ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 224 ชอบข้าหรือไม่?

บทที่ 224 ชอบข้าหรือไม่?

“แต่สุดท้ายแล้วพ่อข้าก็ยินยอม เขาถูกบังคับให้ยินยอม ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าจบอย่างไรล้วนดีทั้งนั้น สำหรับแม่ข้าแล้วก็เป็นการปลดปล่อย อย่างน้อยภายหน้าจะได้ไม่ต้องสับสนระหว่างยอมรับเขาหรือดูถูกเขาต่อไป ตอนนี้ข้าก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าในตอนแรก วังมังกรของพวกเราแท้จริงหดหู่เกินไป หดหู่จนไม่เหมือนบ้านจริงๆ”

พูดถึงตรงนี้เขาจึงหันหน้ามาหามู่จิ่ว “ดังนั้นข้าคิดว่าจะย้ายไปอยู่ที่เกาะเป่ยอี๋ ที่นั่นพลังวิญญาณสมบูรณ์ บึงน้ำเย็นข้างในก็เหมาะแก่การบำเพ็ญของข้า ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ช้าเร็วก็ต้องจากบ้านไป”

มู่จิ่วไม่ได้พูดว่าดีและก็ไม่ได้พูดว่าไม่ดี

หากรู้สึกว่าไม่มีหนทางเผชิญหน้ากับสถานการณ์น่าลำบากใจตรงหน้า บางทีจากไประยะหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแย่ เหมือนกับตัวนาง

สำหรับการจากไปของราชินี ที่จริงนางก็ไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย ไม่ว่าใครเดินมาถึงจุดนี้ คงไม่เหลือกำลังกายกำลังใจที่จะฟื้นฟูอีกครั้งแล้วกระมัง? วันนั้นที่วังเพลงวิหค มู่จิ่วถามราชินีว่าเสียใจภายหลังหรือไม่ นางกลับจากไปเงียบๆ ที่จริงก็เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดแล้ว หลังทุกข์ทรมานมายาวนานหลายปีนี้ นางคงจะเหนื่อยแล้วจริงๆ

การคลุมถุงชนตามประสงค์บิดามารดาในตอนแรก สุดท้ายแล้วก็จบไม่สวยนัก

นางผลักชาไปตรงหน้าอ๋าวเจียง “ดื่มชาหน่อยเถอะ”

อ๋าวเจียงรับชามาก่อนพูดอีก “ยังมีเรื่องน่ายินดีบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ของข้า เป็นของตระกูลอวิ๋น”

มู่จิ่วเงยหน้าขึ้น

“อวิ๋นซีจะแต่งงานแล้ว”

“เร็วเช่นนี้?” มู่จิ่วคาดไม่ถึง

จะว่าไปที่จริงอวิ๋นซีก็ควรแต่งงานแล้ว คนในตระกูลเขาน้อยขนาดนั้น ตอนนี้เป็นเวลาที่ควรรีบเพิ่มจำนวน แต่ภัยพิบัติของตระกูลพวกเขาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ตระกูลไหนยินยอมให้ลูกสาวแต่งให้เขาในเวลาสั้นขนาดนี้? อีกอย่างยังต้องเตรียมตัวแต่งงานอะไรอีก อย่างไรก็ต้องใช้เวลา?

“เป็นเผ่าพันธุ์หงส์แดงตระกูลกง ลำดับที่สองของบ้านพวกเขา เป็นพาหนะให้องค์ชายสามของอวี้ตี้”

เผ่าพันธุ์หงส์แดงตระกูลกง มู่จิ่วได้ยินชื่อตระกูลกงนี้แล้วก็นึกขึ้นได้ นี่มิใช่บ้านของเถ้าแก่หงส์หรือ

คิดไม่ถึงว่าทั้งสองตระกูลจะกลายเป็นญาติกัน!

และในตอนแรกเถ้าแก่หงส์ยังเอ่ยคำที่เหมือนกับเป็นการดูแคลนตระกูลอวิ๋น!

นางจึงถาม “ตระกูลกงมิใช่รังเกียจตระกูลอวิ๋นที่ผู้สืบทอดไม่เจริญรุ่งเรืองหรือ? ทำไมตอนนี้กลับรับปากให้ลูกสาวแต่งเข้าตระกูลอวิ๋นแล้ว?”

“อวิ๋นซีกับกงหนานเยี่ยนรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ตามคำบอกเล่า ตั้งแต่เรื่องของอวิ๋นเฉี่ยนกับพ่อข้าแพร่งพรายออกไปถึงค่อยไม่ให้พวกเขาไปมาหาสู่กัน” บนใบหน้าของอ๋าวเจียงมีความอับอายอยู่บ้าง เมื่อพูดถึงอวิ๋นเฉี่ยน เขายังคงรังเกียจนางอย่างมาก “เคราะห์กรรมครั้งนี้ของตระกูลอวิ๋นผ่านไปแล้ว กงหนานเยี่ยนมีปากเสียงกับที่บ้าน ตระกูลกงจึงทำได้เพียงตกลง”

มู่จิ่วก็ไม่ได้พูดอะไร

ในเมื่อแต่ละฝั่งต่างมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน คนนอกยังสามารถพูดอะไรได้อีก?

อีกอย่างในเมื่อตระกูลอวิ๋นมีความหวังแล้ว เป็นธรรมดาที่จากนี้ไปควรรีบแต่งเข้าหรือแต่งออก ทำให้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงเจริญรุ่งเรือง

“เช่นนั้นเจ้าจะไปเป่ยอี๋หรือ?” นางถาม

“ไม่ใช่ อย่างน้อยต้องกลับไปเก็บข้าวของก่อน” อ๋าวเจียงพูด มองนางคราหนึ่ง แล้วพลันหยิบกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ที่จริงข้ามาวันนี้เพราะตั้งใจมาคืนเจ้านี่”

เขาเปิดกล่อง กำไลม่วงทองด้านในพลันส่องแสงสว่างออกมาทั่วฟ้า มู่จิ่วเห็นมันก็ราวกับถูกมีดทิ่มเข้ากระบอกตา ดวงตาแสบร้อนขึ้นมา

นางไม่คิดว่าจะได้เห็นกำไลนี่อีก! นางยังเข้าใจว่าคืนนั้นลู่ยาเอากลับไปแล้ว!

“ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าหลังจากเจ้าไปแล้วจะเจอกับอันตรายใหญ่หลวงขนาดนั้น หากรู้ก่อน ข้าคงไม่ให้เจ้าไปแน่ ทำให้เจ้ากับเขาเป็นแบบนี้ ข้าต้องขอโทษเป็นอย่างมาก”

อ๋าวเจียงผลักกล่องมาไว้ตรงหน้านาง “พ่อข้าไปวังชิงเสวียนมาก่อน เต้าจู่บอกว่าของที่ให้ไปแล้วเขาไม่เคยเอาคืน ข้าคิดว่าเขาไม่ได้โกรธเจ้าแล้ว เจ้าไปหาเขาเถิด” อ๋าวเจียงมองนางก่อนพูดเบาๆ “อันที่จริงที่เขาโกรธไม่ใช่ไร้เหตุผล อย่างไรเขาก็มีใจต่อเจ้าอย่างลึกซึ้ง หากเปลี่ยนข้าเป็นเขา ไม่แน่ว่าอาจจะควบคุมตนเองไม่ได้ขนาดนั้น”

“ในมุมมองของผู้ชาย ข้ารู้สึกว่าความรู้สึกของเขาถูกละเลย ไม่ว่าเจ้าพูดเหตุผลออกมามากมายขนาดไหน สำหรับคนที่รักเจ้าแล้ว นั่นล้วนเป็นความเจ็บปวดแบบหนึ่ง ตอนนั้นสิ่งที่เจ้าพูดไม่ผิด สิ่งที่ทำก็ไม่ผิด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายไม่เหมือนกับคนนอกหรือสหาย ข้าคิดว่าเจ้าสามารถเปลี่ยนวิธีอธิบายกับเขาได้”

“หากตอนนั้นเจ้ายอมถอย ทำให้เขาใจเย็นโดยไม่รีบร้อนอธิบายให้เขาเข้าใจ ข้าคิดว่าเรื่องราวต้องไม่เป็นแบบนี้ เขาเป็นเทพชั้นสูงที่มีหน้าที่ปกปักวิถีฟ้า เขาเข้าใจว่าจะทำอย่างไรกับความดีความชั่วมากกว่าใครอื่น จะไม่เข้าใจความคิดดีงามของเจ้าที่อยากช่วยข้าได้อย่างไร?

“เพียงแต่เขาเก่งกาจอีกเท่าไหร่ ยิ่งชอบเจ้ามากเท่าใด เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาต้องไม่ยอมให้เจ้าละเลยความในใจเขา”

มู่จิ่วนำกำไลมาไว้ในมือ ไม่รู้จะพูดอะไรดี

อ๋าวเจียงนำแก้วจรดริมฝีปาก มองเท้าแล้วพูด “ถึงแม้ข้าไม่มีประสบการณ์ แต่ข้ากลับเข้าใจความคิดของชายที่มีความรัก บางครั้งสิ่งที่เขาต้องการมิใช่เหตุผลกับคำอธิบาย เพียงต้องการความใส่ใจของเจ้าสักหน่อย คำพูดของเจ้าในตอนนั้นมาจากการใช้เหตุผล แต่ทำให้เขาที่รักเจ้าไม่มีหนทางลง”

“หากเจ้าปลอบใจเขาหน่อย ก็เท่ากับเป็นการให้ความมั่นใจแก่เขา แท้จริงเพราะเขาใส่ใจเจ้าจึงใส่ใจการกระทำของเจ้า หากเจ้าสามารถใช้การกระทำของตนแสดงให้เขาเห็นความในใจของเจ้าเหมือนกัน เขาจะโกรธเจ้าได้อย่างไร?”

มู่จิ่วพูดไม่ออก ไม่อาจไม่บอกว่าคำพูดนี้ของเขาทำให้นางหวั่นไหว นางเงยหน้าขึ้นมองไปห้องทางตะวันออกที่ยังปิดอยู่ ตัวแข็งทื่อเหมือนหิน

ผ่านไปสักพัก นางถึงเงยหน้าขึ้นพูด “แต่ตอนนี้ข้ายังคิดวนเวียน ไม่ใช่ว่าข้ากล่าวโทษเขาไม่เข้าใจข้า แต่ข้ากำลังพิจารณาตนเองว่าไม่มีจิตไม่มีใจหรือไม่ ชอบเขาไม่พอหรือเปล่า?”

“หากเจ้าไม่ชอบเขา แล้วเจ้าชอบข้าหรือไม่?” อ๋าวเจียงพลันหันมาจ้องนาง

ใจนางพลันสั่นสะท้าน ชักแขนที่ค้ำอยู่กลับมาโดยไม่รู้ตัว

“เจ้าทำแบบนี้กับข้า เรียกว่าไม่ชอบ”

อ๋าวเจียงละสายตากลับมา มองควันเขียวที่ลอยออกมาจากเตากำยาน “เจ้าไม่อาจเข้าใจตนเองได้ว่าชอบหรือไม่ แต่เจ้าต้องรู้ว่าตนเองไม่ชอบหรือไม่”

“เจ้าปฏิบัติต่อข้าไม่ต่างกับปฏิบัติต่อคนอื่น เจ้าช่วยข้าไม่ใช่เพราะรู้สึกพิเศษอื่นใดกับข้า เจ้าเพียงทำเพราะจิตใจดี แต่เจ้าปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนกัน ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนเจ้าชอบใครสักคนหนึ่งจะแสดงออกอย่างไร แต่ข้าเชื่อว่าหากเปลี่ยนคนที่บาดเจ็บในตอนนั้นเป็นลู่ยา เจ้าคงยินยอมตายไปด้วยกันกับเขา”

ริมฝีปากทั้งสองของมู่จิ่วสั่นน้อยๆ ฝืนยิ้มก่อนเอ่ย “ไหนเลยจะหนักหนาขนาดนั้น”

พูดจบกลับเงียบไป

นางสามารถทำเพื่อลู่ยาได้ถึงขั้นไหน นางก็ไม่รู้ แต่อ๋าวเจียงพูดไม่ผิด หากตอนนั้นคนบาดเจ็บคือเขา นางคงเลือกอยู่ต่อ

ทว่าเขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่ต้องการการเสียสละเหล่านี้ของนางเลย เขาจะรู้ได้อย่างไร

แต่นางก็หวังว่าเขาจะไม่รู้ตลอดไป

เพราะนางไม่ต้องการให้เขาบาดเจ็บ

“ถึงแม้ข้าไม่อยากเอาพวกเจ้ามาเปรียบกับพ่อข้านัก แต่จากมุมหนึ่งพวกเขาก็เป็นตัวอย่างได้ ข้าคิดว่าหากตอนแรกแม่ข้าสามารถทำอะไรบางอย่างบ้าง เรื่องราวคงไม่เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นจงไปหาเขาเถอะ…”

ตอนอ๋าวเจียงไปนางไม่รู้สึกตัวเลย จนเมื่อสติกลับมา ในห้องก็เหลือเพียงกำยานที่ใกล้มอดดับแล้ว

…………………………………

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset