ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 245 นี่คือปริศนา

บทที่ 245 นี่คือปริศนา

ในใจมู่จิ่วกลับค่อนข้างเฉยเมย ถึงแม้เหลียงจีรักเขามากพอ ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีเหตุผลที่จะไป?

หากเขาทำอะไรผิดล่ะ?

อา นางเห็นเรื่องรักหลายใจยุ่งยากมามาก ไม่อาจโทษที่นางคิดมากได้

ลู่ยากลับถามออกมาแม้นางจะไม่ได้เอ่ยไป “เจ้าทำอะไรผิดต่อนางมาก่อนหรือไม่?”

“ไม่มีขอรับ” ซื่ออินตอบ “พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต หลายปีขนาดนี้ ถึงแม้ทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และไม่เคยทิ้งความบาดหมางอะไรไว้ ข้ายินยอมสละทุกอย่างเพื่อนาง พ่อและแม่ของข้าก็ชอบนางมาก พูดได้ว่าระหว่างพวกเราไม่มีอุปสรรคอะไรขวางกั้น”

มู่จิ่วพินิจมองเขาสักครู่ เห็นเพียงความมั่นคงในแววตาเท่านั้น ดูแล้วคงไม่ได้พูดเกินจริง

คนหนึ่งคนสามารถเชื่อมั่นแน่วแน่แบบนี้ได้หลังจากผ่านไปห้าร้อยปีแล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นความจริงสักหลายส่วน

แต่นี่ก็น่าแปลกนัก ในเมื่อคนสองคนรักกันและถึงขั้นจะแต่งงานกัน ทำไมนางถึงหายตัวไปกะทันหัน?

มู่จิ่วมองลู่ยา เขาไม่ได้แสดงออกอะไร

“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนลักพาตัวนาง?” ตอนนี้เองซ่างกวนสุ่นก็เดาขึ้นมา

พูดถึงเรื่องหายตัว นอกจากเสียใจแล้วหนีจากไป ที่เหลือส่วนใหญ่ก็มีเพียงถูกลักพาตัวหรือพบเจออันตราย

“ไม่ใช่ขอรับ” ซื่ออินพูด “ข้ารับใช้หญิงในวังเห็นนางเดินออกไปเอง และเป็นนางเองที่บอกว่าออกไปแล้วเดี๋ยวกลับมา อีกทั้งไม่มีคนมาหานางที่วัง วันนั้นข้าออกไปทำธุระข้างนอกพอดี ยังไม่ทันกลับมา วันรุ่งขึ้นถึงได้รู้เรื่องที่นางหายตัวไป”

มู่จิ่วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ในเมื่อไม่ใช่เพราะเสียใจ ไม่ได้พบเจออันตราย หรือว่าจะหายไปในอากาศ?

ทุกคนในห้องล้วนเงียบ

“บนตัวเจ้ามีสิ่งของของนางติดตัวหรือไม่?” ลู่ยามองซื่ออิน

ซื่ออินครุ่นคิด ก่อนหยิบแหวนรูปทรงโบราณจากกระเป๋าเล็กออกมา “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าให้นางตอนอายุครบหมื่นปี”

มู่จิ่วถามทันที “ในเมื่อเป็นของขวัญที่สำคัญขนาดนี้ ตอนนั้นทำไมนางไม่ใส่ไปด้วยล่ะ?”

ซื่ออินตอบ “วันเกิดทุกพันปีข้าจะให้ของขวัญนาง ภายหลังอายุถึงสามหมื่นปี ของขวัญก็มากมายจนใส่ไม่ไหวแล้ว แหวนนี้ถูกของใหม่เข้าแทนที่ นางไม่ทิ้งของที่ข้าให้อย่างส่งเดชแน่นอน” ปลายประโยคเขาเน้นย้ำเช่นนี้

ได้ยินเขาเอ่ยเน้นแบบนี้ ใบหน้ามู่จิ่วร้อนจนไม่ไหว นางถอยไปด้านหลังลู่ยา ก่อนยื่นมือออกไปลูบ

ลู่ยายกริมฝีปาก หันหน้ามาพูดกับนาง “ข้ากระหายแล้ว ช่วยข้ารินชามาที”

มู่จิ่วรีบถอยออกจากประตูไป

ดึกมากแล้ว สรรพสิ่งเงียบสงบ แสงจันทร์สาดส่องผืนแผ่นดิน ดอกไม้ต้นไม้ในลานเริ่มรับพลัง

ครั้นมาถึงห้องครัว มู่จิ่วก็หายลำบากใจแล้ว แต่ความคิดกลับยังติดอยู่กับคำพูดของซื่ออิน

ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เหลียงจีจากไปไม่ลา ความรู้สึกลึกซึ้งของซื่ออินควรจะรั้งหญิงทุกคนบนโลกนี้ได้ถึงจะถูก แต่นางกลับหายไปเหมือนกับปริศนา

ไม่รู้ว่าลู่ยาจะสืบอะไรได้หรือไม่?

หลังรินชาแล้วกลับมาในห้อง ชัดเจนว่าลู่ยาดูแหวนนั้นแล้ว “ไม่มีผมหรือเลือด จึงมองไม่เห็นเหตุการณ์แน่ชัดของนาง เห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น” เขามองแหวนวงนั้น “พี่สาวของนางแต่งงานแล้วหรือ?”

“ใช่ขอรับ” ซื่ออินก็ลุกขึ้นมายืนข้างเขาแล้ว “ปีนั้นราชาของอาณาจักรหนานเซียงมาสู่ขอ ท่านแม่ช่วยจัดงานแต่งของอู่เจินพี่สาวนางกับเขา เพียงแต่ตอนนี้นางตายแล้ว”

“ตายแล้ว?” เสี่ยวซิงเบิกตากว้าง

“ห้าพันปีก่อน อู่เจินแต่งให้กับเซวียนหยวนฮุ่ยราชาของอาณาจักรหนานเซียง พวกนางสองพี่น้องเป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงในหลายอาณาจักรทางเหนือของพวกเรา โหย่วเจียงและหนานเซียงแต่ก่อนไม่เคยติดต่อกันมาก่อน แต่ปีนั้นมาสู่ขอกะทันหัน บอกว่าอยากสร้างมิตรไมตรีกับโหย่วเจียง”

“ท่านแม่ข้าเห็นเซวียนหยวนฮุ่ยสูงใหญ่แข็งแรง วิชาการรบก็สูงส่ง ถึงแม้พวกเราเผ่าพันธุ์เสือขาวแต่งงานกับคนนอกน้อยมาก แต่ดีร้ายเขาก็เป็นราชาของอาณาจักรหนึ่ง และเพราะข้ากับเหลียงจีใจตรงกัน ตกลงปลงใจจะแต่งงานกันอยู่แล้ว หากอู่เจินอยู่ที่โหย่วเจียงต่อ อย่างมากก็แต่งให้น้องชายข้า แม่ของข้าไม่อยากปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ยุติธรรม เพราะคิดว่านางแต่งไปก็เป็นราชินีของหนานเซียง จึงถามความเห็นของอู่เจิน และตกลงเรื่องแต่งงานนี้ไป”

“แต่พวกเราคิดไม่ถึงว่าเซวียนหยวนฮุ่ยจะเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ! ตอนแรกอู่เจินแต่งไปก็สงบเรียบร้อยดี แต่ไม่นานนักวันหนึ่งนางกลับมาคร่ำครวญร่ำไห้กับแม่ข้า เซวียนหยวนฮุ่ยไม่รู้ไปฝึกวิชามารไร้นามจากไหน ตัณหาราคะไร้ขอบเขต วันคืนพัวพันอยู่กับอู่เจิน ทำให้นางลำบากจนไม่อาจเอ่ย”

“แม่ข้าส่งคนไปพูดกับเซวียนหยวนฮุ่ยหลายครั้ง เขากลับวางเฉย ภายหลังเมื่อพ่อข้าเดินทางไปหาเขาที่อาณาจักรหนานเซียงด้วยตนเอง ต่อหน้าเซวียนหยวนฮุ่ยรับปากจะเปลี่ยนแปลง ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าอู่เจินป่วยหนัก! ข้ากับเหลียงจีเดินทางไปดูก่อน เห็นเพียงอู่เจินผอมจนเหลือแต่กระดูก พลังฤทธิ์ทั้งร่างหายไปไร้ร่องรอย แม้แต่ร่างเดิมยังปรากฏออกมารางๆ!”

ซื่ออินพูดถึงตรงนี้ก็กำหมัด ใบหน้าปรากฏความโกรธแค้น

มู่จิ่วกับลู่ยาหันมาสบตากัน สุดท้ายเขาเงียบไปสักครู่ ก่อนถามขึ้น “ต่อมานางก็ตาย?”

“พวกเรากลับมาได้ไม่นานนางก็ตาย นางที่ไม่มีพลังไม่ต่างกับลูกเสือที่เพิ่งเกิด หนำซ้ำพลังปราณของนางเสียหายหนัก มีเพียงหนทางตายเท่านั้น” ซื่ออินกุมมือพลางพูด “ถึงตอนนี้พ่อแม่ข้ายังโทษตนเองที่ให้นางแต่งให้กับเจ้าสารเลวนั่น เพราะเห็นแก่ตำแหน่งราชินีในตอนแรก ตอนอู่เจินตาย เหลียงจีตกใจตื่นกลางดึก จากนั้นร้องไห้วิ่งมาหาข้าที่ห้อง”

“ข้านำกำลังคนไปรบกับเซวียนหยวนฮุ่ยหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่รู้ผลแพ้ชนะ ต่อมาเพื่อป้องกันการสูญเสียกำลังและทรัพยากร เหลียงจีจึงร้องขอให้หยุดสงคราม แต่หลายพันปีมานี้พวกเรากับอาณาจักรหนานเซียงเป็นเหมือนน้ำกับไฟมาตลอด ถึงแม้ไม่มีสงคราม แต่เป็นตายก็ไม่ไปมาหาสู่กันเด็ดขาด”

ลู่ยามองมู่จิ่ว ยกชาที่อุ่นแล้วขึ้นมา

มู่จิ่วเข้าใจความหมายของเขา ในเมื่อพี่สาวคนเดียวของเหลียงจีตายแล้ว ซื่ออินตามหาที่อยู่ของนางมาห้าร้อยปีไม่พบก็เป็นเรื่องที่ให้อภัยได้

บนโลกนี้หากคนผู้หนึ่งตั้งใจหลบซ่อนตัวจากใครอีกคน เช่นนั้นก็ง่ายดายมาก

ประเด็นสำคัญคือ ที่สุดแล้วเหลียงจีตั้งใจหลบซ่อนตัวหรือเจอเรื่องอันตรายจนกลับมาไม่ได้?

นางครุ่นคิดสักครู่ก่อนถาม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเซวียนหยวนฮุ่ยแต่งงานกับอู่เจินเมื่อไหร่นะ?”

“ห้าพันปีก่อน” ซื่ออินตอบ “พูดอย่างชัดเจนคือห้าพันสามสิบเอ็ดปี ข้าจำวันได้แม่นยำนัก เพราะความรู้สึกของเหลียงจีกับพี่สาวนั้นลึกซึ้งมาก นางบันทึกเวลานี้ไว้บนเสาในห้อง และหลายปีมานี้ข้ากลับวังไปก็ใช้เวลาอยู่ในห้องนางนาน ดังนั้นข้าจึงจำได้ชัดเจน”

สีหน้าของมู่จิ่วเปลี่ยนไป

เป็นห้าพันปีก่อนอีกแล้ว!

ถ้วยชาของลู่ยาก็หยุดค้างอยู่ในมือ ความประหลาดใจบนใบหน้าชัดเจนเหมือนรอยมีดฟันลงมา

“เซวียนหยวนฮุ่ยมีที่มาอย่างไร?” มู่จิ่วสะกดกลั้นคลื่นในใจนาง ก่อนถามต่อ

ซื่ออินสัมผัสได้ว่าสีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยน

ก็ไม่รู้ว่าทำไม จึงทำได้เพียงตอบไป “อาณาจักรหนานเซียงเป็นเขตของเสือลายเหลือง บรรพบุรุษของเซวียนหยวนฮุ่ยคือสกุลโหย่วซยง เป็นพาหนะของหวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) สกุลเซวียนหยวน ภายหลังอาณาจักรเซวียนหยวนแยกจากกัน คนในเผ่ากระจายกันไป สายหลักของราชินีเปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็นโหย่วซยง พาหนะของโหย่วซยงจึงใช้แซ่เซวียนหยวนตาม จากนั้นบุกเบิกพื้นที่ทางตอนเหนือของอาณาจักรโหย่วซยง ปกป้องลูกหลานเผ่าโหย่วซยง ค่อยๆ แตกรากสาขา จนกลายเป็นอาณาจักรหนึ่งเช่นกัน”

……………………………………

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset