ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 232 เหนียงเหนียงช่างเก่งกาจ

บทที่ 232 เหนียงเหนียงช่างเก่งกาจ

เหมือนมีกลองรัวอยู่ในใจมู่จิ่ว ไม่รู้ว่าหวังหมู่คิดจะทำอะไร แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจัดการนาง กลับเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องราวใดอยู่ในใจ

หวังหมู่ปอกเปลือกลิ้นจี่ทั้งสิ้นสามลูกถึงได้หยุด นำผ้าเปียกในถาดหยกข้างตัวมาเช็ดมือและเล็บไปเรื่อยๆ พลางพูด “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องเหม็นเน่าของตระกูลอวิ๋นตระกูลอ๋าว พูดแบบนี้ความสามารถเจ้าก็ไม่น้อยเลย”

“มิกล้า” มู่จิ่วมองพื้น “หม่อมฉันเพียงโชคดีเท่านั้น นับไม่ได้ว่าเป็นความสามารถอะไร”

“โชคดีก็นับเป็นความสามารถ” หวังหมู่ลูบดอกบัวแฝดที่ปักบนผ้าเช็ดหน้า ก่อนพูดเรียบๆ “ข้ากำลังต้องการหาคนที่มีโชค ในเมื่อเจ้ามีโชคดีเช่นนี้ มิสู้ทำงานให้ข้าหน่อย?”

มู่จิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ ทำงานให้?

นัยน์ตาหงส์ของหวังหมู่เสมองนาง แววตาไร้ความรู้สึกทันที ไม่มีความโกรธ ไม่มีการเย้ยหยัน มีเพียงสีหน้านิ่งสงบจนมองอารมณ์ไม่ออก “เรื่องนี้หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะไม่เอาความเรื่องเจ้ากับฝ่าบาท”

มู่จิ่วกลั้นหายใจมองนางอยู่นาน ถึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมา

“จริงหรือเจ้าค่ะเหนียงเหนียง?”

หวังหมู่ยกริมฝีปากพลางมองนาง “ก็แค่ลูกมังกรเท่านั้น ไหนเลยจะคู่ควรให้ข้าลงมือ คำพูดของข้าย่อมเชื่อถือได้”

มู่จิ่วผ่อนลมหายใจทันที แต่ก็กังวลว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก ดังนั้นจึงเอ่ยปากหยั่งเชิง “มิสู้เหนียงเหนียงลองบอกก่อนว่าต้องการรับสั่งสิ่งใด?”

หวังหมู่กวักมือเรียกนาง รอนางเข้ามาใกล้จึงพูด “ข้าสงสัยเรื่องหนึ่งมาก ช่วงนี้ฝ่าบาทออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่เดินทางโดยเปิดเผย คล้ายไม่ยินยอมให้คนมองความเคลื่อนไหวออก ไม่รู้ว่าไปพบใคร? ข้าเห็นเจ้าทำงานได้ไม่เลว ช่วยข้าจับตามองเขา ไม่ว่าเขาออกจากวังไปพบใคร จงรายงานข้าให้หมด”

จับตามองอวี้ตี้?!

ลมหายใจของมู่จิ่วไม่รู้ว่าออกจากจมูกหรือออกจากปาก หวังหมู่ให้หัวเสินน้อยอย่างนางจับตามองอวี้ตี้ที่เป็นราชาสวรรค์ผู้น่าเคารพ? หวังหมู่คงไม่ได้มองนางเป็นมหาเทพที่ไม่มีอะไรทำไม่ได้หรอกกระมัง? ถึงแม้เป็นมหาเทพ หากทำเรื่องแบบนี้นางก็ต้องระวังหัวไว้ หากอวี้ตี้รู้จะไม่โยนนางลงแท่นประหารเซียนตอนนั้นเลยหรือ?

หวังหมู่ราวกับมองความคิดนางออก ปรับน้ำเสียงให้ช้าลงก่อนเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าทำอย่างอื่น เพียงช่วยข้าสืบว่าเขาออกไปพบใครก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไร อีกอย่าง ข้าจะให้ยาเซียนที่สามารถซ่อนพลังฤทธิ์แก่เจ้า ถ้าเจ้าอยู่ห่างจากเขาในระยะสิบลี้ เขาย่อมไม่เห็นร่องรอยเจ้า”

นางพูดพลางหยิบขวดเล็กจากโต๊ะหยกด้านข้าง “สืบได้แล้วกลับมารายงานข้า ไม่อนุญาตให้บอกคนอื่น ไม่อนุญาตให้คนอื่นรู้ และยิ่งไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ หากทำงานได้ไม่ดี ถึงตอนนั้นค่อยรอดูข้าใช้ผ้าทอสีเหลืองนี้จัดการเจ้ากับฝ่าบาทไปพร้อมกัน”

คำพูดนี้กล่าวอย่างอ่อนโยนนัก แต่เหมือนกับโดนดาบหมื่นเล่มฟันลงมา

มู่จิ่วหนังศีรษะชาอยู่บ้าง พูดอยู่นาน ที่แท้ก็ต้องการให้นางไปเป็นคนสอดแนม!

นางเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวน กลับยังต้องทำงานประเภทสะกดรอยตามคน!

พวกเขาสามีภรรยาทั้งสองทะเลาะกันกลับลากนางเข้าไปเกี่ยวด้วย นางต้องใจกล้าขนาดไหนถึงไปสะกดรอยตามอวี้ตี้!

แต่เห็นความดุร้ายบนหน้าหวังหมู่แล้ว นางไม่อาจไม่รับขวดเล็กนี้มา

“ขอบังอาจถามเหนียงเหนียง ทำไมไม่ไปใช้คนอื่น? หรือทำไมเหนียงเหนียงไม่ไปด้วยตนเองเจ้าคะ?” นางมองขวดที่เหมือนเผือกร้อนลวกมืออย่างอึดอัด “หม่อมฉันไม่มั่นใจเรื่องนี้ หม่อมฉันยังเป็นเพียงหัวเสิน แม้แต่เทพเซียนก็ยังไม่ใช่ ไม่รู้ว่าจะทำตามคำสั่งเหนียงเหนียงได้สำเร็จหรือไม่”

“ข้าจะไปเองได้อย่างไร?” หวังหมู่ยืนขึ้น เดินลงมาจากชั้นหยกอย่างช้าๆ “ไม่ต้องพูดถึงข้า หากเป็นคนในวังก็ไม่เหมาะสม ฝ่าบาทมีคาถาของเทพผู้สูงส่งคุ้มครองอยู่ ว่องไวต่อกลิ่นอายของคนที่คุ้นเคยข้างกายอย่างมาก หากข้าไป ไม่ถึงชั่วครู่เขาก็คงจับข้าได้แล้ว ข้าไม่ได้คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา เพียงสืบว่าเขาไปพบใคร และคำนึงถึงความปลอดภัยแทนเขา”

คำนึงถึงความปลอดภัยแทนเขา พูดเสียสวยหรู

มู่จิ่วเยาะเย้ยในใจพลางเอ่ยถาม “เช่นนั้นไม่ทราบว่าทำไมเหนียงเหนียงถึงไว้ใจหม่อมฉัน?”

หวังหมู่ยิ้มก่อนพูด “มิใช่ว่าเจ้ามีจุดอ่อนอยู่ในมือข้าหรือ”

มู่จิ่วพูดไม่ออกอยู่นาน

สุดท้ายจึงทำได้เพียงฝืนเอ่ยไป “เช่นนั้นหม่อมฉันจะลองดูก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลเมื่อไหร่ หากสะกดรอยตามไม่ได้อะไร เหนียงเหนียงก็อย่าได้ถือโทษ”

หวังหมู่พูด “หากทุ่มเททำงาน ข้าย่อมต้องไม่โทษเจ้า แต่หากคิดหลอกลวง เจ้าก็ระวังไว้!”

มู่จิ่วจนปัญญา “หม่อมฉันไม่กล้า”

หวังหมู่นำผ้าทอสีเหลืองวางไว้ใต้ถ้วย ก่อนกล่าว “กลับไปก่อนเถิด ค่อยเริ่มสะกดรอยตามพรุ่งนี้”

มู่จิ่วรู้สึกเพียงหัวจะระเบิดแล้ว

นางกลับไปกองบัญชาการ วันนี้ไม่มีอารมณ์ทำงานแล้ว

ไม่ง่ายนักที่จะทนจนถึงเลิกงาน ได้ยินว่าลู่ยาดูพวกเสี่ยวซิงปลูกผักอยู่ที่สวนผักด้านหลัง ดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปที่นั่น

ใต้เพิงปลูกแตง เขากำลังเก็บแตงกวามาป้อนอาฝู มู่จิ่วพูดอย่างอึดอัด “ยังจะกินแตงอีก!” ก่อนจะเล่าเรื่องนางไปหาหลิวจวิ้น และไปหาอวี้ตี้ตามคำแนะนำของเขา อีกทั้งถูกหวังหมู่จับจุดอ่อนให้นางไปสะกดรอยได้อย่างไรจนหมด “หากรู้แต่แรก เช่นนั้นก่อนออกนอกบ้านข้าคงดูดวงชะตา!”

ลู่ยาฟังจบก็แปลกใจเล็กน้อย “หวังหมู่เก่งกาจขนาดนี้?” ช่างพบเห็นได้ยากนัก

มู่จิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนย้อมถาม “ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรพูดว่า อวี้ตี้กลัวภรรยาถึงขนาดนี้เลยหรือ?”

ลู่ยายิ้มขณะโยนแตงให้อาฝู ยืนขึ้นมาแล้วพูด “จับตามองก็จับตามองไป อย่างไรก็ไม่ต้องให้เจ้าเก็บกวาด”

มู่จิ่วย่อมรู้ว่านางไม่ต้องเก็บกวาด ทว่านี่มันกลัดกลุ้มมิใช่หรอกหรือ

ใครจะรู้ว่าหวังหมู่ให้จับตามองอวี้ตี้เพื่ออะไร?

นางเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ที่เถรตรงคนหนึ่ง แอบไปทำเรื่องสะกดรอยตามแบบนี้ มันน่ารำคาญหรือไม่?

แถมยังสะสมบุญกุศลไม่ได้ด้วย!

แต่เมื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่อวี้ตี้ออกไป พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด งานนี้ก็ไม่ยากเหมือนอย่างที่คิด

ก่อนอื่น อวี้ตี้ออกไปข้างนอกไม่บ่อย หากออกไปอย่างเป็นทางการ โดยพื้นฐานทุกคนย่อมคาดเดาสถานที่ที่ไปได้ ที่จริงมู่จิ่วต้องแอบสะกดรอยตามยามที่เขาออกไปข้างนอกอย่างลับๆ ก็พอแล้ว แน่นอน มู่จิ่วไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาจะออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ และไม่สามารถรออยู่นอกวังได้ตลอดเวลา ดังนั้นหากหวังหมู่รู้ต้องส่งคนมาแจ้งนาง

หากแม้แต่หวังหมู่ก็ไม่รู้ล่วงหน้าว่าอวี้ตี้จะไปเมื่อไหร่ แบบนั้นหลังจากเกิดเรื่องแล้วค่อยไปสอบถามก็ได้

เมื่อคิดได้แบบนี้ ความกดดันก็ลดลงไปครึ่งหนึ่ง

เช้าวัดถัดมา นางตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส กินอาหารเช้าเสร็จก็มุ่งตรงไปที่หน่วย

ลู่ยาก็ฝึกวิชาให้รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูตามปกติ

รุ่ยเจี๋ยแต่เดิมเคยฝึกเคล็ดวิชาของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางมาแล้ว และเผ่าจิ้งจอกเก้าหางฝึกบำเพ็ญตามหนี่ว์วา ดังนั้นเมื่อรับช่วงต่อการฝึกมาจึงไม่มีอะไรยาก แต่เพราะพลังบำเพ็ญของหนี่ว์วาคือพลังเสวียนคง ของลู่ยาคือพลังเสวียนหมิง ยังต้องอาศัยเวลาชั่วระยะหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง ช่วงนี้ลู่ยาเลยให้เขาฝึกฝนพลังคงและหมิงผสมผสานกันเป็นหลัก

อาฝูยิ่งง่ายกว่า แต่เดิมเขาไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาอะไรมาก่อน ในร่างมีเพียงพลังฤทธิ์แต่กำเนิด ฝึกฝนมาครึ่งปี สามารถเป็นคู่หูให้มู่จิ่วได้แล้ว ตอนนี้หากสอนเคล็ดวิชาง่ายๆ ให้เขา ไม่ถึงสามวันเขาก็สามารถทำได้

ถ้ามีเวลาลู่ยาก็ไม่ลืมชี้แนะเสี่ยวซิง พื้นฐานของนางอ่อนเกินไป เพิ่งมีพลังบำเพ็ญห้าร้อยปี ถึงแม้เขาสอนนาง ในช่วงเวลาสั้นๆ นางก็ยังทำไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องจับตาดูนางใกล้ชิด ทุกเดือนแค่ต้องดูว่าเคล็ดวิชานางก้าวหน้าไปอย่างไรก็พอแล้ว

…………………………………

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset