ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 154 หึงหรือไม่?

บทที่ 154 หึงหรือไม่?

“ยาดีรักษาอาการเน่าเสริมสร้างเนื้อ กินไปบาดแผลยาวเป็นฉื่อสามารถตกสะเก็ดภายในสามวัน” มู่จิ่วมองเขาอย่างดุดัน เชิดคางขึ้นสูง

ทั้งที่นางเป็นเพียงหัวเสิน แต่ต่อหน้าเขาที่เป็นมังกรทะเลสาบน้ำแข็งยังไม่เกรงกลัวเลย?

อ๋าวเจียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหยิบยาขึ้นมา ดมตรงหน้าจมูก จากนั้นมองมู่จิ่ว ก่อนพลีชีพใส่เข้าปากกินลงไป

ความเป็นไปได้ที่นางหยิบยาพิษให้เขากินมีไม่มากนัก นอกเสียจากนางจะสร้างปัญหาให้กับตัวนางเอง

ในเมื่อไม่มีพิษ ทดสอบว่านางโอ้อวดหรือไม่ก็ดีเหมือนกัน

คิดไม่ถึงหลังจากกินยานี้ลงไป ความรู้สึกเย็นสบายก็แผ่มาตรงบาดแผลทันที อาการแสบร้อนก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว และขณะเดียวกัน ในความเย็นสบายก็ตามมาด้วยความรู้สึกคันเล็กน้อย เขาเลิกเสื้อขึ้นมา เห็นเพียงบาดแผลยาวสามฉื่อกำลังค่อยๆ เกิดเนื้อใหม่ขึ้น ส่วนที่เลือดซึมออกมาก็แข็งตัวกลายเป็นสะเก็ด!

มู่จิ่วเห็นใบหน้าตกใจของเขาก็พอใจอย่างมาก

เพียงแค่ยาเซียนของหลิวหยางก็ทำให้เขาตกใจจนเป็นแบบนี้แล้ว นี่ยังไม่ให้เขาเห็นอิทธิฤทธิ์ของลู่ยาเลยนะ!

“นับว่าข้ารับน้ำใจเจ้าแล้ว” อ๋าวเจียงเงียบไปนาน ก่อนพูดออกมาอย่างอึดอัด

มู่จิ่วไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ โค้งกายให้ก่อนเดินออกจากประตูไป

ท่าทางตกใจของอ๋าวเจียงต่อหน้านางช่างทำให้รู้สึกมีความสุข หลังจากออกเวรมุ่งกลับไปยังหน่วยบัญชาการ ลู่ยาก็กลับมาพอดีเช่นกัน

นางเล่าเรื่องที่อ๋าวเจียงได้รับบาดเจ็บให้ลู่ยาฟัง เท้าเขาเหยียบเก้าอี้ยาว นิ่งอยู่นานก่อนพูด “อ๋าวเจียงคนนี้ช่างมีปัญหานัก”

“ไม่ผิด ข้าก็คิดแบบนั้น!” นางพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้หลายอย่าง ข้อแรก เขากับคนสี่ของตระกูลอวิ๋นมีความแค้นส่วนตัวกัน แต่ไม่เกี่ยวกับอ๋าวเชิน ข้อสอง เขาเคียดแค้นเฉินผิง อยากกำจัดอีกฝ่าย ใครจะรู้ว่าโดนข้าตัดหน้าสังหารเฉินผิงไปก่อนแล้ว เขาโกรธมาก ดังนั้นจึงแค้นข้า ยังมีข้อสาม…”

พูดถึงตรงนี้นางหยุดลง มองลู่ยานิ่งๆ

“ข้อสามคืออะไร?” ลู่ยาอดใคร่รู้มิได้

นางหัวเราะแล้วเอ่ย “ข้อสามคือ เป็นไปได้ว่าอ๋าวเชินพ่อลูกคู่นี้ชอบพอหญิงคนเดียวกัน แต่อ๋าวเชินใช้ความเป็นพ่อชิงตัวหงส์เพลิงจากมือลูกชายมา ลูกชายไม่สามารถชิงมาได้ในที่แจ้ง ทำได้เพียงชิงมาอย่างลับๆ ตระกูลอวิ๋นนับว่ามีหน้ามีตา แน่นอนว่าไม่ยอมให้เขาก่อเรื่องแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงขัดแย้งกับตระกูลอวิ๋น”

ลู่ยาฟังจบก็มองนางอย่างล้ำลึกอยู่นาน ก่อนพูด “เจ้าไม่ไปเขียนบทละคร ช่างน่าเสียดายความสามารถ”

“น่าละอาย น่าละอาย” มู่จิ่วนั่งลงข้างเขาอย่างดีใจ “พูดกับเจ้าไม่ปิดบัง โลกมนุษย์มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย พวกเราผู้บำเพ็ญไม่ได้ใส่ใจเรื่องความรู้สึกทั้งเจ็ดอารมณ์ทั้งหก เรื่องอะไรก็เป็นไปได้มากทั้งนั้น”

ลู่ยาไม่รู้จะพูดอะไรดี

รู้สึกว่าบางครั้งสิ่งที่นางนินทา เทียบกับเขามหาเทพผู้ลอยชายไปมาหลายสิบหมื่นปีแล้วยังสูงส่งกว่า

“ลู่หยา เจ้าอยู่ในห้องหรือไม่?”

กำลังฟังนางคุยโม้ ตอนนี้เองนอกประตูมีเสียงอ่อนโยนดังเข้ามา

มู่จิ่วรีบโผล่หัวออกไป เห็นเพียงใต้ภูเขาจำลองในลานบ้านที่เต็มไปด้วยจื่อเถิง ไม่รู้ตอนไหนมีสาวน้อยสวมเสื้อสีเหลืองอ่อนยืนอยู่ สาวน้อยผมดำยาวถึงข้อเท้า งดงามอย่างมาก ดวงตาก็สว่างเหมือนหินขัดเงา บนร่างประดับไปด้วยหินมีค่ามากมาย แต่สำคัญคือรูปลักษณ์ตาโตปากอิ่ม ดูไปแล้วอ่อนโยน

“นี่คือใคร?” นางถาม

ตอนเห็นอ๋าวเยวี่ย คิ้วลู่ยาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย

ตั้งแต่หลายวันก่อนที่พบนอกวังประจิมไสว จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก แต่นางกลับมาหาถึงที่นี่

“องค์หญิงใหญ่ของพวกเขา” ตอนพูดคำนี้ดวงตาของเขาไม่ได้มองอ๋าวเยวี่ย แต่จ้องมองมาทางนาง

“ทำไมนางมาหาเจ้า?”

มู่จิ่วมององค์หญิงอ๋าวเยวี่ยที่อ่อนโยน แล้วมองเขาที่งดงามเหนือผู้คน ใจพลันเต้นตึกตักขึ้นมา พ่อหนุ่มคนนี้ช่างมีวาสนาเรื่องหญิงสาว ไปชิงชิวมู่หรงเสวี่ยจีถูกใจ มาถึงวังมังกรก็มีองค์หญิงของพวกเขามาหาถึงประตู มิน่าละเขาถึงไม่รับศิษย์ กลัวว่าแค่เผยหน้าตาออกไปข้างนอกก็สร้างลัทธิขึ้นมาได้แล้ว ยังต้องรับศิษย์อะไรอีก?

“อ้อ วันนั้นที่นอกวังประจิมไสว นางเกือบล้มลงไป ข้าผ่านไปพอดีจึงช่วยนางไว้” ลู่ยาถูๆ จมูก ตอบอย่างส่งเดชและสบายๆ “บางทีนางอาจมาแค่ขอบคุณ”

มู่จิ่วตอบรับคำหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

นางมองข้างนอกพลางพูด “เจ้าไม่เชิญนางเข้ามาพูดคุยล่ะ?”

“จำเป็นด้วยหรือ?” เขาถาม

“ก็ยังคงจำเป็น” มู่จิ่วเกาหัวพูดแบบนี้

ลู่ยายิ้ม จากนั้นเดินออกไปนอกประตูจริง

อ๋าวเยวี่ยเห็นเขาปรากฏตัว ใบหน้าก็เหมือนกับดอกไม้บาน ยิ่งเพิ่มความอ่อนโยนน่าหลงใหล หญิงสาวท่าทางสง่างามช่างทำให้คนนึกชอบ คนทั้งสองยืนมองตายิ้มให้กันอยู่กลางลาน เห็นแล้วบาดตานัก

ช่างเป็นชายสง่าหญิงงาม

มู่จิ่วหมอบอยู่ตรงหน้าต่างพลางมองดู ในใจพลันฝาดเฝื่อน

ในลาน อ๋าวเยวี่ยพูดคุยสัพเพเหระกับลู่ยาหลายประโยค นางมองมู่จิ่วที่ถอยไปจากหน้าต่างก่อนเอ่ย “เซียนหญิงที่อยู่ด้วยกันนั้น ได้ยินว่าเป็นคู่หมั้นของเจ้า?”

ลู่ยากอดอก “ใช่แล้ว เจ้าไม่ได้เข้าใจผิด”

อ๋าวเยวี่ยยิ้มพูด “ข้ายังคิดว่าเจ้าที่มั่นคงน่าสนใจแบบนี้ ควรชอบหญิงผู้มีคุณธรรมและหนักแน่น”

“ไม่ ข้าบังเอิญชอบแบบนี้ เปลี่ยนให้แปลกจากนี้สักเล็กน้อยข้าก็ไม่ต้องการ”

สีหน้าลู่ยายังคงสบายๆ

อ๋าวเยวี่ยมองหน้าต่างอีก ครั้นหมุนกายไปจึงยกมือลูบริมฝีปากที่คลี่รอยยิ้มออกมา

มู่จิ่วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมา ลู่ยาก็เข้ามาแล้ว นางวิ่งไปดูตรงหน้าต่าง อ๋าวเยวี่ยจากไปเรียบร้อย

คิดไม่ถึงว่าจะไปเร็วแบบนี้

นางถาม “ทำไมเจ้าไม่ไปส่งคนเขา?”

“เพราะวันนี้ข้าเหนื่อยเล็กน้อย” ลู่ยานั่งลง สองเท้าพาดไว้บนเก้าอี้

มู่จิ่วเข้าใจว่าเขาอยากดื่มชา จึงถือกาน้ำชาเข้ามา “ที่แท้องค์ชายองค์หญิงของวังมังกรแต่ละคนล้วนหน้าตางดงาม เห็นอ๋าวเจียวแล้วก็งดงามมากเมือนกัน”

นางก็บอกไม่ถูกว่าตนเองเป็นอะไรไป รู้สึกอิจฉาอ๋าวเยวี่ยอยู่หลายส่วน

แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายคนไหนสามารถแหย่นางให้มีความสุขแบบนี้ได้

แต่บางทีตอนที่นางไม่มีความสุขอาจจะมีน้อยมาก ง่ายๆ สบายๆ ดีใจก็ยิ้มกว้าง ไม่ดีใจก็โกรธ ไม่ต้องการให้คนอื่นมาทำดีด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางมักเซ่อซ่าอยู่บ่อยๆ ไหนเลยจะคู่ควรให้ผู้อื่นใส่ใจปฏิบัติด้วย

“งดงามงั้นหรือ? ยังดีเท่านั้นแหละ” ลู่ยารับชามา สายตามองใบหน้าของนางไปมาอยู่ตลอด

ในที่สุดมู่จิ่วถูกจ้องจนไปไม่เป็น จึงถามเขา “ทำไมเจ้ามองข้าอยู่ได้?”

ลู่ยาดึงนางนั่งลงบนตัก ก่อนพูด “เจ้าหึงบ้างสักเล็กน้อยหรือไม่?”

ใบหน้ามู่จิ่วแดงก่ำ จากนั้นผลุงตัวขึ้นมา “นี่เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ข้าหึงอะไร? ถึงเจ้าอยู่กับผู้หญิงสักร้อยคนก็ไม่เกี่ยวกับข้าเข้าใจหรือไม่?”

“เช่นนั้นเจ้าทำไมหน้าแดง?” เขาถามอีก

มู่จิ่วอับอาย “ข้าเป็นหญิงใสซื่อที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี เจ้าพูดจากระเซ้าเย้าแหย่กับข้า ยังหวังให้ข้าเหมือนเจ้าหรือ? ข้าไม่ได้ขายรอยยิ้มนะ!”

………………………………………………

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset