพวกเราจะได้เจอกันในการแข่งขันจีจวีแล้ว”

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าสีหน้าของเขาจะยังคงนิ่งสงบเหมือนปกติ แต่แววตากลับคมกริบดั่งคมดาบ

“ข้าจะอยู่จนกว่าการแข่งขันจะจบ”

[1] ไม้ดอกต้นสูงจำพวกหนึ่ง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
Status: Ongoing
ระหว่างทำวิทยานิพนธ์ก่อนจบการศึกษา จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ ก็เข้ามาอยู่ในนิยายของเพื่อนร่วมห้อง แน่นอนว่าเธอรู้จักตัวละครชายอย่าง เสวี่ยหยวนจิ้ง เป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นพระเอกในเรื่อง คนผู้นี้รูปงามทั้งยังเก่งกาจ แต่ถ้าจำไม่ผิด เขาจะฆ่าแม่เลี้ยงและทำร้ายน้องสาวต่างมารดา ซึ่งโชคร้ายที่เธอมาอยู่ในร่างน้องสาวที่เขาเกลียดชังนี่เอง แล้วเธอจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร ในเมื่อ ‘ท่านพี่’ ผู้นี้เย็นชาจนน่ากลัว ดูเหมือนเขาจะไม่มีความเป็นพระเอกเอาเสียเลย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset