ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 117

บทที่ 117 ขบวนอันโอ่อ่า

ลู่ยาพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “แต่อย่างน้อยเรื่องที่แน่ใจได้คือ บุญคุณความแค้นของอู่เต๋อกับลัทธิฉ่านเริ่มต้นจากตรงนี้ อู่เต๋อที่กลับมาเป็นเซียนอีกครั้งรู้ว่าหลีหังคือผิงหนานอ๋อง และรู้ว่าเฟยอีคือหนึ่งในฮองเฮาหรือองค์หญิง ทั้งยังมีความทรงจำในชาติก่อนกับเฟยอียามเป็นชิงผิงซิงจวิน สรุปคือเพราะว่าเรื่องพัวพันนี้ เขาจึงไม่ลังเลที่จะสร้างความบาดหมางขึ้นระหว่างแต่ละภพกับลัทธิฉ่าน”

“ดังนั้นเมื่อคาดเดาต่อไป ความเป็นไปได้ที่หลีหังจะเป็นสามีของเฟยอีก็เชื่อถือได้มาก และข้าเดาว่าอู่เต๋อหาหนทางอื่นมาเติมเต็มความทรงจำสีขาวว่างเปล่านั้นได้แล้ว”

“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?” มู่จิ่วพูด “หากหลีหังคือสามีของเฟยอี ข้าเชื่อว่าเขาต้องมีความสามารถลบล้างความทรงจำของอู่เต๋อ แต่ในเมื่ออู่เต๋อตามหาความทรงจำพบ เช่นนั้นก็ไม่น่าเปลี่ยนเป็นสีขาวว่างเปล่าสิ?”

“ความทรงจำที่มาจากตัวตนเองกับความจริงที่ตามหาจนเจอนั้นเป็นคนละเรื่องกัน” ลู่ยาพูด “เช่นพวกเราได้ยินเรื่องบางเรื่องมา แต่เพราะไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง จึงไม่มีหนทางที่จะสร้างภาพชัดเจนในสมองของพวกเรา”

มู่จิ่วเข้าใจโดยพลัน

นางก้มหน้าลงครุ่นคิด พูดว่า “ดังนั้นต่อไปพวกเราต้องตามหาความจริงว่าหลีหังเจินเหรินแท้จริงแล้วใช่ผิงหนานอ๋องหรือไม่ และเป็นสามีของเฟยอีหรือเปล่า ถึงแม้ความทรงจำของชิงผิงจะถูกลบไปแล้ว หลีหังเจินเหรินกลับยังไม่ถูกลบ พวกเราต้องรู้ที่มาที่ไปได้แน่นอน! แต่ข้ายังต้องไปเอาผมของเขามาใช่หรือไม่?”

ลู่ยาแย้มริมฝีปากพลางนั่งลงไปบนตั่งอีกครั้ง ก่อนเอ่ย “ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าเอาเส้นผมของเขามาไม่ได้เลย ถึงจะเอามาได้ก็ไม่มีประโยชน์ บำเพ็ญยิ่งสูง ความทรงจำยิ่งเก็บไว้มิดชิด หากต้องการความทรงจำของหลีหังก็ต้องใช้เลือดของเขา”

เลือด?

มู่จิ่วไร้คำพูดแล้ว แม้แต่เส้นผมยังไม่แน่ว่านางจะเอามาได้ แล้วยังจะสามารถเอาเลือดของเขามาได้หรือ?

“ช่างเถอะ พรุ่งนี้เจ้าตามข้าไปวังหลีเฮิ่นแล้วกัน” ลู่ยาดื่มชาไปครึ่งถ้วยจึงพูดต่อ

มู่จิ่วถอนหายใจ เรื่องนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ

พูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป

แต่เดิมนั้นราชาจิ้งจอกตั้งใจมาพบลู่ยาแล้วกลับเลย มาตอนนี้พบเจอว่าคดีสืบสวนได้เบาะแสสำคัญ เป็นธรรมดาที่ต้องรั้งอยู่เพื่อฟังผลการสืบสวน

ดังนั้นจึงรั้งอยู่พักที่เรือนลู่ยาสักหน่อย

ในใจมู่จิ่วยังคงกังวลเล็กน้อย นางคนเดียวกลับรับคนไว้ในบ้านมากมายขนาดนี้ กลัวจริงๆ ว่าจางเหยี่ยนซิงจวินจะมีคำสั่งให้ออกไปได้ทุกเวลา และกังวลว่าอิ่นเสวี่ยรั่วอาจเกิดสงสัยขึ้นมา จึงยิ่งหวังว่าคดีนี้จะคลี่คลายโดยเร็ว วันถัดมาตอนเช้า ฟ้ายังไม่สว่างนางก็ตื่นขึ้นมาแล้ว จากนั้นจึงไปเคาะประตูเรือนลู่ยา

ลู่ยาพานางออกไปทางประตูสวรรค์แดนใต้ เหาะไปไกลพอควร ก็เรียกเมฆออกมายืนนิ่ง จากนั้นปลดปล่อยพลังบำเพ็ญทั้งร่างออกมา เห็นไอมงคลห้าสีบนศีรษะเขาปกคลุมท้องฟ้ากว้างใหญ่ เมฆขาวใต้เท้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสัตว์เทพยาวราวจั้ง วัวตัวนี้มีสี่เขา ขนยาวปกคลุมร่าง ตอนเห็นมู่จิ่วดวงตาทั้งสองก็ปล่อยแสงสีเขียวออกมา ไม่ต้องโกรธความดุร้ายก็ปรากฏให้เห็น

ตัวลู่ยาเองกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก เสื้อคลุมยังเป็นเสื้อคลุมตัวนั้น ผมยังหวีเป็นทรงแบบนั้น รองเท้าอะไรก็ตามล้วนไม่เปลี่ยน แต่บนมวยผมมีหยกครอบสลักลายฟ้าดินเพิ่มมา เขาที่อยู่เบื้องหน้ากลับเปล่งประกายออกไปหมื่นจั้ง เทียบกับหยกแล้วยังบริสุทธิ์กว่า เทียบกับเมฆแล้วยังพลิ้วไหวกว่า เทียบกับลมแล้วยิ่งอิสระกว่า เทียบกับฟ้าดินแล้วทำให้คนอยากครอบครองยิ่งกว่า

หงส์หลายตัวบินมาล้อมรอบเขาพลางร้องเพลง วิหคเขียวสองตัวคาบชายเสื้อเขา เมฆมากมายรวมตัวอยู่ใต้เท้า ยังมีเซียนสาวอีกสิบกว่าคนขี่เมฆมาข้างหน้า มือถือสิ่งของพวกพู่กันแดงและตราประทับหยุดอยู่ด้านหลังเขาสองข้าง

มู่จิ่วพลันรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นมดตัวเล็ก ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนยืนอยู่ห่างเขาออกไป

ลู่ยากลับดึงนางขึ้นมา เหยียบบนสัตว์เทพ แล้วมุ่งไปยังสวรรค์ชั้นสามสิบสาม

“นี่คืออ๋าวอิน ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าเพิ่งปล่อยออกมาเป็นสัตว์พาหนะ”

ไปได้ครึ่งทางเห็นมู่จิ่วก้มหน้ามองเท้าตลอด เขาจึงพูดขึ้น

…อ๋าวอิน? เจ้านี่คืออ๋าวอิน? อ๋าวอินที่ชอบกินคนเหมือนฉยงฉี[1]ที่สุด?!

สองเท้าของมู่จิ่วอ่อนแรง เกือบหมอบอยู่กับปลายเสื้อคลุมเขาแล้ว!

คนคนนี้กลับนำสัตว์ดุร้ายมาทำเป็นพาหนะ? เขาไม่กลัวทำคนตกใจตายหรือ!

แต่นางไหนเลยจะกล้าพูด หงส์ที่นำทางอยู่ด้านหน้าหยุดลงตรงซุ้มประตูสูงไม่เห็นยอด ต่อมาก็มีกลุ่มเทพเซียนเดินเท้าตามกันออกมาจากเมฆหมอกหนาในซุ้มประตู ถึงแม้จะเห็นหน้าผู้ที่นำมาหลายคนไม่ชัด แต่ภาพมงคลแปดทิศกับภาพนกเสวียนสีทองขนาดใหญ่บนตัวกลับแสดงชัดว่าต้องเป็นคนที่ตำแหน่งสูงใหญ่ในฟ้าดิน

ลู่ยายกมือสะบัดผ่านร่างมู่จิ่ว ร่างที่แต่เดิมเป็นสาวกลับกลายเป็นเซียนเด็กอายุราวสิบสองสิบสาม ผมเกล้าเป็นมวยสองมวย กระโปรงกลายเป็นเสื้อและกางเกง ที่คอมีสร้อยห้อยอยู่ ในมือยังมีพู่อีกด้วย

“น่ารักยิ่ง”

เขายิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงลงไปที่พื้นหน้าทางเข้าออกอย่างสง่างาม

น่ารักกับผีสิ!

มู่จิ่วค้อนเขาในใจ นางลืมไปนานแล้วว่าวางตัวเป็นเด็กน้อยต้องทำยังไง อยู่ไม่นานและไม่เกิดข้อพิรุธอะไรจึงจะดี

“ยินดีต้อนรับองค์เทพเต้าจู่!”

เพิ่งลงถึงพื้น เสียงราวตีภูเขาพลิกทะเลก็ดังมา

มู่จิ่วช้อนสายตามองขึ้นไป เห็นเพียงแถวด้านหน้าสุดเป็นนักพรตเสื้อดำ ด้านหลังเป็นสีขาว หลังไปอีกเป็นสีเขียว…ด้านข้างของคนที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าสุด มีนักพรตสี่คนผมดำหลังค้อมใบหน้าอบอุ่นยืนอยู่ ส่วนตัวเขาเองศีรษะปกคลุมไปด้วยผมสีเงิน เสื้อคลุมยาวระพื้น ลายมงคลแปดทิศบนหน้าอกส่องสว่าง รองเท้าเมฆาไม่ติดละอองธุลีเลย

บนศีรษะเขายังมีไอมงคลรวมอยู่ ดูไม่ต่างกับลู่ยาเท่าไรนัก รอบตัวมีกระเรียนเซียนล้อมรอบ ใบหน้าซึ่งขาวนวลดั่งพระจันทร์เต็มไปด้วยความสุขุมอ่อนโยน เมื่ออยู่ท่ามกลางขาวกับดำ เขาเหมือนกับพระจันทร์สว่างบนภาพลายน้ำหมึก

ลู่ยาไปถึงหน้าคนผู้นี้ พูดว่า “ป๋อหยางช่วงนี้สบายดีหรือ?”

ป๋อหยางคือชื่อเดิมของไท่ซ่างเหล่าจวิน ไม่ต้องพูดเลยว่านี่คือไท่ซ่างเหล่าจวิน

ไท่ซ่างเหล่าจวินยอบกายลง ค้อมตัวอยู่ทางด้านขวาของลู่ยาก่อนเดินเข้าไปในซุ้มประตู มุ่งไปยังวังโตวลวี่ “ขอบคุณอาจารย์อาน้อยที่จำได้ ก่อนหน้านี้ศิษย์ปิดด่าน ไม่รู้เรื่องราวอะไร และไม่รู้อาจารย์อาจะมาถึงที่นี่ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ยังหวังว่าท่านจะให้อภัย…”

มู่จิ่วยังนึกไปว่าเขาคือคนชรา คิดไม่ถึงว่ารูปลักษณ์ของเขากลับเยาว์วัยแบบนี้ เมื่อมองไป ทุกส่วนล้วนสง่างามสะอาดหมดจด กลิ่นอายเซียนรายล้อม เทียบกับความสูงส่งมีเกียรติของสวรรค์แล้วเป็นความสง่างามอีกแบบ เหมาะสมกับคำว่าสงบเงียบ

ครั้นเข้าไปในวังแล้ว เหล่าจวินเชิญให้ลู่ยานั่งข้างบน จากนั้นเรียกศิษย์เข้ามาทำความเคารพทีละคน

ลู่ยาพูด “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงแค่ว่างจนเบื่อเลยมาดูเจ้าหน่อย” พูดจบก็รับเหล้าที่เหล่าจวินส่งมาด้วยมือตนเอง แล้วเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีศิษย์ที่ดูแลหน่วยทหารของสวรรค์ หลายวันก่อนข้าศึกษาของวิเศษ กำลังคิดถามเรื่องเกี่ยวกับการวางกระบวนทัพทหาร เจ้าเรียกเขามาหน่อย”

เหล่าจวินไหนเลยจะสงสัย? รีบพยักหน้าส่งคนไปที่สวรรค์ จากนั้นก็ถามไถ่เรื่องวังสามสิบเก้าชั้น

ทางมู่จิ่วเพิ่งสำรวจการตกแต่งรอบด้านของวังนี้อย่างละเอียด ที่ประตูก็มีศิษย์พูดขึ้น “อาจารย์อาเก้ามาแล้ว”

นางรีบมองไปทางประตูวัง เห็นเพียงคนผู้หนึ่งเดินมาอย่างมั่นคง สวมเสื้อเกราะสีเหลืองทอง สวมรองเท้าเกล็ดมังกร ข้างเอวแขวนกระบี่หั่นปีศาจ สวมครอบมวยผมสีทองม่วง คิ้วเข้มทั้งสองเฉียงเข้าจอนผม รูปดวงตาเรียวยาวราววาดมา สันจมูกใบหน้าล้วนแข็งแกร่งยิ่ง ริมฝีปากรับกับกราม ทว่าแต้มไฝแดงระหว่างคิ้วนั้นกลับดูน่าเกรงขามอย่างมาก

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset